กรดไฮยาลูโรนิก หรือ Hyaluronic Acid (HA) หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อของ ไฮยาลูรอน โดยปกติสารชนิดนี้ เป็นสารธรรมชาติที่มีอยู่ในร่างกายของคนเราอยู่แล้ว โดยมีคุณสมบัติช่วยในการอุ้มหรือกักเก็บน้ำ ทำให้ผิวของคนเรามีความชุ่มชื้นและดูเต่งตึงมากขึ้น แต่เมื่ออายุมากขึ้น อาจทำให้ปริมาณของกรดไฮยาลูโรนิกในร่างกายลดลง ทำให้ผิวหนังขาดความชุ่มชื้น ผิวแห้ง ผิวบาง และเกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้น เราจะมาทำความรู้จักกับไฮยาลูรอนที่ใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ทั้งหลายกันให้มากขึ้น สารประเภทนี้คืออะไร มีคุณสมบัติอย่างไร และจริงหรือไม่ที่ช่วยทำให้หน้าเด็กลง เราจะไปหาคำตอบด้วยกัน
ทำความรู้จักกับไฮยาลูรอน(Hyaluronic Acid)
กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) หรือ ไฮยาลูรอน เป็นสารธรรมชาติที่อยู่ในร่างกายของคนเรา ถูกผลิตขึ้นบริเวณผิวหนังชั้นใน (Dermis) ในรูปแบบโมเลกุลของน้ำตาลชนิดหนึ่งที่มีชื่อเรียกว่า polysaccharide มีปริมาณมากในเนื้อเยื่อภายนอกเซลล์และคอยยึดจับโปรตีนคอลลาเจนเข้าไว้ด้วยกัน ไฮยาลูรอน เป็นสารที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นมาได้เองตามธรรมชาติ มีคุณสมบัติช่วยกักเก็บน้ำ โดยสามารถอุ้มน้ำได้ถึง 1,000 เท่าของน้ำหนักตัวเอง ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น กระชับ ชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน ทั้งยังช่วยกระตุ้นซลล์ผิวให้สร้างคอลลาเจนและอีลาสตินที่อยู่ภายในชั้นหนังแท้ได้ด้วย ส่งผลให้ผิวเต่งตึง เรียบเนียนและสุขภาพดี นอกจากนี้สารไฮยาลูรอนยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของกระดูกอ่อนตามข้อต่อในร่างกาย ที่จะช่วยหล่อลื่นข้อต่อไม่ให้เสียดสีกัน แต่เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะผลิตสารชนิดนี้ได้น้อยลง และอาจจะใช้เวลาในการผลิตมากขึ้นด้วย โดยเฉลี่ยแล้วผิวของคนเราจะเริ่มเสื่อมลงเมื่อมีอายุได้ 20 ปีขึ้นไป และการที่มีกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) หรือ ไฮยาลูรอนน้อยลง จะส่งผลให้ผิวหนังแห้ง ลอกเป็นขุย มีความหน่อยคล้อย ไม่ตึงกระชับเหมือนเคย ทั้งยังมีรอยเหี่ยวย่นและเกิดริ้วรอยได้ ดังนั้น จึงได้มีการคิดค้นไฮยาลูรอนสังเคราะห์ขึ้นมา เพื่อทดแทนไฮยาลูโรนิก แอซิด ตามธรรมชาติที่ร่างกายสร้างขึ้น โดยนำมาเป็นสารประกอบหรือเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เพื่อการบำรุงผิวหน้า ให้มีความนุ่มชุ่มชื้น อิ่มฟูและกักเก็บน้ำได้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยลดเรือนริ้วรอยได้ด้วย
คุณสมบัติของกรดไฮยาลูโรนิก
ไฮยาลูรอน หรือกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) มีคุณสมบัติที่โดดเด่นคือช่วยกักเก็บน้ำไว้บนผิวหนังได้ดีมาก ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น อิ่มน้ำ เรียบเนียน ไม่แห้งกร้าน มีความยืดหยุ่น และป้องกันริ้วรอยต่างๆที่จะเกิดขึ้นได้ นี่เป็นคุณสมบัติเบื้องต้นของไฮยาลูรอน ที่เรารู้จักกันดี แต่นอกจากนั้นแล้ว สารชนิดนี้ ยังมีคุณสมบัติอื่นๆที่น่าสนใจ ดังต่อไปนี้
-
ไฮยาลูรอน ช่วยกระตุ้นการสร้างสร้างคอลลาเจน (Collagen) และอีลาสติน (Elastin) ในชั้นผิวหนังแท้ ทำให้ผิวเรียบเนียน ยืดหยุ่น กระชับ เต่งตึง
-
ไฮยาลูรอนมีความสามารถในการกรองรังสีอัลตร้าไวโอเล็ต ที่เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวหมองคล้ำ แห้งกร้าน และเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร
-
ไฮยาลูรอน ช่วยลดและต้านการสร้างอนุมูลอิสระ
-
ไฮยาลูรอน ช่วยหล่อลื่นกระดูกและข้อต่อไม่ให้เสียดสีกัน
รู้จักประเภทของไฮยาลูรอน
-
กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) หรือ ไฮยาลูรอน มีอยู่หลายประเภทที่ให้คุณสมบัติที่โดดเด่นแตกต่างกัน ดังต่อไปนี้
-
Hydrolyzed Hyaluronic Acid มีคุณสมบัติช่วยรักษาและช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นภายในผิว เหมาะกับผู้ที่มีผิวมันหรือผิวผสม
-
Sodium Hyaluronate เป็นสารที่ช่วยดึงน้ำจากภายนอกเข้าสู่ผิว พร้อมทั้งช่วยสร้างฟิล์มบนผิวเพื่อป้องกันการระเหยออกของน้ำ สารชนิดนี้ มักถูกนำไปใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ประเภทเซรั่ม เหมาะกับผู้ที่มีผิวธรรมดา
-
Sodium Hyaluronate Crosspolymer มีคุณสมบัติสำคัญที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นที่ผิวชั้นนอกได้ดี ช่วยป้องกันไม่ให้น้ำระเหยออกจากผิว โดยการสร้างฟิล์มปกป้องผิวให้มีความชุ่มชื้นขึ้น
-
Sodium Acetylated Hyaluronate ช่วยทำให้ความชุ่มชื้นเกาะติดที่ผิวได้ดีมากขึ้น เหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้งมากๆและต้องการการบำรุง
-
Potassium Hyaluronate ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวจากภายใน ทั้งยังช่วยรักษาระดับความชุ่มชื้นในชั้นผิว
-
Hydroxypropyltrimonium Hyaluronate ช่วยสร้างชั้นฟิล์มเคลือบผิว เพื่อช่วยในการกักเก็บน้ำ ทั้งยังช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิวได้ด้วย
-
Hydrolyzed Sodium Hyaluronate เป็นสารที่มีโมเลกุลขนาดเล็กมาก สามารถซึมเข้าสู่ผิวในชั้น epidermis และ dermis ได้ดี ให้ความชุ่มชื้น ทั้งยังช่วยป้องกันการสูญเสียความชุ่มชื้นจากภายในของผิวได้ด้วย
ไฮยาลูรอนทำมาจากอะไร
ไฮยาลูรอนหรือกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) แต่เดิมนั้นมีการสังเคราะห์มาจากสัตว์ เช่น ไก่ แต่เมื่อนำมาใช้กับคนแล้ว พบว่าเกิดผลข้างเคียงต่างๆตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็น เกิดอาการแพ้ มีอาการบวมแดง ก่อนจะนำมาใช้สำหรับการรักษาจะต้องมีการทดสอบภูมิแพ้ที่ผิวหนังก่อนเสมอ แต่ต่อมาได้มีการพัฒนาสารชนิดนี้โดยผ่านกระบวนการสังเคราะห์สารชีวโมเลกุล จากสารโมเลกุลขนาดเล็กที่เรียกว่า Biosynthesis โดยใช้แบคทีเรีย Streptococcus เพื่อให้ได้กรดกรดไฮยาลูโรนิก ออกมา แต่ในปัจจุบัน ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวไกล ได้มีสารจากกรดไฮยาลูโรนิก ที่ใช้ในฟิลเลอร์บางยี่ห้อ ถูกสังเคราะห์แบบ Biocompatible Non-Animal Stabilized Hyaluronic Acid หรือ NASHA ขึ้นมา ทำให้เกิดการแพ้ที่น้อยลง มีความปลอดภัย และมีความคงตัวสูงด้วยเช่นกัน
ไฮยารูลอนนำมาใช้ประโยชน์อย่างไรได้บ้าง
ไฮยาลูรอนหรือกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) สามารถนำมาใช้ประโยชน์ทั้งในแง่ของความงามและการรักษาโรคต่างๆ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
-
การใช้ไฮยาลูรอนด้านความงาม ปัจจุบันได้มีการนำสารสังเคราะห์จากไฮยาลูรอน มาใช้ประโยชน์ทางด้านความงามกันอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็น
o ใช้เป็นสารเติมเต็มในการฉีดฟิลเลอร์ เรียกได้ว่าฟิลเลอร์เป็นสารเติมเต็มประเภทหนึ่งที่ใช้สารจากกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) เป็นส่วนประกอบหลักและได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลายในทุกวันนี้ โดยมีลักษณะเป็นเนื้อเจล ใช้เพื่อฉีดเสริมชั้นกระดูก เพื่อแก้ไขรูปหน้า และแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆบนใบหน้าที่สามารรถเกิดขึ้นได้เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในตำแหน่งที่สามารถเกิดริ้วรอยได้โดยง่าย ไม่ว่าจะเป็น ใต้ตา ร่องแก้ม หน้าผาก รวมถึง
หลังมือ เป็นวิธีที่เห็นผลเร็วในเวลาอันสั้น มีผลข้างเคียงน้อย เช่น มีรอยเข็มเล็กๆ แต่ประมาณ 1 สัปดาห์ก็จะหายไปได้เอง ไม่ต้องพักฟื้น สามารถย่อยสลายได้เองโดยไม่เป็นอันตราย หากใช้ฟิลเลอร์แท้
o ใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เพื่อการบำรุงผิวต่างๆ เนื่องจากไฮยาลูรอนมีคุณสมบัติที่เด่นชัดในเรื่องของการอุ้มน้ำได้ดี จึงถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เพื่อการบำรุงผิวต่างๆ ทั้งครีมและโลชั่น และในเครื่องสำอางทั้งหลาย เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น เต่งตึงมากขึ้น ในการเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของไฮยาลูรอน ควรพิจารณาจากขนาดโมเลกุลของไฮยาลูรอนที่จะต้องมีขนาดเล็ก เพราะโดยทั่วไปมักจะใช้ไฮยาลูรอนแบบ Non-Cross-Link HA ที่มีการเสื่อมสลายได้โดยง่าย คงอยู่บนใบหน้าได้เพียง 24 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ไฮยาลูรอนที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก สามารถซึมเข้าสู่ผิวจากภายนอกได้ง่ายขึ้น ทั้งยังช่วยลดเลือนริ้วรอยได้ด้วย อย่างเช่น ha densimatrix โดย mesoestetic ซึ่งเป็นเซรั่มบำรุงผิว ที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวได้อย่างล้ำลึก ประกอบด้วยกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid)บริสุทธิ์ เข้มข้น มีโมเลกุลที่หลากหลาย มีประสิทธิภาพช่วยบำรุง และเติมเต็มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ช่วยลดเลือนริ้วรอยให้ดูจางลง ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นสูงขึ้น หน้าดูเด็กลง รวมถึงสารสกัดจากต้นมาร์ช แมลโลว์(Mashmallow root extract) ที่ช่วยส่งเสริมการคงอยู่ของกรดไฮยาลูโรนิกให้ยาวนานขึ้น รวมถึงสารสกัดจากหินมาลาไคต์(Malachite extract) ที่มีสารแอนติออกซิแดนท์ ช่วยปกป้องการคงอยู่ของคอลลาเจนและอีลาสตินตามธรรมชาติ ทำให้ริ้วรอยดูจางลงและผิวแลดูอ่อนเยาว์ขึ้น
o ใช้เป็นวิตามินเพื่อบำรุงร่างกาย ไฮยาลูรอน ไม่เพียงถูกนำมาใช้ภายนอกเท่านั้น แต่ยังได้มีการนำมาทำเป็นอาหารเสริมเพื่อบำรุงร่างกายจากภายในอีกด้วย แต่ไม่ค่อยแพร่หลายนัก เพราะผู้ที่รับประทานส่วนใหญ่ มักเป็นผู้ป่วยในบางกลุ่ม เช่น ผู้ป่วยที่มีอาการข้อกระดูกอักเสบ ที่รับประทานอาหารเสริม Hyaluronic Acid วันละ 80-200 มิลลิกรัม เป็นเวลาอย่างน้อย 2 เดือน เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดหัวเข่า ข้อติด สามารถช่วยได้ในระดับปานกลาง และจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
o ใช้เป็นแผ่นสำหรับมาส์กหน้า(Sheet masks) การมาส์กหน้าด้วยแผ่นมาส์กไฮยาลูรอน มีคุณสมบัติช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว โดยช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทั้งยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวได้ดีอีกด้วย
o ใช้เป็นส่วนผสมในคลีนเซอร์(Cleanser) คลีนเซอร์(Cleanser) หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหลายตัว มักมีส่วนผสมของไฮยาลูรอน ที่มีประสิทธิภาพช่วยในการทำความสะอาดผิวได้อย่างอ่อนโยน โดยไม่ทำให้ผิวแห้งหรือสูญเสียความชุ่มชื้น
o ใช้เป็นลิปเพื่อการบำรุงริมฝีปาก(Lip treatments) การใช้ลิปสติกที่มีส่วนผสมของสารไฮยาลูรอน สามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นได้อย่างล้ำลึกให้กับปากที่บอบบางและแตกลอกง่ายได้เป็นอย่างดี ทำให้ริมฝีปากนุ่มและเรียบเนียนมากขึ้น
ถ้าจะกล่าวโดยสรุป เรื่องของการใช้ไฮยาลูรอนในเรื่องของความงาม จะเห็นว่าได้ถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ช่วยเติมเต็มริ้วรอยบนใบหน้า ลดการอักเสบของผิวหนัง ช่วยแก้ปัญหาผิวไม่เรียบเนียน ช่วยพยุง
โครงสร้างผิว เติมเต็มร่องลึกได้ดี ช่วยยับยั้งความสามารถของระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ไฮยาลูรอนยังสามารถช่วยควบคุมการซ่อมแซมเนื้อเยื่อได้หลากหลายรูปแบบอีกด้วย
-
การใช้ไฮยาลูรอนในการรักษาโรค ไม่เพียงใช้ไฮยาลูรอนในการดูแลผิวพรรณหรือประโยชน์ทางด้านความงามเท่านั้น แต่ องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา หรือ FDA(Food and Drug Administration) ยังอนุมัติให้มีการนำไฮยาลูรอนมาใช้ในการบำบัดรักษาโรคด้วยเช่นกัน ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
o การใช้ไฮยาลูรอนรักษาโรคข้อเสื่อม(Osteoarthritis of the knee) โดยธรรมชาติทั่วไป ร่างกายจะมีการผลิตกรดไฮยาลูโรนิกหรือไฮยาลูรอนขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวหล่อลื่นในบริเวณข้อต่อของกระดูก พร้อมทั้งมีคุณสมบัติช่วยลดแรงกระแทกบริเวณข้อต่อ แต่เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น รวมถึงปัจจัยกระตุ้นอื่นๆจากภายนอกทำให้ปริมาณของสารไฮยาลูโรนิกบริเวณกระดูกข้อต่อมีปริมาณลดน้อยลง จึงเป็นเหตุทำให้กระดูกเกิดการเสียดสีกัน ทำให้เกิดอาการปวดที่บริเวณข้อต่อหรือที่เรียกว่าโรคข้อกระดูกอักเสบนั่นเอง การฉีดกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid)หรือไฮยาลูรอน ที่เป็นสารสังเคราะห์หรือที่เรียกกันเบบง่ายๆว่าน้ำเลี้ยงข้อเทียม ที่เป็นของเหลว มีความหนืดเข้าไปในบริเวณดังกล่าว จะช่วยรักษาโรคที่เกี่ยวกับข้อเสื่อมในลักษณะต่างๆได้ ทั้งในระยะต้นจนถึงปานกลาง เช่น โรคข้อเข่าเสื่อม (Knee Osteoarthritis) ข้อไหล่ติด (Frozen Shoulder) เป็นต้น โดยไฮยาลูโรนิกหรือไฮยาลูรอน จะทำหน้าที่เป็นตัวหล่อลื่นและช่วยดูดซับแรงกระแทกให้กับกระดูกอ่อน ช่วยให้กระดูกอ่อนของข้อต่อมีการเคลื่อนไหว ไม่เกิดปัญหาหรือความเสียหายจากการเสียดสีกัน ทั้งยังสามารถช่วยลดอาการปวดและการอักเสบของข้อต่อได้อีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น การรักษาโรคข้อเสื่อมโดยการฉีดสารไฮยาลูโรนิกร่วมกับเกล็ดเลือดเข้มข้น (PRP)ยังทำให้เห็นผลดีได้มากกว่าเดิมอีกด้วย
o การใช้ไฮยาลูรอนรักษาโรคต้อกระจกตา ทางการแทพย์สามารถใช้กรดไฮยาลูโรนิกหรือไฮยาลูรอน ในลักษณะของเครื่องมือหนืดระหว่างการผ่าตัดโรคต้อกระจกตา (Cataract)ได้ด้วย เนื่องจากสารไฮยาลูรอนจะช่วยในการหล่อลื่นภายในดวงตา ทั้งยังช่วยปกป้องเยื่อบุกระจกตาได้อีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการนำกรดไฮยาลูโรนิกหรือไฮยาลูรอนมาใช้เป็นส่วนผสมในน้ำตาเทียม(Artificial tear) เพื่อให้ความชุ่มชื้น หล่อลื่นลูกตา พร้อมทั้งช่วยลดการระคายเคืองในดวงตาได้ด้วย ช่วยได้มากสำหรับท่านที่มีปัญหาตาแห้ง ช่วยให้สุขภาพของดวงตาดีขึ้นมาได้
o การใช้ไฮยาลูรอนช่วยบรรเทาอาการของแผลที่เกิดจากไฟไหม้ ไฮยาลูรอนหรือสารจากกรดไฮยาลูโรนิก สามารถช่วยบรรเทาอาการบาดเจ็บของแผลที่เกิดจากไฟไหม้ ทั้งยังช่วยลดขนาดของบาดแผลได้ โดยให้นำไฮยาลูโรนิก มาทาบริเวณที่เป็นแผล นอกจากนั้นไฮยาลูรอนยังสามารถช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ ทั้งยังช่วยสมานแผลที่เกิดจากไฟไหม้ให้หายเร็วมากยิ่งขึ้นด้วย
o การใช้ไฮยาลูรอนในภาวะอักเสบรอบข้อไหล่ (Scapulohumeral periarthritis)
o การใช้ไฮยาลูรอนเพื่อป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก
o การใช้ไฮยาลูรอนเพื่อลดอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดบริเวณข้อ
o การใช้ไฮยาลูรอนรักษาแผลในปาก โดยเป็นการนำไฮยาลูรอนไปใช้เป็นส่วนผสมเจล เพื่อใช้รักษาแผลในช่องปากได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้แผลมีการสมานตัวได้เร็วขึ้น
การทำงานของไฮยาลูรอน กรดไฮยาลูโรนิก(Hyaluronic Acid)หรือไฮยาลูรอน มีลักษณะเป็นโมเลกุลที่คล้ายโซ่ยาว มีหน่วยเล็กๆหลายหน่วยที่มีความเชื่อมต่อกันจนกลายเป็นสารประกอบที่มีขนาดใหญ่ ทั้งยังมีมวลโมเลกุลมากเรียกว่า พอลิเมอร์ (Polymer) ซึ่งสายโซ่ที่มีเป็นจำนวนมากนี้จะทำให้เกิดเป็นสารเคมีที่เกาะติดกันเหนียวแน่น จึงทำให้ไฮยาลูรอนมีลักษณะพิเศษคือสามารถกักเก็บน้ำได้มากถึงครึ่งแกลลอนเลยทีเดียว โดยไม่เพิ่มความมันให้กับผิวชั้นนอก เรียกได้ว่าเป็นพอลิเมอร์ (Polymer)ที่ดีที่สุดที่ช่วยในการดูดซับน้ำ ทั้งยังคอยยึดคอลลาเจนไว้ด้วยกัน ซึ่งคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบสำคัญของผิวหนัง ผม เล็บ กระดูก ข้อต่อ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น สามารถพบไฮยาลูรอนกระจายอยู่ทั่วไปในเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เนื้อเยื่อบุผิว เนื้อเยื่อประสาท นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่ม Aquaporin-3 ซึ่งเป็นช่องทางการไหลของน้ำสู่ผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น พร้อมควบคุมการยืดหยุ่นของผิวให้ดียิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีการนำไฮยาลูรอนไปใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ต่างๆเพื่อประโยชน์ทางด้านความงาม ไม่ว่าจะเป็นครีม เซรั่มหรือฟิลเลอร์ เพื่อช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น ฟูเด้ง ดูอิ่มน้ำ
หลักการทำงานของไฮยาลูรอนที่ทำให้หน้าเด็กลง
ไฮยาลูรอน เมื่อนำมาเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์เพื่อการบำรุงผิว ล้วนมีส่วนที่ทำให้หน้าดูชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน ลดการเกิดริ้วรอย ทำให้ผิวดูเด็กลง นอกจากนั้นยังมีการนำไฮยาลูรอนมาใช้ในการฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งเมื่อสารเมื่อไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic Acid)เข้าสู่ผิว จะรวมกันกับน้ำในผิวและอุ้มน้ำนั้นไว้ ทำให้ริ้วรอยและร่องลึกต่างๆดูตื้นขึ้น ทำให้หน้าเรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้หน้าดูอ่อนเยาว์ลงอย่างเห็นได้ชัด และจะคงไว้ซึ่งผลลัพธ์ประมาณ8 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ ความเข้มข้นของฟิลเลอร์ ตำแหน่งที่ฉีด รวมถึงการใช้ชีวิตของแต่ละคนหลังฉีดด้วย
ไฮยาลูรอนกับสารบำรุงชนิดอื่น
นอกจากไฮยาลูรอนจะถูกนำไปเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆทั่วไปแล้ว ยังมีสารอย่างอื่นที่นิยมนำไปเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เหล่านั้นด้วย โดยจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป ทั้งยังช่วยเสริมประสิทธิภาพให้ไฮยาลูรอนทำงานได้ดีมากขึ้น ดังต่อไปนี้
-
Aquaporin มีสรรพคุณช่วยเติมน้ำให้ผิว ทั้งยังช่วยรักษาระดับความชุ่มชื้นเพื่อให้ผิวมีความยืดหยุ่น เรียบเนียนมากขึ้น
-
Glycerol มีคุณสมบัติในการดูดความชุ่มชื้นเข้าสู่ผิว พร้อมกักเก็บน้ำและรักษาความชุ่มชื้นนั้นไว้ ทั้งยังสามารถช่วยให้สารบำรุงตัวอื่นๆ สามารถซึมเข้าสู่ชั้นผิวได้ดีมากขึ้น ช่วยกระตุ้นการทำงานของ Aquaporinให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
-
Retinol เป็นสารที่อยู่ในกลุ่มอนุพันธ์ของวิตามิน A พบได้ในครีมประเภทลดเลือนริ้วรอย(Anti-Aging) ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยผลัดเซลล์ผิว ทั้งยังช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน และลดสิวได้ด้วย
-
Arbutin มีคุณสมบัติช่วยลดเม็ดสี แก้ปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ ทำให้ผิวกระจ่างใสมากขึ้น
-
วิตามิน ไม่ว่าจะเป็นวิตามิน C, วิตามิน E และอื่นๆ ช่วยในเรื่องการบำรุงผิวหน้า ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันผิวจากแสงแดดและมลภาวะต่างๆ ทำให้ผิวกระจ่างใส อิ่มเอิบ มีน้ำมีนวลมากขึ้น
ถ้าใบหน้าขาดไฮยาลูรอน จะเกิดอะไรขึ้น?
อย่างที่ทราบกันดีว่า ปกติร่างกายของคนเราสามารถผลิตสารจากกรดไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) ขึ้นมาได้เอง แต่เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น รวมถึงถูกกระตุ้นจากปัจจัยอื่นๆภายนอก ทำให้ปริมาณของไฮยาลูรอนในร่างกายของคนเราลดน้อยลงไปตามลำดับ ซึ่งแน่นอนว่าได้ส่งผลต่อสภาพผิวบนใบหน้าอย่างปฏิเสธไม่ได้ ซึ่งถ้าเนื้อเยื่อผิวบนใบหน้าของคนเราขาดไฮยารูลอน จะส่งผลให้ผิวหมองคล้ำ แห้งกร้าน ไม่อิ่มฟู เนื่องจากสูญเสียความชุ่มชื้น เมื่อทาครีมหรือผลิตภัณฑ์เพื่อการบำรุงผิว จะรู้สึกได้ว่าครีมเหล่านั้นไม่สามารถซึมลึกลงสู่ชั้นผิวได้อย่างเต็มที่ ทำให้การทาครีมไม่ค่อยได้ผลที่ดีมากนัก และถ้าหากปล่อยทิ้งเอาไว้ โดยไม่รักษาหรือขาดการบำรุงอย่างต่อเนื่อง สามารถทำให้เกิดริ้วรอย ร่องลึก และทำให้หน้าดูมีอายุมากขึ้นด้วย
ไฮยาลูรอนในฟิลเลอร์ที่ช่วยให้หน้าเด็ก นอกจากไฮยาลูรอนจะถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆเพื่อช่วยชะลอวัยแล้ว ยังถูกนำมาใช้เป็นสารเติมเต็มในฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาอีกด้วย เพื่อช่วยปรับโครงสร้างของใบหน้า ช่วยแก้ปัญหาจุดบกพร่องต่างๆบนใบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถฉีดในบริเวณต่างๆ ดังต่อไปนี้
-
ฟิลเลอร์หน้าผาก การฉีดฟิลเลอร์ที่หน้าผากโดยใช้สารไฮยาลูโรนิก แอซิด เป็นการช่วยปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วน มีมิติมากขึ้น ทั้งยังช่วยเติมเต็มรอยย่นบนหน้าผากที่เกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้นได้ด้วย นอกจากนั้นยังช่วยแก้ปัญหาหน้าผากยุบ หน้าผากแบน รวมถึงรอยบุ๋มที่หน้าผากให้เรียบเนียนขึ้นด้วย
-
ฟิลเลอร์ขมับ การฉีดฟิลเลอร์ที่ขมับด้วยไฮยาลูโรนิก แอซิด เป็นการปรับความสมดุลให้กับใบหน้าให้ได้สัดส่วนมากขึ้น เพราะหากเนื้อขมับและแก้มยุบหายไปมาก ๆ จะทำให้โหนกแก้มเด่นและหน้าจะดูแข็ง การเติมฟิลเลอร์จะทำให้แอ่งหรือร่องลึกกลับมาเต็มอีกครั้ง ทำให้หน้าหวานละมุนและสดใสขึ้น ทั้งยังช่วยแก้ไขปัญหาริ้วรอยในบริเวณหางตาให้ดูเต่งตึงขึ้นมาได้อีกด้วย
-
ฟิลเลอร์ใต้ตา การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาด้วยสารเติมเต็มกรดไฮยาลูโรนิก สามารถช่วยแก้ปัญหารอบดวงตาได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอยใต้ตา ตาลึก ตาโหล เนื่องจากเมื่ออายุมากขึ้น กระดูกใต้ตาจะยุบตัวลง รวมกับการที่ร่างกายผลิตคอลลาเจนได้น้อยลง จะส่งผลให้ผิวหนังบริเวณรอบดวงตาเกิดการหย่อนคล้อยได้โดยง่าย การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ช่วยทำให้ดวงตาดูสว่างสดใสขึ้น ทำให้หน้าดูเด็กลง ช่วยแก้ปัญหาร่องใต้ตา ริ้วรอยรอบดวงตา และปัญหาใต้ตาคล้ำได้ดี
-
ฟิลเลอร์ร่องแก้ม ปัญหาอย่างหนึ่งเมื่ออายุมากขึ้น คือจะเห็นรอยร่องแก้มหรือร่องน้ำหมากได้ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้หน้าดูมีอายุ หน้าดุ ถ้ามุมปากตกร่วมด้วย ยิ่งทำให้หน้าดูโทรม ไม่สดใส การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มด้วยสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูโรนิกเข้าไปจะช่วยทำให้หน้าดูเด็กลง มีมิติและกระชับมากขึ้น
-
ฟิลเลอร์จมูก เป็นการช่วยเสริมความมั่นใจ โดยการฉีดปลายจมูกให้เชิดขึ้น ทำให้จมูกมีทรง เห็นสันจมูกได้ชัดมากขึ้นด้วย
-
ฟิลเลอร์ปาก การฉีดฟิลเลอร์ด้วยสารเติมเต็มกรดไฮยาลูโรนิกที่ริมฝีปาก สามารถช่วยจัดทรงริมฝีปากให้มีความอวบอิ่ม ได้รูป ไม่แห้งตกร่อง ช่วยแก้ไขปัญหาริมฝีปากบาง พร้อมลดเรือนริ้วรอยรอบริมฝีปากได้อีกด้วย
-
ฟิลเลอร์คาง การฉีดฟิลเลอร์คางด้วยสารจากกรดไฮยาลูโรนิก เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้หน้าดูเด็กลง ทั้งยังช่วยแก้ปัญหารูปทรงของใบหน้า ทำให้หน้าดูยาวขึ้น ช่วยแก้ปัญหาคางสั้น คางเบี้ยว คางตัด ริ้วรอยบริเวณคาง ทั้งยังทำให้ผิวบริเวณคางมีความเรียบเนียน ทำให้หน้าได้สัดส่วนมากขึ้น
-
ฟิลเลอร์แก้มตอบ การฉีดฟิลเลอร์ประเภทไฮยาลูรอนหรือกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) ที่แก้ม ช่วยทำให้หน้าดูอิ่มเอิบ มีน้ำมีนวล เต่งตึง อิ่มน้ำ มีความยืดหยุ่น และดูเด็กลง
ทั้งนี้ทั้งนั้น ในการเลือกฉีดฟิลเลอร์ประเภทไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) จะต้องเลือกฟิลเลอร์แท้ และเลือกยี่ห้อที่สามารถช่วยแก้ปัญหาในจุดบกพร่องต่างๆบนใบหน้าของคุณได้ เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ชัดเจน แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ เพื่อ
ตรวจสภาพผิว พร้อมทั้งประเมินผิวหน้าก่อนที่จะเลือกยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์ที่จะช่วยแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด ซึ่งข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ให้หน้าเด็กลงคือไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องนอนพักฟื้น และผลข้างเคียงน้อยนั่นเอง เป็นอีกหนึ่งวิธีในการใช้ไฮยาลูรอนที่กำลังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องมายาวนาน
ย้อนวัยให้ผิวด้วย mesofiller®
mesofiller® เป็นสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) หรือไฮยารูลอน ที่มาพร้อมกับความโดดเด่นของนวัตกรรมที่เรียกว่า densimatrix technology ที่มีโครงสร้างแบบ cross-linked hyaluronic acid 100% (non-free ha) ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยแก้ปัญหาผิวหน้าได้อย่างตรงจุดและครอบคลุมทุกปัญหาผิวหน้าของคุณได้อย่างปลอดภัยและมั่นใจในมาตรฐานการผลิต ที่มีความบริสุทธิ์ของสารประกอบสูงในขั้นตอนเดียว ช่วยลดปัญหาการบวม มีความปลอดภัยสูง ด้วยค่า BDDE ที่ต่ำที่สุด ที่สำคัญเนื้อเจลมีความสม่ำเสมอ ลดความเสี่ยงต่อการจับตัวกันเป็นก้อน มีความคงรูประหว่างและหลังการฉีด คงผลลัพธ์ในการฉีดยาวนาน 9-12 เดือน ทั้งยังมีส่วนในการกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสตินที่อยู่ในเนื้อเยื่อผิวหนังได้อีกด้วย เหมาะสำหรับช่วยแก้ไขจุดบกพร่องต่างๆบนใบหน้า ช่วยลดริ้วรอยตีนกา, ริ้วรอยรอบดวงตา, ร่องน้ำหมาก, ริ้วรอยร่องลึก , ผิวหย่อนคล้อยและผิวตอบ (loss of volume) ถุงใต้ตาและรอยคล้ำใต้ตา พร้อมช่วยแก้ไขโครงสร้างของผิวให้มีความกระชับมากยิ่งขึ้นด้วย ตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการลดอายุผิว ให้หน้าดูเด็กลง อ่อนเยาว์ขึ้นโดยมีอาการข้างเคียงน้อย ไม่ต้องนอนพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
ผลข้างเคียงจากการฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอน
ในการใช้ฟิลเลอร์ฉีดสารเติมเต็มไฮยาลูรอนที่ตำแหน่งต่างๆบนผิวหน้า อาจมีผลข้างเคียงเล็กๆน้อยๆเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรอยเข็ม รอยแดง อาการบวมเพียงเล็กน้อย ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นเหล่านี้ไม่มีอันตรายใดๆ สามารถหายไปได้เองภายใน 7-14 วัน แต่ถ้าในกรณีที่ฉีดฟิลเลอร์ไปแล้ว มีอาการบวมมากหรือมีผื่นแดงคัน ให้รีบไปปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อทำการฉีดสลายฟิลเลอร์ด้วยสารที่เรียกว่า Hyaluronidase และทุกครั้งที่ฉีดฟิลเลอร์ด้วยสารเติมเต็มไฮยาลูรอน ต้องแน่ใจว่าได้เลือกฟิลเลอร์แท้ ฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์และมีความชำนาญ รับบริการที่คลิกนิกเสริมความงามที่น่าเชื่อถือและได้มาตรฐาน ก็จะช่วยลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่รุนแรงได้
อันตรายจากไฮยาลูรอน
โดยปกติไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) เป็นสารที่มีความปลอดภัยสูง เพราะเป็นการสังเคราะห์จากการสกัดแบคทีเรียที่ชื่อว่า Bacillus subtilis ซึ่งเป็นการเลียนแบบสารที่มีอยู่ตามธรรมชาติในร่างกาย แต่ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการทาหรือการฉีดเข้าสู่ร่างกาย และควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น นอกจากนั้น ควรระมัดระวังการใช้ฟิลเลอร์ที่เป็นของปลอม ที่ราคาอาจจะถูกลง ควรศึกษาและตรวจสอบให้แน่ชัด เพราะถ้าหากฉีดฟิเลอร์ปลอมเข้าไปในร่างกาย อาจส่งผล
เสียหายและอันตรายที่ตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็น เส้นเลือดอุดตัน การติดเชื้อเฉียบพลัน ตาบอด เนื้อตาย หรือเนื้อเน่า เป็นต้น นอกจากนั้น อาจมีผู้ป่วยบางรายที่อาจมีอาการแพ้โปรตีนของแบคทีเรียที่นำมาใช้สังเคราะห์เป็นไฮยาลูรอน โดยเฉพาะในกลุ่มของผู้หญิงตั้งครรภ์หรือผู้ที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร ผู้ป่วยโรคมะเร็งหรือผู้ที่เคยเป็นโรคมะเร็งมาก่อน อาจส่งผลให้เซลล์มะเร็งมีการเจริญเติบโตที่เร็วกว่าปกติได้
ไฮยาลูรอนหรือกรดไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) มีคุณสมบัติมากมายที่ช่วยให้หน้าของคุณอ่อนเยาว์ลงได้ ไม่ว่าจะเป็นการผสมลงไปในผลิตภัณฑ์เพื่อการบำรุงผิวหรือการใช้เป็นสารเติมเต็มในฟิลเลอร์เองก็ตาม เนื่องจากไฮยารูลอนมีคุณสมบัติที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ พร้อมทั้งช่วยลดริ้วรอยร่องลึกที่ทำให้หน้าดูมีอายุให้กลับมาดูสดใสเปล่งปลั่งได้ และเมื่อใช้บำรุงผิวอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอก็จะยิ่งเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น ยังต้องดูแลตัวเองในด้านอื่นๆร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การพักผ่อนอย่างเพียงพอ การดื่มน้ำให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เมื่อทำเช่นนี้ควบคู่กันไป ผิวดี ผิวสวย ผิวใส หน้าดูเด็กและอ่อนวัยก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมอย่างแน่นอน