เซรั่มวิตามินซีหน้าใส ใช้อย่างไรให้เห็นผล

เซรั่มวิตามินซี

ผิวขาวกระจ่างใส เรียบเนียน ไร้ริ้วรอย  เชื่อว่าเป็นสุดยอดปรารถนาของใครหลายคนอย่างแน่นอน และหนึ่งในตัวช่วยของการบำรุงผิวหน้าให้สว่างใส ทำให้จุดด่างดำหรือรอยสิวจางลง และช่วยแก้ปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ ผิวหมองคล้ำให้กลับมาดูสดใสมีชีวิตชีวาอีกครั้งก็คือ “เซรั่มวิตามินซี”  เรามาทำความรู้จักกับเซรั่มที่จะช่วยฟื้นฟูสภาพผิวของคุณให้กลับมาเปล่งปลั่งชนิดนี้ด้วยกัน พร้อมไขข้อข้องใจและเผยเคล็ดลับการใช้เซรั่มวิตามินซีให้ได้ได้ผลดีและให้คุณประโยชน์กับผิวอย่างแท้จริง

วิตามินซีคืออะไร

วิตามิน (Vitamin)  มีรากศัพท์มาจากคำว่า “Vita” ซึ่งมีความหมายว่า “ชีวิต” ส่วนคำว่า “Amin” มีความหมายว่า “จำเป็น” ดังนั้น เมื่อนำทั้งสองคำมารวมกัน คำว่า Vitamin จึงมีความหมายว่า “สารที่มีความจำเป็นต่อชีวิต” ซึ่งวิตามินก็มีหลายชนิดที่มีความสำคัญและจำเป็นต่อสุขภาพร่างกายของคนเรา และหนึ่งในนั้นก็คือวิตามินซี(Vitamin C)

วิตามินซี (Vitamin C) เป็นวิตามินที่สามารถละลายในน้ำได้ ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองตามธรรมชาติได้ ต้องอาศัยแหล่งวิตามินซีจากภายนอก พบมากในอาหารประเภทผักหรือผลไม้ ในแง่ของการบำรุงผิว วิตามินซีนับเป็นหนึ่งในสุดยอดอาหารผิวที่ดีมากๆ เพราะมีคุณสมบัติที่ช่วยเสริมด้านความงาม พร้อมทั้งช่วยบำรุงผิวพรรณ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยชะลอริ้วรอย ทำให้ผิวขาวเปล่งปลั่งสุขภาพดี เป็นตัวที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่ทำให้ผิวยืดหยุ่น กระชับ เต่งตึง ทั้งยังช่วยป้องกันการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ได้อีกด้วย

วิตามินซีสำคัญต่อร่างกายอย่างไร

วิตามินซีหรือที่เราคุ้นเคยกันดีในชื่อของ “กรดแอสคอร์บิก” (Ascorbic Acid) เป็นกรดอินทรีย์ชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก เนื่องจากว่าร่างกายจะต้องนำวิตามินชนิดนี้ไปใช้ในกลไกลและกระบวนการต่างๆในร่างกาย โดยเฉพาะในเรื่องของการสร้างภูมิต้านทาน ซึ่งในแต่ละวันเราต้องเผชิญกับความเครียดมากมาย ฝุ่น ควัน มลภาวะ การติดเชื้อโรคต่างๆ รวมถึงการหักโหมในการทำงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเหตุที่ทำให้ปริมาณของวิตามินซีในร่างกายลดลงมากกว่าปกติ และถ้าหากปริมาณวิตามินซีลดลงอย่างต่อเนื่องและไม่ได้รับวิตามินซีเสริมเข้าไปในปริมาณที่เพียงพอต่อความจำเป็นของร่างกาย ก็สามารถส่งผลกระทบและสร้างความเสียหายต่อสุขภาพร่างกายในระยะยาวได้ และไม่เพียงเท่านั้น วิตามินซียังเป็นตัวแปรสำคัญในการสร้างคอลลาเจนอีกด้วย และจากผลจากวิจัยยังพบอีกด้วยว่า วิตามินซีมีคุณสมบัติที่ช่วยต้านการติดเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรียและมีส่วนช่วยในการสร้างเซลล์สื่อประสาทได้อีกด้วย

ประโยชน์ของวิตามินซี

วิตามินซี มีประโยชน์ต่อร่างกายของคนเรามากมาย ทั้งในแง่ของสุขภาพร่างกายและเรื่องผิวพรรณ ซึ่งสามารถสรุปได้ดังต่อไปนี้

  • ป้องกันอาการหวัด
    เนื่องจากวิตามินซี มีส่วนในการเสริมประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดขาว พร้อมทั้งช่วยกระตุ้นการเคลื่อนที่ของเซลล์เม็ดเลือดขาวให้มีประสิทธิภาพ เพื่อโจมตีเชื้อโรคต่างๆที่เข้ามาในร่างกายได้เร็วขึ้น จึงทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานและช่วยป้องกันการติดเชื้อต่างๆที่ทำให้เกิดอาการหวัดนั่นเอง
  • ช่วยให้ระบบภูมิต้านทานดีขึ้น รวมถึงช่วยทำให้การตอบสนองของภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานได้ดีขึ้นด้วย
  • ช่วยลดอาการภูมิแพ้ เนื่องจากวิตามินซีจะช่วยลดฤทธิ์การทำงานของฮีสตามีนลงนั่นเอง
  • ช่วยในเรื่องของผิวพรรณ ในแง่ของการต้านสารอนุมูลอิสระ โดยสารอนุมูลอิสระเกิดจากปฏิกิริยาเผาผลาญในร่างกายและเกิดจากการสัมผัสกับปัจจัยต่างๆที่ทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระ ไม่ว่าจะเป็นรังสียูวีจากแสงแดด การสูบบุหรี่ มลพิษ มลภาวะทางอากาศ ภาวะความเครียดทั้งหลาย ซึ่งล้วนแต่ส่งผลทำให้เซลล์ในร่างกายเสื่อมเร็วขึ้น ซึ่งวิตามินซี จะทำหน้าที่ยับยั้งไม่ให้สารอนุมูลอิสระมาทำลายเซลล์ผิวได้ง่าย พร้อมทั้งช่วยลดปฏิกิริยาการเกิดออกซิเดชั่นของไขมัน(Lipid Peroxidation) ได้ด้วย

วิตามินซีกับผิวพรรณ

เป็นเรื่องปกติที่เมื่ออายุของเราเพิ่มมากขึ้น จะทำให้คอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของผิวหนังคนเราจะค่อยๆลดลงด้วย ทำให้ผิวเหี่ยวย่น ไม่เต่งตึง เกิดริ้วรอย ส่งผลให้เกิดปัญหาผิวมากมายตามมา ในส่วนของวิตามินซีนั้น จะเข้าไปช่วยในส่วนของกระบวนการสร้างคอลลาเจนโดยเฉพาะในชั้นผิวหนังที่เรียกว่า “Dermis” และ “Epidermis” ซึ่งโดยปกติเราจะพบปริมาณวิตามินซีในเนื้อเยื่อค่อนข้างสูง แต่เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นบวกกับปัจจัยกระตุ้นต่างๆ พบว่าปริมาณวิตามินซีในเนื้อเยื่อเหล่านี้ค่อยๆลดลงได้เร็วขึ้น  ดังนั้นจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเพิ่มปริมาณวิตามินซีให้กับร่างกาย เพื่อประโยชน์ในเรื่องผิวพรรณและเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง โดยเราสามารถสรุปคุณประโยชน์ของวิตามินซีและสุขภาพผิวออกมาได้ ดังนี้

  • วิตามินซีสามารถช่วยลดภาวะที่เนื้อเยื่อถูกทำลายจากรังสียูวี เนื่องจากจะช่วยลดปริมาณสารอนุมูลอิสระ(Free Radicals)ที่เกิดจากรังสียูวีนั่นเอง
  • ริ้วรอยและจุดด่างดำที่เกิดขึ้นบนใบหน้าของคนเรา มีสาเหตุหลักมาจากรังสียูวีในแสงแดด จากผลงานวิจัยพบว่า การรับประทานวิตามินซีเสริมเข้าไป จะมีส่วนช่วยทำให้รูปลักษณ์ของผิวดีมากขึ้นและทำให้ปริมาณของริ้วรอยลดลงได้ด้วย
  • การใช้วิตามินซี สามารถช่วยลดความเสี่ยงที่ทำให้ผิวแห้งได้ เนื่องจากวิตามินซีจะช่วยลดการสูญเสียน้ำออกจากผิว ซึ่งคุณสมบัตินี้เกิดขึ้นได้ทั้งในวิตามินซีที่ใช้ในการรับประทานและในรูปแบบของการทา และจากการวิจัยพบว่าวิตามินซีในรูปแบบของการทาจะมีความเข้มข้นสูงสุดอยู่ที่ 20% เลยทีเดียว แต่ถ้าหากมีความเข้มข้นมากกว่านี้ จะทำให้ประสิทธิภาพในการดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังลดลง
  • วิตามินซีมีคุณสมบัติยับยั้งการทำงานของเอนไซม์สร้างเม็ดสี หรือที่เรียกว่า “เอนไซม์ไทโรซีเนส(Tyrosinase) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่มีบทบาทในการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานิน และในทำนองเดียวกัน หากเอนไซม์นี้ทำงานมากจนเกินไป ก็จะทำให้เม็ดสีเมลานินถูกสร้างมากขึ้น ส่งผลให้เกิดรอยดำ ผิวหมองคล้ำขึ้นด้วย ดังนั้น วิตามินซีจะมีคุณสมบัติในการเข้าไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ชนิดนี้ เพื่อช่วยลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้ผิวขาวและกระจ่างใสมากขึ้นนั่นเอง

ความต้องการวิตามินซีในแต่ละวัย

ในแต่ละช่วงอายุ มีความต้องการวิตามินซีในปริมาณที่แตกต่างกันออกไป  กองโภชนาการ กระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทย ได้มีการแนะนำปริมาณวิตามินซีที่คนไทยควรได้รับ ดังต่อไปนี้

  • อายุ 6-11 เดือน ควรได้รับในปริมาณ 35 มิลลิกรัมต่อวัน
  • อายุ 1-8 ปี ควรได้รับปริมาณ 40 มิลลิกรัมต่อวัน
  • อายุ 9-12 ปี ควรได้รับปริมาณ 45 มิลลิกรัมต่อวัน 
  • อายุ 13-15 ปี ผู้ชายควรได้รับปริมาณ 75 มิลลิกรัมต่อวัน และผู้หญิงควรได้รับ 65 มิลลิกรัมต่อวัน
  • อายุ 16-18 ปี ผู้ชายควรได้รับปริมาณ 90 มิลลิกรัมต่อวัน และผู้หญิงควรได้รับ 75 มิลลิกรัมต่อวัน
  • อายุ 19 ปีขึ้นไป ผู้ชายควรได้รับปริมาณ 90 มิลลิกรัมต่อวัน และผู้หญิงควรได้รับ 75 มิลลิกรัมต่อวัน
  • ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ ที่มีอายุครรภ์ไตรมาสที่1-3 ให้รับประทานเพิ่มขึ้นจากเดิม 10 มิลลิกรัมต่อวัน
  • ผู้หญิงที่ให้นมบุตร ในช่วง 0-11 เดือน ให้รับประทานเพิ่มขึ้นจากเดิม 35 มิลลิกรัมต่อวัน

ผู้ที่ควรได้รับวิตามินซีในปริมาณที่มากกว่าคนทั่วไป

ถึงแม้จะมีการกำหนดปริมาณวิตามินซีที่ควรได้รับต่อวัน แต่จะมีกลุ่มคนอีกหลายประเภทที่จะต้องได้รับวิตามินซีในปริมาณที่มากกว่าคนทั่วไป ได้แก่

  • ผู้ที่สูบบุหรี่ หรือผู้ที่ได้สัมผัสกับควันบุหรี่เป็นประจำ
    คนกลุ่มนี้ต้องการวิตามินซีในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อการซ่อมแซมเซลล์ผิวที่ถูกทำลายจากสารอนุมูลอิสระที่อยู่ในบุหรี่
  • ผู้ที่ต้องเดินทางอยู่บ่อยๆ
    เนื่องจากคนกลุ่มนี้ จะมีโอกาสในการสัมผัสกับเชื้อโรคได้ง่ายกว่าคนทั่วไปในสภาพแวดล้อมที่มีความแตกต่างกัน จะทำให้ภูมิต้านทานทำงานหนักขึ้นเพื่อปรับสภาพต่างๆในร่างกาย การรับประทานวิตามินซีจะช่วยป้องกันไม่ให้ผิวของเม็ดเลือดขาวได้รับความเสียหายง่ายจนเกินไป ซึ่งจะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการจับเชื้อโรคได้ดีและรวดเร็วขึ้น
  • ผู้สูงอายุ นักเรียน นักศึกษา หรือผู้ที่ได้รับสารอาหารน้อยกว่าปกติ

ประเภทหรือชนิดของวิตามินซี

  • แบบอัดเม็ด
    โดยทั่วไป วิตามินซีในลักษณะนี้จะมีขนาดตั้งแต่ 25 – 1,000 มิลลิกรัม ขอแนะนำให้รับประทานในแบบที่เป็น Buffered, Sustained Release หรือ Slow Release ซึ่งตัววิตามินซีจะค่อยๆปล่อยออกมาช้าๆ ทำให้วิตามินซีออกฤทธิ์ได้นานขึ้น ทั้งยังไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร
  • แบบเม็ดอม
    วิตามินในลักษณะนี้มีตั้งแต่ 25 – 500 มิลลิกรัม เหมาะกับผู้ที่ไม่ชอบรับประทานแบบที่เป็นเม็ดที่จะต้องกลืน แต่การอมวิตามินซีที่เป็นกรดนานๆ อาจจะทำให้เคลือบฟันบางลงจนกร่อนได้
  • แบบเม็ดเคี้ยว
    ในแบบเม็ดเคี้ยวนี้ โดยทั่วไปจะมีขนาด 30 มิลลิกรัม มีรสหวาน รับประทานง่าย แต่ถ้ามีปริมาณน้ำตาลที่สูงอาจทำให้ฟันผุได้โดยง่าย
  • แบบเม็ดฟู่
    วิตามินซีแบบเม็ดฟู่ มักจะมาในขนาด 500-1,000 มิลลิกรัม วิธีการรับประทาน ควรนำไปละลายน้ำจนฟองหมดก่อนจึงรับประทานหลังจากนั้น เพราะถ้ารับประทานในขณะที่มีฟอง อาจจะทำให้เกิดอาการแน่นท้องได้ เหมาะกับผู้ที่ไม่สามารถกลืนเม็ดยาที่มีขนาดใหญ่ได้ และผู้ที่มีปัญหาเรื่องการดูดซึม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ
  • แบบแคปซูล
    วิตามินในลักษณะนี้ มีทั้งแบบแคปซูลแข็งและแคปซูลนิ่ม แต่ละแคปซูลมักมีขนาด 500 มิลลิกรัม จะกลืนได้ง่ายกว่าวิตามินซีที่อยู่ในรูปแบบอัดเม็ด
  • แบบสารละลายเพื่อฉีด
    ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ขนาด 500 มิลลิกรัม เป็นวิตามินที่เหมาะแก่การป้องกันหวัดมากที่สุด เนื่องจากออกฤทธิ์เร็วและร่างกายสามารถนำวิตามินซีไปใช้ได้เลยทันทีเพื่อช่วยบำรุงซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เนื่องจากไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อยอาหารในกระเพาะ แต่ก่อนฉีดควรได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องจากแพทย์ก่อน
  • แบบทา
    วิตามินซีแบบทา ส่วนใหญ่มักถูกนำมาเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง ในลักษณะของครีมหรือเซรั่มบำรุงผิว เพื่อการฟื้นฟูผิวให้มีความกระจ่างใสมากขึ้น

เซรั่มคืออะไร

เซรั่ม (Serum) เป็นผลิตภัณฑ์ฟื้นบำรุงผิวที่ประกอบด้วยสารสกัดเข้มข้นมากมาย ทั้งสารสกัดจากวิตามิน สารต้านอนุมูลอิสระหรืออาหารผิวต่างๆที่ช่วยในการดูแลและฟื้นฟูสภาพผิว โดยส่วนใหญ่แล้ว เซรั่มจะมีเนื้อบางเบาที่สามารถซึมสู่ผิวหนังได้อย่างรวดเร็วและบำรุงผิวได้อย่างล้ำลึก ไม่เหนียวเหนอะหนะ ไม่มีคราบไขมันค้างบนผิว

เซรั่มวิตามินซีคืออะไร

เซรั่มวิตามินซี (Serum Vitamin C) เป็นสารสกัดวิตามินซีเข้มข้นในรูปแบบของเซรั่ม นอกจากนั้นยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ โดยประเภทของวิตามินซีที่นิยมนำมาใช้เป็นส่วนผสมของสกินแคร์คือ วิตามินซีธรรมชาติ หรือที่เรียกกันว่า L-ascorbic acid (กรดแอสคอร์บิค) ที่ออกฤทธิ์โดยตรงต่อการฟื้นฟูและบำรุงผิวให้ขาวกระจ่างสดใส โดยสามารถซึมเข้าสู่ชั้นผิวได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากเนื้อของเซรั่มวิตามินซีมีความเบาบางมากกว่าครีม  เห็นผลไว สามารถใช้ต่อเนื่องได้ โดยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เนื่องจากวิตามินซีสามารถละลายน้ำได้ จึงถูกขับออกมาพร้อมเหงื่อหรือปัสสาวะตามกลไกธรรมชาติของร่างกาย

ประเภทของเซรั่มวิตามินซี

เซรั่มวิตามินซีที่นำมาใช้ในการบำรุงผิวพรรณ สามารถแบ่งออกเป็น 3ประเภทใหญ่ๆ ดังต่อไปนี้

แบ่งประเภทของวิตามินซีจากประเภทของเซรั่ม

  • เซรั่มวิตามินซี Soluble Collagen
    Soluble Collagen หรือที่รู้จักกันในชื่อของ “คอลลาเจนที่สามารถละลายในน้ำได้” โดยเมื่อนำเซรั่มวิตามินประเภทนี้มาทาลงบนผิว จะมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างโปรตีนหลักของผิวหนังให้มีความแข็งแรงและผิวมีความชุ่มชื้นมากยิ่งขึ้น แต่ให้ประสิทธิภาพในการซึมซาบเข้าสู่ชั้นผิวค่อนข้างช้า
  • เซรั่มวิตามินซี Hydrolyzed Collagen
    Hydrolyzed Collagen เป็นคอลลาเจนแบบเอนไซม์ ที่มีคุณสมบัติในการบำรุงผิวพรรณให้สดใส เพิ่มความแข็งแรง ช่วยลดเลือนริ้วรอย ทั้งยังช่วยยกกระชับผิวให้เต่งตึง เนื้อสัมผัสบางเบา สามารถซึมลึกลงสู่ชั้นผิวได้อย่างรวดเร็ว

แบ่งประเภทของวิตามินซีจากประเภทของผิวพรรณ

เซรั่มวิตามินซีมีหลากหลายสูตรตามสภาพผิวของแต่ละคน ดังต่อไปนี้

  • ผิวแห้ง ควรเลือกเซรั่มวิตามินซีสูตรที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและเพิ่มความสดใสให้กับผิว
  • ผิวมัน ควรเลือกเซรั่มวิตามินซีในสูตรที่มีส่วนผสมของน้ำ หรือกรดซาลิไซลิกที่ช่วยกำจัดน้ำมันที่ค้างอยู่บนผิว
  • ผิวผสม ควรเลือกเซรั่มวิตามินซีสูตรน้ำ ที่สามารถช่วยปรับสภาพของผิวพรรณโดยรวมให้มีความสมดุลมากยิ่งขึ้น

แบ่งประเภทของวิตามินซีจากส่วนผสม

ส่วนผสมในเซรั่มวิตามินซี เป็นตัวแปรสำคัญที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ตามมาหลังการใช้ ดังต่อไปนี้

  • เซรั่มวิตามินซีที่มีส่วนประกอบของสารต้านอนุมูลอิสระ
    วิตามินซี เป็นหนึ่งในสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีคุณสมบัติช่วยลดความเสื่อมสภาพของผิวที่ถูกทำร้ายจากแสงแดดหรือมลภาวะต่างๆ พร้อมทั้งช่วยปรับสภาพของสีผิวและลดเลือนริ้วรอยที่เกิดขึ้นตามช่วงอายุ
  • เซรั่มวิตามินซีที่มีส่วนประกอบของกรดอัลฟ่าและเบต้าไฮดรอกซี่
    ทั้งกรดอัลฟ่าและเบต้าไฮดรอกซี่ มีคุณสมบัติที่สามารถช่วยลดความผิดปกติของเม็ดสีผิว ทำให้จุดด่างดำดูจางลง ช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยกระชับรูขุมขน ปรับสีผิวให้เรียบเนียนสม่ำเสมอ พร้อมทั้งช่วยลดน้ำมันและสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่บนผิว แต่อย่างไรก็ตาม ส่วนประกอบทั้งสองนี้ไม่ค่อยเหมาะกับคนที่มีผิวบอบบาง แพ้ง่าย เนื่องจากสารประกอบมีฤทธิ์เป็นกรดอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้
  • เซรั่มวิตามินซีที่มีส่วนประกอบของวิตามินเอ
    อนุพันธุ์วิตามินเอหรือเรตินอล มีคุณสมบัติในการช่วยรักษาสภาพของเซลล์ที่เสียหายจากการสัมผัสกับแสงแดด ไม่เพียงเท่านั้น ยังช่วยฟื้นฟูเซลล์ที่ได้รับความเสียหายให้กลับมาทำงานได้ตามปกติ พร้อมทั้งช่วยชะลอการสร้างเม็ดสีผิวเมื่อต้องเผชิญกับแสงแดดได้อีกด้วย
  • เซรั่มวิตามินซีที่มีส่วนประกอบของโอเมก้า -3
    กรดโอเมก้า-3 มีคุณสมบัติในการรักษาสุขภาพของผนังเซลล์ให้มีความแข็งแรงมากขึ้น ทำให้น้ำสามารถซึมผ่านเข้าสู่เซลล์ได้ในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการและยังช่วยขจัดของเสียออกจากเซลล์ผิวได้ง่ายมากขึ้น ทำให้ผิวมีสุขภาพดี มีความชุ่มชื้น ไม่หยาบกร้าน ช่วยลดสิว ลดเลือนริ้วรอยและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวได้ด้วยเช่นกัน
  • เซรั่มวิตามินซีที่มีส่วนประกอบของไฮยาลูโรนิก
    “ไฮยาลูโรนิก” หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อของ “ไฮยาลูรอน” เป็นสารที่ร่างกายสามารถผลิตขึ้นมาได้เองตามธรรมชาติ แต่เมื่ออายุมากขึ้น บวกกับปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ ทำให้ไฮยาลูโรนิก ค่อยๆลดลง ดังนั้นการเลือกใช้เซรั่มวิตามินซีที่มีส่วนผสมของไฮยาลูโรนิก จะช่วยทำให้ผิวมีความนุ่มชุ่มชื้นขึ้น
  • เซรั่มวิตามินซีที่มีส่วนประกอบของเปปไทด์
    “เปปไทด์” คือกรดอะมิโนที่เป็นส่วนหนึ่งของโปรตีนที่เรียกว่า Acetyl hexapeptide, palmitoyl pentapeptide และ palmitoyl oligopeptide เมื่อถูกดูดซับเข้าสู่ผิวหนัง ก็จะช่วยในการลดเลือนริ้วรอย ด้วยการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและปกป้องผิวจากการถูกทำร้ายโดยรังสียูวี

เซรั่มวิตามินซี

ประโยชน์ของเซรั่มวิตามินซี

เซรั่มวิตามินซี ได้ถูกนำมาใช้ในการดูแลผิวพรรณมายาวนาน ด้วยส่วนผสมที่ผสานกันอย่างลงตัว พร้อมทั้งไม่เหนียวเหนอะหนะ ซึมลงสู่ชั้นผิวได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก พร้อมคุณประโยชน์มากมายดังต่อไปนี้

  • ช่วยให้ผิวกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ
    เนื่องด้วยวิตามินซีมีฤทธิ์เป็นกรด จึงสามารถช่วยให้ผิวกระจ่างใสได้โดยตรง โดยวิตามินซีจะช่วยในการยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานินในชั้นผิว ทำให้ผิวดูสว่างขึ้น ซึ่งการปรับสีผิวให้ขาวขึ้นนั้น เป็นไปตามกลไกธรรมชาติไม่อันตรายต่อผิวอย่างแน่นอน
  • เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
    วิตามินซีสามารถให้ทั้งความชุ่มชื้นและกักเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิวได้เป็นอย่างดี ดังนั้นการใช้เซรั่มวิตามินซีเป็นประจำจึงทำให้ผิวหน้าดูฉ่ำและมีสุขภาพดี ทั้งยังช่วยควบคุมความมันบนใบหน้าได้อีกด้วย เนื่องจากผิวมีความชุ่มชื้นอยู่แล้ว จึงทำให้ต่อมไขมันทำงานได้น้อยลง ไม่เกิดความมันส่วนเกินบนใบหน้าขึ้น
  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้กับผิว
    ในช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไป การสร้างคอลลาเจนที่ใต้ชั้นผิวจะเริ่มลดลง ซึ่งส่งผลให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย ร่องลึก ตีนกาและริ้วรอยต่างๆบนใบหน้า ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะใช้เซรั่มวิตามินซีเข้าไปช่วยกระตุ้นและสร้างคอลลาเจนที่ใต้ชั้นผิว เพื่อช่วยให้ผิวดูเต่งตึงและอ่อนกว่าวัย
  • ป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
    ไม่เพียงช่วงอายุที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้การสร้างคอลลาเจนน้อยลงเท่านั้น แต่ด้วยสภาพผิวที่แตกต่างกันออกไป ทำให้การสร้างคอลลาเจนก็มีความแตกต่างกันไปด้วย โดยเฉพาะผู้ที่มีสภาพผิวแห้ง กระบวนการสร้างคอลลาเจนก็จะน้อยลงกว่าผิวในลักษณะอื่นๆ การใช้เซรั่มวิตามินซีจึงตอบโจทย์ในการช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
  • ช่วยให้ผิวกระชับ เรียบเนียน
    เนื่องจากเซรั่มเป็นสารสกัดที่มีเนื้อบางเบา สามารถซึมเข้าสู่ชั้นผิวได้ดี ทำให้การฟื้นฟูผิวเป็นไปอย่างรวดเร็ว เห็นผลที่ค่อนข้างชัดเจน ส่วนวิตามินซีมีสรรพคุณในการสร้างคอลลาเจนและให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว เมื่อรวมทั้งสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน จึงสามารถทำให้ผิวมีความกระชับ เรียบเนียนและเต่งตึงขึ้นได้ ไม่เพียงเท่านั้น ยังช่วยให้รูขุมขนเล็กลงด้วย เนื่องจากรูขุมขนที่กว้างมักเกิดจากการสร้างน้ำมันของต่อมไขมันมีมาก เมื่อต่อมไขมันมีขนาดใหญ่ รูขุมขนก็มีขนาดใหญ่ตามไปด้วย เมื่อเซรั่มสามารถช่วยเก็บความชุ่มชื้น จึงช่วยลดการผลิตน้ำมันของต่อมไขมันลงได้ และเมื่อต่อมไขมันไม่ได้ใช้งานนานๆเข้าก็จะมีขนาดเล็กลง จึงส่งผลให้รูขุมขนเล็กลงด้วย นั่นจึงเป็นที่มาของผิวกระชับและเรียบเนียน
  • ช่วยลดผลกระทบจากแสงแดดที่มีต่อผิว
    แสงแดด เป็นอึกหนึ่งตัวการสำคัญที่พร้อมทำลายสภาพผิวหน้าและก่อให้เกิดปัญหาผิวมากมายตามมา เซรั่มวิตามินซี มีคุณสมบัติที่ช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากการสัมผัสกับแสงแดดได้เป็นอย่างดี โดยมีการศึกษาในหัวข้อเรื่อง “Use of topical ascorbic acid and its effects on photodamaged skin topography”ที่ได้รับการเผยแพร่ใน Nation Library of  Medicine พบว่า การศึกษาผู้ป่วย 19 คน ที่มีอายุระหว่าง 36-72 ปี ที่มีผิวประเภท Fitzpatrick แบบ 1-3 และผิวหน้าได้รับความเสียหายจากแสงแดดเล็กน้อยถึงปานกลาง หลังจากที่มีการใช้กรดแอสคอร์บิกติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน และจากผลการศึกษาอีกเช่นเดียวกันพบว่าริ้วรอย ผิวสัมผัสและโทนสีผิวที่ถูกทำลายจากแสงแดดได้รับการฟื้นฟูให้ดีขึ้นตามลำดับ มากถึง 68-74% เลยทีเดียว
  • ช่วยลดการระคายเคืองที่เกิดขึ้นจากการสัมผัสสารคลอรีน
    เป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติที่น่าอัศจรรย์ของเซรั่มวิตามินซีที่สามารถช่วยกู้หน้าพังที่เกิดจากการระคายเคืองหลังจากลงสระว่ายน้ำที่ใส่สารคลอรีน
  • ช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูผิวในระดับเซลล์ผิว
    ด้วยความสามารถในการซึมลงผิวอย่างรวดเร็วไปถึงผิวชั้นลึกของเซรั่มวิตามินซี ทำให้มีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูสภาพผิวถึงระดับเซลล์ที่ลึกขึ้น เพิ่มความแข็งแรงและความสดใสให้ผิวมากขึ้นด้วย
  • ช่วยลดปัญหาสิว
    น้ำมันที่อยู่บนชั้นผิว เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สิ่งสกปรก ฝุ่น ควันต่างๆไปเกาะติดอยู่บนผิวหน้า จนทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดเป็นสิวประเภทต่างๆตามมา เซรั่มวิตามินซี สามารถช่วยลดความมันบนใบหน้าได้ ทั้งยังช่วยขจัดน้ำมันที่อยู่บนชั้นผิวให้น้อยลง จึงทำให้สิวลดลงด้วยเช่นกัน

ข้อจำกัดในการใช้เซรั่มวิตามินซี

ถึงแม้ว่าเซรั่มวิตามินซีจะมีประโยชน์มากมายต่อการบำรุงผิว แต่มีข้อควรรู้ที่เป็นข้อจำกัดในการใช้เซรั่มวิตามินซี ว่าไม่ควรใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์หรือสารสกัดบางประเภท เพื่อไม่ให้ผิวเกิดอาการแพ้หรือระคายเคือง ดังต่อไปนี้

  • ไม่ควรใช้เซรั่มวิตามินซีร่วมกัน Benzoyl Peroxide
    Benzoyl Peroxide จะออกฤทธิ์มนการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว ทั้งยังช่วยลดปริมาณกรดไขมันที่อยู่บริเวณรูขุมขนให้ลดน้อยลง ซึ่งจะช่วยลดการอุดตันในรูขุมขนและช่วยลดการเกิดสิวได้ด้วย แต่ไม่แนะนำให้ใช้ร่วมกับเซรั่มวิตามินซี เพราะอาจจะทำให้เกิดปฏิกิริยาอ็อกซิเดชั่น(oxidation) ซึ่งจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินซีมีการเปลี่ยนสี และมีแนวโน้มที่จะทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคืองได้
  • ไม่ควรใช้เซรั่มวิตามินซีร่วมกัน AHA/BHA
    ทั้ง AHA และ BHA มีความเป็นกรดอ่อนๆ ช่วยในการผลัดเซลล์ผิว (Exfoliate Factor) ซึ่งทั้งสองตัวนี้ทำหน้าที่เหมือนกับวิตามินซี สามารถช่วยลดลเลือนจุดด่างดำ ดังนั้นหลายคนจึงเกิดความเข้าใจผิด อยากจะเร่งให้ผิวขาวใสแบบเร่งด่วน อยากให้รอยดำและรอยสิวลดลงอย่างรวดเร็ว จึงพยายามใช้ AHA และ BHA ร่วมกับวิตามินซี การทำเช่นนี้เป็นการทำร้ายผิวมากกว่าการช่วยผลัดเซลล์ผิวหนัง ดังนั้นควรใช้สลับกัน และควรทาควบคู่กับครีมกันแดด เนื่องจากเป็นสารที่ไวต่อแสงมาก
  • ไม่ควรใช้เซรั่มวิตามินซีร่วมกัน คอลลาเจน(Collagen)
    การใช้เซรั่มวิตามินซีร่วมกับคอลลาเจน ทำให้เนื้อของผลิตภัณฑ์จับตัวเป็นก้อนอยู่บนผิว และไม่สามารถทำให้ครีมหรือเซรั่มต่างๆที่เราใช้ซึมลงไปในชั้นผิวได้อย่างเต็มที่ แท้จริงแล้ว ในหนึ่งวัน สามารถใช้เซรั่มวิตามินซีและคอลลาเจนคนละเวลาได้ แต่ไม่แนะนำให้ทาในเวลาเดียวกัน
  • ไม่ควรใช้เซรั่มวิตามินซีร่วมกัน Niacinamide
    Niacinamide คือวิตามินบี 3 ที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ช่วยเพิ่มระดับของคาราไมด์(Ceramide) ที่มีคุณสมบัติในการช่วยปกป้องและรักษาผิวให้ฟื้นคืนสู่สภาพจากการขาดน้ำ และถ้าหาก Niacinamide เข้มข้นเจอกับวิตามินซี จะทำให้วิตามินซีเปลี่ยนสีและประสิทธิภาพลดลง และสามารถทำให้ผิวระคายเคืองได้อีกด้วย

ใช้เซรั่มวิตามินซีเวลาไหนดี

แท้จริงแล้วการใช้เซรั่มที่มีส่วนผสมของวิตามินซี เพื่อการบำรุงและปกป้องผิว สามารถใช้ได้ทั้งกลางวันและกลางคืน โดยมีหลักในการใช้ดังต่อไปนี้

  • ตอนกลางวัน(ตอนเช้า) หลังจากการใช้เซรั่มวิตามินซี ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF50 ขึ้นไปเป็นประจำทุกวัน เพื่อเป็นการเสริมเกราะป้องกันผิวจากแสงแดด ช่วยทำให้ผิวแข็งแรง และช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้อย่างเห็นผลชัดเจน
  • ตอนกลางคืน เริ่มจากการล้างหน้าให้สะอาด แล้วเช็ดผิวด้วยโทนเนอร์อีกครั้ง บำรุงด้วยสกินแคร์ที่เหมาะกับสภาพผิวเนื้อบางเบา หลังจากนั้นจึงทาเซรั่มวิตามินซีลงไป เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้เนื้อครีมที่ทาสามารถลงลึกเข้าสู่ชั้นผิวได้ง่ายขึ้น

วิธีใช้เซรั่มวิตามินซีที่ถูกต้อง

การใช้เซรั่มวิตามินซีอย่างถูกต้อง จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบำรุงได้อย่างล้ำลึกมากขึ้น โดยมี 3ขั้นตอนง่ายๆ ดังต่อไปนี้

  • หยดเซรั่มวิตามินซีลงบนฝ่ามือในปริมาณที่เหมาะสม
  • วอร์มเซรั่มวิตามินซีเล็กน้อยอย่างเบามือสักครู่
  • เริ่มทาเซรั่มวิตามินซี ด้วยการใช้ปลายนิ้วมือนวดกดเบาๆทั่วทั้งหน้า ยกเว้นรอบดวงตา เพื่อให้เซรั่มซึมซาบเข้าสู่ชั้นผิวได้อย่างทั่วถึง

วิธีเก็บรักษาเซรั่มวิตามินซี

การเก็บรักษาเซรั่มวิตามินซีอย่างถูกต้อง นอกจากเป็นการรักษาอายุการใช้งานแล้ว ยังทำให้เนื้อครีมยังคงคุณสมบัติในการฟื้นฟูบำรุงได้ด้วย โดยมีวิธีเก็บรักษาดังต่อไปนี้

  • ขณะที่ใช้ไม่ควรเปิดฝาทิ้งไว้ เมื่อใช้เสร็จควรปิดฝาให้แน่นทุกครั้ง
  • เก็บเซรั่มวิตามินซีให้พ้นจากแสงแดดและไม่เก็บเอาไว้ในที่ร้อนจนเกินไป เก็บได้ในอุณหภูมิปกติ หรือถ้าเอาใส่ตู้เย็น ให้รีบนำออกมาใช้แล้วเก็บคืน เพื่อไม่ให้อุณภูมิของผลิตภัณฑ์เหวี่ยงไปมาอยู่บ่อยๆ อาจจะทำให้เสื่อมสภาพได้

ข้อควรระวังในการใช้เซรั่มวิตามินซี

มีข้อควรระวังในการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินซีเป็นส่วนผสม เนื่องจากหลายท่านอาจจะเกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองที่ผิวหนัง ซึ่งอาการดังกล่าวอาจจะเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย ดังต่อไปนี้

  • ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นมีปริมาณวิตามินซีที่สูงเกินไป
    โดยปกติในสกินแคร์ต่างๆจะมีปริมาณความเข้มข้นของวิตามินซีอยู่ระหว่าง 10-15% เป็นปริมาณที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองได้น้อย แต่ถ้าหากมีอาการแพ้หรือระคายเคือง เป็นไปได้ว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีส่วนผสมของวิตามินซีที่สูงเกินไป แต่สำหรับท่านที่สภาพผิวมีความแข็งแรงและต้องการการฟื้นบำรุงเป็นพิเศษ ก็สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผสมวิตามินซีที่มีความเข้มข้นสูงกว่า 15%ขึ้นไปได้
  • แพ้น้ำหอมหรือแอลกอฮอล์
    น้ำหอมหรือปริมาณแอลกอฮอล์ในปริมาณที่สูงที่ผสมอยู่ในสกินแคร์ อาจก่อให้เกิดการแพ้หรือการระคายเคืองได้โดยง่าย ดังนั้นวิธีที่ปลอดภัยคือให้อ่านฉลากของผลิตภัณฑ์และดูว่ามีส่วนผสมอะไรบ้างและในปริมาณมากน้อยแค่ไหน โดยลำดับของส่วนผสมจะบ่งบอกถึงปริมาณของส่วนผสมที่ใส่จากมากไปน้อยนั่นเอง
  • การผลัดเซลล์ผิวระหว่างที่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินซีหรือมีการใช้สารบางประเภทควบคู่
    การผลัดเซลล์ผิวหรือการสครับผิว รวมถึงการใช้สกินแคร์ที่มีกรดผสมอยู่อย่าง AHAหรือ BHA ควบคู่ไปกับการใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของวิตามินซี อาจทำให้วิตามินซีสูญเสียค่าpH Balance หรือค่าสมดุลความเป็นกรด-ด่างของผิว ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวได้ เช่นสิวไวต่อแสง แสบผิวหรือผิวลอก เป็นต้น รวมถึงสกินแคร์ที่มีเรตินอล(Retinol) ที่มีคุณสมบัติในการกระตุ้นกระบวนการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ก็จะทำให้ผิวลอกได้ง่าย เป็นต้น

AOX Ferulic เซรั่มวิตามินซีจาก mesoestetic ดีอย่างไร

สำหรับท่านที่กำลังมองหาเซรั่มวิตามินซีสูตรเข้มข้นที่สามารถช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระที่มีสาเหตุมาจากรังสียูวี รังสีอินฟาเรดและแสงสีฟ้า ป้องกันการเกิดริ้วรอยแห่งวัย พร้อมทั้งช่วยปรับสภาพผิวให้ดูกระจ่างใสขึ้น AOX Ferulic เซรั่มวิตามินซีจาก mesoestetic น่าจะตอบโจทย์สำหรับปัญหาผิวของท่าน ด้วยส่วนประกอบสำคัญเพื่อการปกป้องและฟื้นฟูผิวอย่างแท้จริงอย่าง

  • Ferulic acid 0.5% ซึ่งเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ ที่ช่วยทำให้ผิวยืดหยุ่นและดูอ่อนเยาว์
  • Vitamin C ที่มีความเข้มข้นถึง 15% ช่วยป้องกันผิวคลํ้าเสียจากรังสี UV และช่วยปรับสภาพผิวให้แลดูกระจ่างใส พร้อมทั้งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ลดเลือนจุดด่างดำ ช่วยปรับสภาพผิว กระชับรูขุมขน เผยผิวที่ดูอ่อนเยาว์และสดใส
  • Protech cell complex 1.5% ประกอบด้วยวิตามินอี และสารแอนติออกซิแดนท์ที่ช่วยลดเลือนริ้วรอยพร้อมทั้งปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระจากสิ่งแวดล้อมภายนอก

aox ferulic

“เซรั่มวิตามินซี” คืออีกหนึ่งทางเลือกเพื่อผิวกระจ่างสวยเนียนใสและดูอ่อนเยาว์ ซึ่งในการเลือกใช้จะต้องมีการศึกษาอย่างละเอียดถึงส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ และมีการสร้างเกราะป้องกันผิวอีกชั้นด้วยการทางครีมกันแดด นอกจากนั้น จำเป็นที่จะต้องมีการรับประทานอาหารจำพวกผักและผลไม้มากขึ้น ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย รวมถึงการพักผ่อนที่เพียงพอ ทำจิตใจให้สบาย เพียงเท่านี้ผิวสวย ผิวใสก็ไม่ไปไหนไกลอย่างแน่นอน

 

ใส่ความเห็น