โบกมือลาปัญหาหน้าเหี่ยวย่น หย่อนคล้อย

หนึ่งในหลายปัญหาผิวที่มักสร้างปัญหาและทำลายความมั่นใจให้กับใครหลายๆคนคือ“หน้าเหี่ยวย่น” อาจจะด้วยวัยที่เพิ่มมากขึ้นหรือปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ ที่ไม่ว่าจะส่องกระจก ยิ้มหรือหัวเราะทีไรก็มักจะมีหลักฐานชัดเจนที่ทำให้มองเห็นว่าผิวหน้าไม่กระชับ หย่อนคล้อย และมีรอยเหี่ยวย่น ดูแก่ก่อนวัย เราจะมาเรียนรู้ถึงสาเหตุหรือที่มาของหน้าเหี่ยวย่น พร้อมวิธีการดูแลรักษาและการปกป้องเพื่อผิวตึงกระชับ เรียบเนียนสุขภาพดี

ลักษณะของหน้าเหี่ยวย่น

“หน้าเหี่ยวย่น” หรือที่เรียกกันว่า “หน้าแก่”  เป็นปัญหาของการที่ผิวขาดความกระชับยืดหยุ่น เกิดริ้วรอยบนใบหน้า ทำให้หน้าไม่เรียบเนียน ไม่เต่งตึง เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น รวมถึงลักษณะการใช้ชีวิต สิ่งแวดล้อมและมลภาวะต่างๆ ที่ทำลายเซลล์ผิวตั้งแต่ในชั้นผิวภายนอกลึกลงไปจนถึงระดับโครงสร้างผิวภายใน ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินในผิวเสื่อมสภาพลง และส่งผลให้ความยืดหยุ่นอิ่มฟูหายไปด้วยเช่นกัน ในบางรายผิวมีลักษณะเป็นเส้น มีรอยพับลึกลงไปในผิว รอยแตก รอยย่นร่วมด้วย สามารถพบได้ทั้งในบริเวณของใบหน้า รอบดวงตา รอบมุมปาก ลำคอและหลังมือ เป็นต้น

สาเหตุของหน้าเหี่ยวย่น

หน้าเหี่ยวย่น มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ไม่เพียงช่วงของวัยหรืออายุที่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น  แต่ยังรวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันและปัจจัยภายนอกที่เอื้อต่อการเกิดปัญหาผิวพรรณ ดังต่อไปนี้

  • อายุที่เพิ่มมากขึ้น
    ในช่วงที่อายุเพิ่มมากขึ้น จะส่งผลทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินที่เกี่ยวข้องกับความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อลดน้อยลงตามไปด้วย นั่นจึงเป็นที่มา ที่ทำให้ผิวขาดความกระชับ ไม่ยืดหยุ่น นอกจากนั้นยังมีการผลิตน้ำมันของเซลล์ผิวลดลง การสลายตัวของไขมันในชั้นผิว ทำให้ผิวไม่สามารถเก็บความชุ่มชื้นได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และเมื่อผิวขาดความชุ่มชื้น ก็จะทำให้เกิดริ้วรอยขึ้นได้โดยง่าย ทำให้หน้าเหี่ยวย่น รวมถึงปัญหาผิวอื่นๆตามมา
  • แสงแดด
    แสงแดด เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาผิวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นหน้าหมองคล้ำ ริ้วรอยและจุดด่างดำ รวมถึงหน้าเหี่ยวย่นได้ด้วย โดยมีผลจากการวิจัยว่า 70% ในการเกิดความชราของผิวหนังมีสาเหตุมาจากปริมาณแสงแดดที่ได้รับตลอดช่วงอายุของคนเรา เนื่องจากในแสงแดด มีทั้งรังสี UVA และ UVB ที่คอยทำลายเกราะป้องกันผิว รวมไปถึงรังสีอินฟราเรด ที่สามารถทะลุทะลวงเข้าไปในชั้นผิวหนังที่ลึกมากขึ้น แสงประเภท Visible Light และบลูไลท์จากจอคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถืออีกด้วย ซึ่งแสงดังกล่าวจะทำให้ความยืดหยุ่นของผิวลดลง ทั้งยังจะไปช่วยเร่งให้คอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนังที่มีส่วนประกอบของโปรตีนที่ช่วยทำให้ผิวเต่งตึงและเรียบเนียนนั้นเสื่อมสภาพลงได้เร็วขึ้น โดยผ่านกระบวนการออกซิเดชัน นำไปสู่ลักษณะอาการของผิวหย่อนคล้อย ทำให้ผิวเกิดริ้วรอยและแห้งกร้านมากยิ่งขึ้น ไม่เพียงแค่เรื่องหน้าเหี่ยวย่นเท่านั้น แต่แสงแดดยังทำร้ายเม็ดสีผิวทำให้หน้าเกิดความหมองคล้ำ มีฝ้า กระ จุดด่างดำ และรังสีอัลตร้าไวโอเลตยังเข้าไปเร่งกระบวนการเพิ่มอายุของผิว(Aging Skin Process) ทำให้ผิวเสียความยืดหยุ่นได้ด้วย
  • ล้างหน้าไม่สะอาด
    ในแต่ละวัน ผิวหน้าของคนเราต้องเผชิญกับฝุ่นหรือมลภาวะมากมาย รวมถึงเครื่องสำอาง เมคอัพที่ติดอยู่บนหน้า ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการล้างทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาด โดยเริ่มต้นจากการเช็ดเมคอัพ เครื่องสำอางออกก่อน แล้วจึงล้างหน้าปกติด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่เหมาะกับสภาพผิว เพื่อลดการอุดตันในรูขุมขน ทำให้เกิดสิวและปัญหาผิวต่างๆตามมาได้
  • มลภาวะต่างๆ
    ในปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้ว่ามีมลภาวะต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละออง ควัน หรือฝุ่นที่มีอนุภาคขนาดเล็กอย่าง5 ล้วนส่งผลให้ผิวอ่อนแอลง หากไม่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี อาจทำให้ผิวไม่แข็งแรงและเกิดริ้วรอย หน้าเหี่ยวย่นได้โดยง่าย
  • ความเครียด
    ทุกครั้งที่มีความเครียดเกิดขึ้น ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนชนิดหนึ่งออกมา คือ “คอร์ติซอล” ซึ่งไม่เพียงส่งผลต่อระบบการทำงานของร่างกายโดยรวมและระบบสมองเท่านั้น แต่ความเครียดยังส่งผลต่อสภาพผิว เนื่องจากเกิดความกังวล ทำให้หน้าตาไม่สดใส บูดบึ้ง ซึ่งทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่นและริ้วรอยบนใบหน้าได้ง่าย
  • พฤติกรรมโยโย่เอฟเฟ็ค (Yo-Yo)
    ในส่วนนี้เกี่ยวข้องกับการขึ้นๆลงๆของน้ำหนักคนเรา เนื่องจากความพยายามที่อยากจะลดน้ำหนัก ซึ่งทำให้หลายคนหันไปพึ่งยาลดความอ้วนหรือออกกำลังกายหักโหม ทำให้ผิวหนังมีการยืดๆหดๆไปมาแบบต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่ออัตราความยืดหยุ่นของผิวหนัง นั่นจึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผิวเหี่ยวย่น ย้อย และเกิดรอยแตกลายของผิวในบางรายได้ด้วย
  • สูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
    มีรายงานว่าการสูบบุหรี่ ทำให้วิตามินซีในเลือดลดลงประมาณ 60% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่สูบ ซึ่งจะส่งผลทำให้ปริมาณของคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวลดลง ทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่ายกว่าผู้ที่ไม่สูบถึง 10-15 ปี และริ้วรอยดังกล่าวมักเกิดขึ้นในบริเวณผิวหนังที่บอบบาง เช่นหางตา เหนือริมฝีปากบน เป็นต้น ส่วนผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ทำให้วิตามินเอ ที่มีส่วนช่วยต้านอนุมูลอิสระและคอลลาเจนใต้ผิวหนังลดลง ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น สูญเสียความยืดหยุ่น เกิดรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย
  • ใช้ยาที่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์
    มียาเฉพาะทางหลายชนิด ที่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ อย่างเช่น ยาแก้หอบหืด ยาแก้โรคไขข้อกระดูก ยาทารอยแผลเป็น รวมถึงยาที่เร่งผิวขาวทั้งหลาย ซึ่งตัวยาดังกล่าว สามารถทำให้ผิวหนังบางลง อีกทั้งยังทำให้ปริมาณของคอลลาเจนและอีลาสตินลดลงได้อีกด้วย
  • รับประทานอาหารประเภทแป้งกับน้ำตาลมากเกินไป
    เนื่องจากอาหารแปรรูปที่มีแป้งและน้ำตาลในปริมาณที่สูง สามารถทำให้น้ำตาลในเลือดของเราเพิ่มสูงขึ้นได้ และส่งผลให้เซลล์ผิวของคนเราเกิดการอักเสบขึ้นมา ทำให้ปริมาณคอลลาเจนและอีลาสตินในร่างกายลดลงได้ ทำให้เกิดอาการผิวเหี่ยวตามมานั่นเอง
  • ดื่มน้ำน้อย พักผ่อนไม่เพียงพอ
    น้ำเป็นองค์ประกอบสำคัญของร่างกาย ที่ทำให้ผิวนุ่มชุมชื้นขึ้นได้ แต่การดื่มน้ำไม่เพียงพอตามความต้องการของร่างกาย จะทำให้เซลล์ผิวเหี่ยวแห้ง มีริ้วรอยเกิดขึ้นได้ง่าย ไม่เพียงเท่านั้น ยังต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอด้วย เพราะในช่วงที่เรานอนหลับ เป็นช่วงที่ร่างกายจะได้ซ่อมแซมตัวเองในส่วนที่สึกหรอ แต่ในทางกลับกัน หากนอนดึก นอนไม่พอ นอนไม่ตรงเวลา ก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการฟื้นฟูร่างกายลดน้อยลงได้ด้วยเช่นกัน
  • นอนคว่ำหรือนอนตะแคง
    การนอนคว่ำหน้าหรือนอนตะแคงหน้าไปในทิศทางเดียวกันตลอดทั้งคืนต่อเนื่องเป็นเวลานาน สามารถเพิ่มโอกาสในการเกิดรอยเหี่ยวย่นได้ง่ายและมองเห็นรอยที่ชัดเจนขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น ยังสามารถทำให้คอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิวหนัง ทำงานผิดปกติหรือผิดรูปร่างได้ด้วย
  • ปล่อยให้ผิวแห้ง ขาดการบำรุง
    ผิวที่ขาดการบำรุงอย่างต่อเนื่องตามสภาพผิว ทำให้เกิดความแห้งกร้าน และตามมาซึ่งอาการของหน้าเหี่ยวย่นและปัญหาผิวอื่นๆตามมาอีกมากมาย
  • เช็ดหน้าแรง ขัดหรือสครับผิวแรงและบ่อยจนเกินไป
    การเช็ดหน้าอย่างแรง ขัดหรือสครับผิวแรงและบ่อยจนเกินไป อาจทำให้ใบหน้าเกิดการระคายเคืองได้ พร้อมทั้งสร้างความเสียหายแก่ผิว ทำให้ผิวบางลงและเกิดริ้วรอย ความเหี่ยวย่นได้ง่าย

วิธีการรักษาหน้าเหี่ยวย่น

เพื่อความตึงกระชับของผิว ในปัจจุบันมีการคิดค้นและพัฒนาวิธีการที่หลากหลาย เพื่อนำมาใช้ในการรักษาหน้าที่เหี่ยวย่นให้กลับมาเต่งตึงได้อีกครั้ง ดังต่อไปนี้

  • ฉีดฟิลเลอร์
    การฉีดฟิลเลอร์ เติมเต็มร่องริ้วรอย เป็นการฉีดสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid เข้าไปในชั้นผิว ทำให้ผิวเต่งตึงขึ้น เพราะสารดังกล่าวจะเข้าไปช่วยทดแทนในส่วนของชั้นกระดูกและชั้นไขมันที่มีการยุบตัวลงเนื่องด้วยอายุที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนั้นแล้ว ฟิลเลอร์ยังสามารถเสริมความแข็งแรงให้แก่ผิว ทำให้ผิวดูสดใสเปล่งปลั่ง และช่วยชะลอริ้วรอยที่จะเกิดขึ้นได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ควรเลือกฉีดกับแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อความปลอดภัยและให้ผลลัพธ์ที่ดี
  • ฉีดโบท็อกซ์
    โบท็อกซ์เป็นหัตถการทางการแพทย์อีกประเภทหนึ่งที่ผู้คนนิยม เนื่องจากเห็นผลเร็วและราคาไม่แพงมากจนเกินไป โดยสารBotulinum Toxin Type A จะออกฤทธิ์เพื่อคลายกล้ามเนื้อ เมื่อมีการเคลื่อนไหวหรือขยับหน้า จะไม่ทำให้เกิดรอยพับหรือย่น ทำให้ผิวมีความเต่งตึงและเรียบเนียนขึ้น แต่จะต้องกลับมาฉีดซ้ำในระยะเวลา 3 เดือน เพราะถ้าหากเว้นระยะนานจนเกินไป จะทำให้กล้ามเนื้อกลับมาทำงานเป็นปกติ
  • Hifu
    Hifu เป็นการใช้คลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ยิงเข้าไปใต้ชั้นผิวแต่ละชั้น เพื่อทำให้ผิวในชั้นต่างๆเหล่านั้นมีการหดตัวและกระชับมากขึ้น โดยไม่เป็นอันตรายต่อผิวชั้นนอก เป็นวิธีการที่มีความปลอดภัย ทั้งยังเป็นการช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำให้ผิวแน่นกระชับ มีสุขภาพดีมากขึ้น
  • ร้อยไหม
    การร้อยไหม เป็นการนำเส้นไหมละลายที่มีเงี่ยง แล้วสอดลงไปในชั้นผิวหนัง เงี่ยงของไหมก็จะเกี่ยวผิวขึ้นมาตามทิศทางที่ได้มีการร้อยไหมเข้าไป ทำให้ผิวมีการยกกระชับมากขึ้น เป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยม เพื่อช่วยปรับรูปหน้า ช่วยให้ผิวที่หย่อนคล้อย เหี่ยวย่น ยกกระชับขึ้นมา แต่จะต้องทำหัตถการนี้กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เนื่องจากการร้อยไหมต้องอาศัยเทคนิคและประสบการณ์ของแพทย์ พร้อมทั้งจะต้องมีการประเมินผิวหน้าก่อนทำด้วยเช่นกัน
  • ฉีดเมโสหน้าใส
    การฉีดเมโสหน้าใส (Mesotheraphy) เป็นอีกหัตถการหนึ่งที่สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นๆ อย่างฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์ได้ ซึ่งจะช่วยในการฟื้นฟูสภาพผิว เนื่องจากเป็นการผลักวิตามินเข้าสู่ผิวชั้นกลางโดยตรง เห็นผลไว เป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิว
  • Thermage
    Thermage เป็นการปล่อยพลังงานความร้อนในลักษณะของคลื่นวิทยุ ยิงลงไปในชั้นผิวหนังได้ลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ (dermis) ที่เป็นส่วนที่ลึกสุดของโครงสร้างผิว รวมถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous) ให้เกิดการยกกระชับ ทั้งยังช่วยฟื้นฟูผิวหนังในชั้นหนังกำพร้าให้มีความเรียบเนียน ช่วยให้รูขุมขนกระชับขึ้นด้วย
  • Ulthera
    Ulthera หรือ Ultherapy เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นเสียงความถี่สูง และมีความเฉพาะเจาะจง (Focused Ultrasound) ยิงลงไปใต้ชั้นผิว เพื่อกระตุ้นให้เกิดการยกกระชับขึ้น มีจุดพลังงานขนาดเล็กมากเพียง 1 มิลลิเมตร มีลักษณะเป็นจุดไข่ปลาเล็ก ๆ เรียงกันเป็นเส้นตรงใต้ผิว ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย หน้าเหี่ยวย่นและริ้วรอยได้เป็นอย่างดี
  • การเลเซอร์ผิวหนัง
    การเลเซอร์ผิวหนัง( Laser Skin) เป็นการยิงลำแสงเลเซอร์ไปยังบริเวณที่มีปัญหา และช่วยลอกชั้นผิวหนังในบริเวณนั้นๆออก เป็นทั้งการช่วยกรอผิวและกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ เห็นผลเร็ว แต่หลังจากที่ยิงเลเซอร์จะต้องมีการพักฟื้นและดูแลผิวเป็นพิเศษ
  • การผ่าตัดดึงหน้า
    กรณีการผ่าตัดดึงหน้า เหมาะกับคนที่มีอายุ หรือมีหน้าเหี่ยวมากๆ และไม่สามารถใช้วิธีอื่นรักษาได้แล้ว โดยแพทย์เฉพาะทางจะจำกัดไขมันส่วนเกินที่สะสมอยู่ในชั้นใต้ผิวหนัง จากนั้นจะดึงกล้ามเนื้อให้กระชับขึ้น ซึ่งจะช่วยทำให้หน้าดูเต่งตึงขึ้น ช่วยแก้ปัญหาหน้าเหี่ยวย่นหรือริ้วรอยได้
    เป็นอย่างดี แต่มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง มีค่าใช้จ่ายสูง รวมทั้งจะต้องเลือกแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ สถานที่ เครื่องมือที่ปลอดภัยเพื่อไม่ให้เสี่ยงต่ออันตรายที่จะตามมา

การป้องกันหน้าเหี่ยวย่น

เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้หน้าเหี่ยวย่นหรือหน้าแก่ก่อนวัย สามารถดูแลและป้องกันได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ด้วยวิธีต่างๆ ดังต่อไปนี้

  • ทาครีมกันแดด
    เนื่องจากรังสี ต่างๆที่อยู่ในแสงแดด เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้หน้าเหี่ยวย่น หรือผิวแก่ เพราะแสงยูวีจะเข้าไปทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวให้เสื่อมลง ดังนั้นการเลือกทาครีมกันแดดที่มีค่าการปกป้องสูงๆจึงสามารถช่วยปกป้องผิวได้เป็นอย่างดี ซึ่งควรทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง และทุกครั้งที่ต้องออกแดด ควรสวมหมวก ใส่เสื้อคลุมหรือใช้ร่มกันแดดเพื่อช่วยลดการสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง
  • ล้างหน้าให้สะอาด
    ก่อนล้างหน้า ควรมีการเช็ดเครื่องสำอางออกจากหน้าก่อน แล้วจึงล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวและมีความอ่อนโยน ไม่ทำให้ผิวแห้งตึง และเช็ดหน้าด้วยโทนเนอร์ เพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้แก่ผิวและทำให้รูขุมขนกระชับขึ้นด้วย
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
    ควรมีการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน ไม่น้อยกว่า 6-8 ชั่วโมง นอนให้เป็นเวลา ไม่ดึกจนเกินไป เนื่องจากการนอนหลับอย่างเต็มที่ ทำให้เซลล์ผิวได้รับการฟื้นฟูได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและช่วยให้โกรทฮอร์โมนสามารถทำงานได้ดีมากยิ่งขึ้นในขณะนอนหลับ
  • ดื่มน้ำสะอาดมากๆ
    การดื่มน้ำทำให้ระบบต่างๆในร่างกายเป็นไปได้อย่างดี ทั้งยังช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน แนะนำให้ดื่มน้ำเปล่าวันละ 8 แก้ว หรือไม่น้อยกว่า 2 ลิตรต่อวัน และไม่ควรดื่มเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ น้ำหวานมากจนเกินไป เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้สามารถทำลายความสดใสของผิว ทำให้ผิวแห้งเหี่ยวและเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากขึ้น
    ให้รับประทานผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ที่มีกากใยอาหาร แร่ธาตุ วิตามินเป็นประจำ อย่างเช่นแครอท มะละกอสุก มะม่วงสุก มะเขือเทศ เพราะจะช่วยให้ผิวเปล่งปลั่ง สุขภาพดีมากยิ่งขึ้น รวมถึงอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต โปรตีนและไขมันจากธรรมชาติในสัดส่วนที่เหมาะสม เช่น ข้าวกล้อง เนื้อปลา ถั่ว เป็นต้น แต่ให้เลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันที่ไม่ดีสูง เพราะเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้หน้าเหี่ยวย่นได้
  • ไม่สครับผิวบ่อยและแรงมากจนเกินไป
    การสครับผิวหรือการขัดผิว เป็นวิธีที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าออก เผยผิวใหม่ที่มีความกระจ่างใสมากขึ้น แต่ไม่ควรทำบ่อยจนเกินไป เพราะจะทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองและเสื่อมสภาพเร็วขึ้น โดยเฉพาะบริเวณรอบดวงตาที่มีความบอบบางมากกว่าจุดอื่น ควรระมัดระวัง เพราะจะทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้น และยังเสี่ยงต่อการที่หลอดเลือดบริเวณรอบดวงตาจะถูกทำร้ายจนกลายเป็นสีดำคล้ำได้
  • ใช้ปลอกหมอน ผ้าเช็ดขนหนูที่นุ่ม
    การใช้ปลอกหมอน ผ้าขนหนู ผ้าเช็ดตัวก็ควรเลือกแบบที่มีความนุ่ม เรียบๆไม่แข็งกระด้าง เพราะจะทำให้ผิวถูกเสียดสีนานวันเข้าจะทำให้เกิดริ้วรอยได้โดยไม่รู้ตัว และให้หมั่นทำความสะอาดอยู่เสมอ
  • เลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
    เนื่องจากสารนิโคตินในบุหรี่ ทำให้การไหลเวียนของเลือดในร่างกายช้าลง ทำให้ผิวหย่อนคล้อย ผิวบาง ส่วนการดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้ร่างกายขาดวิตามินบี ส่งผลให้ผิวซีด ผิวแห้ง หย่อนคล้อย เหี่ยวย่นและเป็นสิวได้โดยง่าย
  • ทำกิจกรรมคลายเครียด
    เมื่อมีความเครียดเกิดขึ้น ควรหากิจกรรมต่างๆทำเพื่อเป็นการผ่อนคลายสมองและความคิด เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง
  • นอนหงาย
    ลองเปลี่ยนพฤติกรรมจากการนอนตะแคง มานอนหงาย เพื่อป้องกันการเกิดรอยหรือเส้นพับที่ทำให้หน้าเหี่ยวและเกิดริ้วรอยได้ในระยะยาว
  • ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว
    แน่นอนว่าผิวที่มีความชุ่มชื้น ย่อมทำให้เกิดริ้วรอยหรือเกิดการเหี่ยวย่นได้น้อยกว่าผิวที่มีความแห้งกร้าน ดังนั้นการหมั่นบำรุงผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเติมน้ำ เติมความอิ่มฟูให้ผิวหน้าจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง และนอกจากนั้น ควรเลี่ยงการใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสารอันตราย เช่นปรอท หรือสเตียรอยด์ เพราะสารเหล่านี้สามารถเข้าไปทำลายจนถึงโครงสร้างผิว แต่ควรเลือกใช้ครีมที่มีการผลิตที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองจากสถาบันที่เชื่อถือได้ ไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองของผิว อย่าง ha densimatrix by mesoestetic ที่ประกอบด้วยกรดไฮยาลูโรนิกเข้มข้นที่มีโครงสร้างโมเลกุลที่หลากหลาย ช่วยฟื้นบำรุงและเติมเต็มความชุ่มชื้นแก่ผิว ทั้งยังช่วยลดเลือนริ้วรอยให้แลดูจางลง ประกอบด้วยกรดไฮยาลูโรนิกเข้มข้น 4 ชนิด (Hyaluronic acid)  สารสกัดจากรากต้นมาร์ชแมลโลว์(Mashmallow root extract)ซึ่งมีส่วนช่วยส่งเสริมกระบวนการคงอยู่ของกรดไฮยาลูโรนิกให้ยาวนานขึ้น รวมถึงสารสกัดจากหินมาลาไคต์เป็นสารแอนติออกซิแดนท์ช่วยปกป้องการคงอยู่ของคอลลาเจนและอีลาสตินตามธรรมชาติของผิว ทําให้ริ้วรอยแลดูจางลง และผิวแลดูอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
  • รักษาน้ำหนักให้มีความเสถียร
    กรณีที่ลดน้ำหนัก เมื่อมีน้ำหนักที่ต้องการแล้ว ควรรักษาระดับเอาไว้ ไม่ปล่อยให้อ้วนและผอมเร็วจนเกินไป เพราะจะส่งผลทำให้เซลล์ผิวเหี่ยวและเห็นริ้วรอยได้ชัดขึ้น

จะเห็นได้ว่า ไม่ใช่เพียงแค่ปัจจัยเรื่องอายุเท่านั้น ที่ทำให้หน้าเหี่ยวย่น แต่ยังรวมถึงปัจจัยเสี่ยงภายนอกอื่นๆและพฤติกรรมต่างๆในชีวิตประจำวันที่สามารถทำร้ายผิวทำให้ผิวเหี่ยวย่น ดูแก่ก่อนวัย และถ้าหากปล่อยปละละเลยไม่ใส่ใจ ผิวหน้าของเราก็จะเสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น ความเต่งตึงของผิวก็จะลดน้อยถอยลงไป ทำให้หน้าดูโทรม ไม่สดใส เสียทั้งบุคลิก เสียทั้งความมั่นใจ ดังนั้นในวันนี้ให้เราเริ่มต้นดูแลผิวให้มีสุขภาพดี เพื่อชะลอวัยและยืดอายุของผิวให้ดูเด็กลงไปได้อีกหลายปี