ครีมแก้ฝ้า หนึ่งในวิธีรักษา ฝ้า กระ และจุดด่างดำ ซึ่งปัญหาผิวที่สร้างความกังวลใจให้กับใครหลาย ๆ คน เพราะนอกจากจะทำให้ผิวหน้าดูหมองคล้ำ ไม่เรียบเนียนแล้ว ยังทำให้ขาดความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน การเลือกใช้ครีมแก้ฝ้าที่มีคุณภาพ และสามารถรักษาได้ลึกถึงต้นตอ จึงเป็นทางออกสำคัญในการฟื้นฟูผิวให้กลับมากระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับครีมแก้ฝ้าที่ตอบโจทย์ พร้อมเผยเคล็ดลับการดูแลผิวอย่างถูกวิธี เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและยั่งยืน
ฝ้าคืออะไร ? ฝ้ามีกี่ประเภท?
ฝ้า (Melasma) เป็นปัญหาผิวหนังที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในผู้หญิงวัย 30-50 ปี มีลักษณะเป็นรอยสีคล้ำตามบริเวณต่าง ๆ บนผิวหน้า เช่น หน้าผาก แก้ม เหนือริมฝีปาก และคาง ฝ้ามักมีสีเข้มกว่าสีผิวปกติ ตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงสีน้ำตาลเข้มหรือสีเทา ซึ่งเกิดจากการผลิตเม็ดสีเมลานินที่มากเกินไปในชั้นผิวหนัง โดยมีสาเหตุมาจากแสงแดด , การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย , พันธุกรรม , การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรง รวมถึงภาวะความเครียด เป็นต้น
ฝ้าแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ดังต่อไปนี้
- ฝ้าตื้น มักเกิดในชั้นหนังกำพร้า มองเห็นเป็นสีคล้ำชัดเจน รักษาได้ง่ายกว่าฝ้าลึก
- ฝ้าลึก อยู่ในชั้นหนังแท้ มีสีคล้ำออกเทา รักษายากและใช้เวลานาน
- ฝ้าผสม มีทั้งฝ้าตื้นและฝ้าลึกในบริเวณเดียวกัน
มีวิธีรักษาฝ้าอย่างไรบ้าง ?
ปัจจุบัน มีวิธีการรักษาฝ้ามากมาย ทั้งที่สามารถทำได้เอง หรือการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ ดังต่อไปนี้
- การใช้ครีมรักษาฝ้า
การใช้ครีมแก้ฝ้า เป็นวิธีที่สะดวกและได้รับความนิยมมาก เนื่องจากใช้ง่าย และหาซื้อได้ทั่วไป ครีมเหล่านี้มักมีส่วนผสมของสารที่ช่วยลดเม็ดสี เช่น ไฮโดรควิโนน กรดโคจิก วิตามินซี หรือสารสกัดจากธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดความเข้มของฝ้า ทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น - การใช้ยาเฉพาะที่
การใช้ยา เหมาะสำหรับฝ้าระดับปานกลางถึงรุนแรง เช่น ยากลุ่มเรตินอยด์ กรดอะเซลาอิก หรือครีมที่แพทย์สั่ง ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิว และลดการสร้างเม็ดสี แต่ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นตามมา - การทำทรีตเมนต์
สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การทำเลเซอร์ลดเม็ดสี ช่วยสลายเม็ดสีฝ้าให้จางลงอย่างรวดเร็ว , การทำไอออนโตหรือโฟโน ช่วยผลักวิตามินเข้าสู่ผิว ทำให้ผิวขาวกระจ่างใสขึ้น รวมถึงการลอกผิวด้วยกรดผลไม้ (Chemical Peel) ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า ลดรอยฝ้าและความหมองคล้ำ - การรักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ
คุณสามารถรักษาฝ้าได้ด้วยตัวเอง ด้วยวิธีธรรมชาติ เช่น การใช้น้ำมะนาวผสมโยเกิร์ต ช่วยผลัดเซลล์ผิวและทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น , ใช้ว่านหางจระเข้ ช่วยบำรุงผิวและลดการอักเสบ และใช้น้ำผึ้งผสมขมิ้น ช่วยลดรอยหมองคล้ำและบำรุงผิวให้เนียนนุ่ม เป็นต้น
ครีมแก้ฝ้า คืออะไร ?
ครีมแก้ฝ้า คือ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ถูกผลิตมา เพื่อช่วยลดเลือนฝ้า กระ และจุดด่างดำที่เกิดจากความผิดปกติของเม็ดสีผิว (Melanin) ซึ่งมักเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น แสงแดด ฮอร์โมน การตั้งครรภ์ หรืออายุที่เพิ่มขึ้น ครีมแก้ฝ้าส่วนใหญ่ มักมีส่วนผสมที่ช่วยยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานิน และช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่หมองคล้ำ ทำให้ผิวดูกระจ่างใส และสีผิวสม่ำเสมอมากขึ้น
ครีมแก้ฝ้า ที่ดี มีลักษณะอย่างไร ?
ปัจจุบันมีครีมทาฝ้ามากมาย ที่ระบุว่า สามารถช่วยทำให้ฝ้าจางลงได้ ซึ่งครีมแก้ฝ้าที่ดี จะต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
- สามารถรักษาฝ้าได้ถึงแต่ต้นตอการเกิดฝ้า
ต้องสามารถช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าตั้งแต่โรงงานผลิตเม็ดสีหรือ “เมลาโนไซด์” ที่มีการสร้างถุงเม็ดสีในร่างกายของคนเราอย่างต่อเนื่อง ครีมแก้ฝ้าที่ดี ไม่เพียงช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นบนเท่านั้น แต่ต้องช่วยรักษาตั้งแต่รากลึกของการเกิดฝ้า โดยการช่วยป้องกัน และลดการสร้างเม็ดสีผิว และยังต้องช่วยเปลี่ยนเม็ดสีผิวที่เกิดขึ้นมาแล้ว ให้ดูจางลงอีกด้วย - ช่วยทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรง
ครีมแก้ฝ้าที่ดี จะต้องช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นที่ชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวดูกระชับ เต่งตึง ยืดหยุ่น และยังช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย และริ้วรอยที่จะเกิดใหม่ได้ด้วย - ป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว
เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น เซลล์ผิวของคนเรา ก็เสื่อมสภาพลง และยังมีปัญหาผิวมากมายตามมาอีกด้วย - ช่วยบำรุงผิวให้มีความชุ่มชื้น
ถ้าผิวหน้าขาดความชุ่มชื้นจะทำให้ผิวแห้งกร้าน และทำให้เกิดฝ้าขึ้นมาได้ ดังนั้น ครีมแก้ฝ้าที่ดี จะต้องมีส่วนผสมของสารสกัดว่านหางจระเข้ ที่จะช่วยบำรุงผิวให้นุ่มชุ่มชื้น ทำให้ผิวอิ่มน้ำ ช่วยปลอบประโลมผิว และลดการระคายเคืองของผิวได้ - มีส่วนผสมที่เข้มข้นแต่อ่อนโยนต่อสภาพผิว
ครีมแก้ฝ้าที่ดี ต้องมีส่วนผสมที่เข้มข้น เพื่อที่จะสามารถรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำได้ถึงรากถึงโคน และในขณะเดียวกัน ก็จะต้องมีความอ่อนโยน โดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง หรือเกิดอาการแพ้ - ไม่มีส่วนผสมของสารอันตราย
เพราะสารอันตรายที่อยู่ในครีมแก้ฝ้า หรือเครื่องสำอางที่ไม่ได้มาตรฐาน มักอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง ไม่เพียงทำให้เกิดฝ้า กระจุดด่างดำเท่านั้น แต่ยังสามารถทำลายได้ตั้งแต่โครงสร้างผิว และนำมาซึ่งปัญหาผิวอื่น ๆ ตามมามากมาย - เป็นครีมแก้ฝ้าที่ได้รับการรับรอง
ครีมแก้ฝ้าที่ปลอดภัย ควรได้รับการรับรองจากคณะกรรมการอาหารและยา นอกจากนั้น ควรพิจารณาเรื่องชื่อเสียง และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์จากบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในการดูแลผิวหน้าโดยเฉพาะ เพื่อความปลอดภัย พร้อมให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพยั่งยืน
ดูแลผิวหน้าอย่างไร ในช่วงใช้ ครีมแก้ฝ้า ?
การดูแลผิวหน้าอย่างเหมาะสมในช่วงรักษาฝ้าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเป็นการช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้กลับมาแข็งแรง และป้องกันไม่ให้ฝ้ากลับมาเป็นซ้ำได้ง่าย ๆ โดยมีวิธีการ ดังต่อไปนี้
- ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน
ควรเลือกใช้คลีนเซอร์ที่ไม่มีสารระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือสารที่ทำให้ผิวแห้งเกินไป เพื่อรักษาสมดุลผิวหน้า และลดการระคายเคือง - ทาครีมกันแดดเป็นประจำ
แสงแดดเป็นปัจจัยสำคัญ ที่กระตุ้นให้ฝ้าเข้มขึ้น ควรเลือกครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไป และมี PA+++ หรือสูงกว่า เพื่อปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVB และควรทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมงเมื่ออยู่กลางแจ้ง - ใช้ครีมแก้ฝ้าตามคำแนะนำของแพทย์
หากกำลังใช้ครีมแก้ฝ้า ควรทาในปริมาณที่เหมาะสม และควรทาเฉพาะบริเวณที่มีปัญหาเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคือง และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น - หลีกเลี่ยงการขัดผิว
ในช่วงรักษาฝ้า ผิวหน้ามักจะบอบบางและไวต่อการระคายเคือง ควรหลีกเลี่ยงการขัดผิว แรง ๆ เพื่อไม่ให้ผิวหน้าเกิดการอักเสบ และทำให้ฝ้าเข้มขึ้น - เติมความชุ่มชื้นให้ผิว
การใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่เหมาะสม จะช่วยรักษาความชุ่มชื้น และเสริมสร้างเกราะป้องกันให้แก่ผิว ที่สำคัญ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน หรือสารที่ก่อให้เกิดการอุดตัน - รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
ควรรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักผลไม้ และดื่มน้ำให้เพียงพอ ซึ่งเป็นการบำรุงผิวจากภายในสู่ภายนอก
cosmelan ครีมแก้ฝ้า เกรดพรีเมี่ยม ตอบโจทย์การรักษาตั้งแต่รากลึกของการเกิดฝ้า
cosmelan โดย mesoestetic เป็นครีมแก้ฝ้า เมดิคอลเกรด(Medical Grade) สัญชาติสเปน ที่ผ่านการศึกษาวิจัยมายาวนานกว่า 38 ปี มีการจัดจำหน่ายไปแล้วมากกว่า 1 ล้านชุด กว่า 90 ประเทศทั่วโลก ผลจากการวิจัยพบว่า cosmelan มีประสิทธิภาพในการกำจัดฝ้า กระ จุดด่างดำ ที่ฝังลึกมานานได้มากถึง 81% แก้ปัญหาตั้งแต่ต้นตอของการเกิดฝ้า โดยเข้าไปยับยั้งการสร้างเม็ดสีที่โรงงานผลิตเม็ดสีเมลาโนไซต์ ลดการสะสมของเม็ดสีในชั้นผิว และช่วยขจัดเม็ดสีบนผิวออกไป นอกจากนั้น ครีมแก้ฝ้า cosmelan ยังช่วยลดการเกิดใหม่ของฝ้าได้อีกด้วย
cosmelan 2
เป็น maintenance cream เพื่อการฟื้นบำรุงผิวอย่างล้ำลึก ให้ใช้หลังจากมาส์กหน้าด้วย cosmelan 1 ทาเช้า เย็น เป็นระยะเวลา 6 เดือน มีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิว และยับยั้งการสร้างเม็ดสี ช่วยป้องกันการเกิดรอยดำขึ้นมาใหม่ และป้องกันการเกิดรอยดำซ้ำ
ครีมแก้ฝ้า cosmelan มีส่วนผสมของสารสกัดธรรมชาติเกรดพรีเมี่ยมมากมาย เพื่อช่วยรักษาและฟื้นฟูให้ผิวหน้ากลับมาแข็งแรง สุขภาพดีอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น
- กรดโคจิก (Kojic Acid)ทำให้เซลล์ผิวหนัง สร้างเมลานินได้น้อยลง ทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น
- อัลฟ่า อาร์บูติน (Alpha Arbutin) ช่วยยับยั้งปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของผิว และช่วยยับยั้งการผลิตเม็ดสีผิวเมลานินโดยตรง
- วิตามินบี 3 หรือ Niacinamide ช่วยให้ผิวกระชับ พร้อมปรับสีผิวให้กระจ่างใส
- Ectoin(Extremolytes) ช่วยสร้างความแข็งแรงให้แก่ผิว ต้านอนุมูลอิสระจากภายนอก
- Squalane(สควาเลน) ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้นได้ยาวนานยิ่งขึ้น
- Phytic Acid ช่วยป้องกันการเกิดจุดด่างดำ ทำให้หน้ากระจ่างใส
- Azelaic Acid ช่วยลดเลือนจุดด่างดำ และลดความหมองคล้ำของผิว
- Ascorbic Acid ช่วยปรับสีผิวให้ดูกระจ่างใส
- Licorice ช่วยลดเลือนริ้วรอย ทำให้ผิวดูกระจ่างใส ป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอยขึ้นมาใหม่
- Aloe barbadensis Leaf Juice สารสกัดจากว่านหางจระเข้ ที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น พร้อมกระตุ้นคอลลาเจน ลดการอักเสบ การระคายเคืองผิวได้
- Retinyl Palmitate ตัวช่วยฟื้นบำรุงและปรับสภาพผิว
- Salicylic Acid ผลัดเซลล์ผิวให้กระจ่างใส และสีผิวสม่ำเสมอ
- สูตรใหม่มีส่วนผสมของ Cosmesome และ Melaphenone (Patented) ที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดและควบคุมการสร้างเม็ดสี รวมถึงช่วยกระตุ้นคอลลาเจน และต่อต้านริ้วรอยได้ด้วย
การเลือกครีมแก้ฝ้าที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับสภาพผิว เป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูผิวให้กระจ่างใส ไร้ฝ้า กระ และจุดด่างดำได้อย่างล้ำลึกถึงต้นตอ นอกจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดีแล้ว อย่าลืมดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงแสงแดด และทาครีมกันแดดเป็นประจำ เพื่อป้องกันการเกิดฝ้าใหม่ หากดูแลครบทุกขั้นตอน ผิวสวยใสอย่างเป็นธรรมชาติก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมอย่างแน่นอน
คำถามที่พบบ่อย
Q : คนเป็นฝ้าห้ามใช้อะไร ?
A : ควรหลีกเลี่ยง ครีมแก้ฝ้า ที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) เพราะหากใช้ในปริมาณที่มากเกินไป อาจเกิดอาการแพ้ ผิวหนังด่างขาว ทำให้เกิดฝ้ามากขึ้น ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนังเท่านั้น
Q : ผิวแพ้ง่าย สามารถใช้ครีมแก้ฝ้าได้ไหม ?
A : สามารถใช้ได้ แต่ควรเลือกครีมแก้ฝ้าสูตรอ่อนโยน ปราศจากสารระคายเคือง เช่น พาราเบน แอลกอฮอล์ หรือสารไฮโดรควิโนน และควรทดสอบการแพ้ก่อนใช้จริง
Q : ใช้ครีมแก้ฝ้านานแค่ไหน ถึงจะเห็นผล ?
A : ระยะเวลาการเห็นผลขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความลึกของฝ้า โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงภายใน 2-4 สัปดาห์ และควรใช้อย่างต่อเนื่องประมาณ 2-3 เดือนเพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน
Q : ใช้ครีมแก้ฝ้าแล้ว สามารถแต่งหน้าได้ไหม ?
สามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ แต่ควรปล่อยให้ครีมแก้ฝ้าซึมเข้าสู่ผิวก่อนประมาณ 10-15 นาที และเลือกเครื่องสำอางที่อ่อนโยนต่อผิว เพื่อลดความเสี่ยงในการอุดตันหรือระคายเคือง
Q : ควรใช้ครีมแก้ฝ้า เวลาไหนดีที่สุด ?
A : แนะนำให้ใช้ครีมแก้ฝ้าช่วงเวลากลางคืน เนื่องจากเป็นเวลาที่ผิวฟื้นฟู และซึมซับสารบำรุงได้ดีที่สุด แต่หากเป็นครีมแก้ฝ้าที่สามารถใช้กลางวันได้ ควรทาครีมกันแดดควบคู่เสมอ