เซราไมด์ (Ceramide) คือสารเพิ่มความชุ่มชื้นในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เพื่อแก้ปัญหาผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น แพ้ง่าย หรือมีริ้วรอยก่อนวัย ที่ช่วยฟื้นบำรุงให้ผิวแข็งแรงขึ้นจากภายใน โดยทำหน้าที่เสริมเกราะปกป้องผิว รักษาสมดุลความชุ่มชื้น และป้องกันการสูญเสียน้ำ ทำให้ผิวอิ่มน้ำ เปล่งปลั่ง และดูสุขภาพดี ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับเซราไมด์อย่างละเอียด พร้อมเคล็ดลับการเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีเซราไมด์ และวิธีใช้ให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด
เซราไมด์ คืออะไร ? ทำไมเซราไมด์ จึงดีต่อผิว ?
เซราไมด์ (Ceramide) เป็นไขมันประเภทหนึ่งที่พบได้ตามธรรมชาติในชั้นผิวหนังของเรา โดยทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น ป้องกันการสูญเสียน้ำ และปกป้องผิวจากมลภาวะ และสารก่อการระคายเคืองต่าง ๆ เนื่องจากเมื่ออายุมากขึ้น หรือผิวต้องเผชิญกับมลภาวะและสารเคมี เซราไมด์ในผิวจะลดลง ส่งผลให้ผิวแห้ง ขาดน้ำ ระคายเคืองง่าย และเกิดริ้วรอยก่อนวัย การเติมเต็มเซราไมด์ให้ผิว จึงเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้ผิวแข็งแรง อิ่มน้ำ และเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น
เซราไมด์มีคุณสมบัติที่ดีต่อผิวเนื่องจากผิวชั้นนอก (Epidemis) ของคนเรา มีส่วนประกอบของกรดเซราไมด์มากกว่าครึ่งหนึ่ง มีคุณสมบัติช่วยเคลือบผิว และช่วยป้องกันการระเหยของน้ำในชั้นผิว ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาผิวมากมายตามมา ไม่เพียงเท่านั้น เซราไมด์ ยังสามารถทำหน้าที่เป็นเกราะปกป้องผิวจากฝุ่นควัน มลพิษ มลภาวะ และสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองอื่น ๆ ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเซราไมด์ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย ผิวแห้ง และระคายเคืองง่าย [Source]
เซราไมด์ มีกระบวนการฟื้นฟูผิวอย่างไร ?
เซราไมด์ (Ceramide) เป็นสารที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษอยู่ 2 ประการ คือ “เสริมสร้าง” และ “ซ่อมแซม” ไม่เพียงเป็นเกราะปกป้องผิวเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการระคายเคือง ลดการอักเสบของผิว และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็นโปรตีนธรรมชาติในร่างกาย ช่วยให้ผิวแต่งตึง กระชับและยืดหยุ่นมากขึ้น เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเซราไมด์อย่างสม่ำเสมอและเป็นประจำ [Source]
วิธีเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีเซราไมด์ให้เหมาะกับสภาพผิว
การเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเซราไมด์ให้เหมาะกับสภาพผิวเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อผิวจะได้รับการฟื้นบำรุงอย่างถูกต้อง และให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ซึ่งมีวิธีในการเลือกผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
ผิวแห้ง – เลือก เซราไมด์ ที่เติมความชุ่มชื้นได้ล้ำลึก
หากคุณมีผิวแห้งหรือลอกเป็นขุย ควรเลือกผลิตภัณฑ์ประเภทมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีเซราไมด์เข้มข้นสูง , เซรั่มที่มีเซราไมด์ผสมกับไฮยาลูรอนิกแอซิด และใช้ครีมบำรุงที่มีสารสกัดจากน้ำมันธรรมชาติ เช่น เชียบัตเตอร์ ร่วมด้วย ก็จะช่วยเสริมชั้นไขมันในผิว และลดการสูญเสียน้ำได้
ผิวมัน – เลือก เซราไมด์ ที่ซึมซาบเร็ว ไม่หนักผิว
โดยปกติ ผิวมันมักมีน้ำมันส่วนเกิน การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเซราไมด์ จะช่วยปรับสมดุลผิว ทำให้ผิวมันผลิตน้ำมันลดลง ดังนั้น ควรเลือกเจลบำรุงผิวที่มีเซราไมด์และไนอาซินาไมด์, มอยส์เจอร์ไรเซอร์เนื้อบางเบาแบบเจลครีม และเซรั่มเซราไมด์ที่ไม่มีซิลิโคนและน้ำมัน
ผิวแพ้ง่าย – เลือก เซราไมด์ ที่ช่วยปลอบประโลมผิว
โดยทั่วไป ผิวแพ้ง่ายต้องการเกราะป้องกันผิวที่แข็งแรง ดังนั้น ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีเซราไมด์ผสมกับสารปลอบประโลมผิว เช่น Centella Asiatica (ใบบัวบก), Allantoin หรือ Panthenol ผลิตภัณฑ์ที่แนะนำ ได้แก่ มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีเซราไมด์ ไร้น้ำหอมและแอลกอฮอล์ , คลีนเซอร์สูตรอ่อนโยน ที่มีเซราไมด์ช่วยฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว และเซรั่มเซราไมด์ที่เสริมด้วยสารต้านการอักเสบ
ผิวมีริ้วรอย – เลือกเซราไมด์ที่ช่วยฟื้นฟูและชะลอวัย
ผิวที่เริ่มมีริ้วรอย ต้องการเซราไมด์ที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น และซ่อมแซมเซลล์ผิว ควรมองหาส่วนผสม Ceramide 3, Ceramide 6-II ร่วมกับ เปปไทด์ หรือเรตินอล เป็นต้น
ผิวผสม – เลือกเซราไมด์ที่บาลานซ์ผิวได้ดี
ผิวผสม คือผิวที่มีทั้งบริเวณที่แห้งและมัน ดังนั้น ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปรับสมดุลความชุ่มชื้น โดยไม่ทำให้หน้ามันหรือแห้งเกินไป เช่น เจลครีมหรือเซรั่มที่มีเซราไมด์และไนอาซินาไมด์ , มอยส์เจอร์ไรเซอร์สูตร Oil-Free ที่ช่วยควบคุมความมัน หรือเซรั่มเซราไมด์ที่ช่วยเติมน้ำให้ผิว
เซราไมด์มีประโยชน์ต่อผิวอย่างไรบ้าง ?
ถ้าจะกล่าวโดยสรุป เซราไมด์ มีประโยชน์ต่อผิวมากมาย ดังต่อไปนี้
- ช่วยให้ผิวเรียบเนียนและดูอ่อนเยาว์
เนื่องจากเซราไมด์ สามารถช่วยลดการสูญเสียน้ำในผิว ลดริ้วรอยก่อนวัยได้ ทำให้ผิวดูสุขภาพดีและเปล่งปลั่งอย่างเป็นธรรมชาติ - ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier)
ปกป้องผิวจากมลภาวะ ฝุ่นละออง และสารก่อการระคายเคือง ช่วยให้ผิวแข็งแรงมากยิ่งขึ้น - ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดความแห้งกร้าน
เนื่องจากเซราไมด์มีคุณสมบัติในการกักเก็บความชุ่มชื้น ทำให้ผิวอิ่มน้ำ เนียนนุ่ม ไม่แห้ง ลอก เป็นขุย - ลดการระคายเคือง เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย
เซราไมด์ช่วยปลอบประโลมผิว , ลดอาการอักเสบและอาการแพ้ของผิว ทำให้ผิวสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น
หากผิวขาดเซราไมด์ จะส่งผลต่อผิวอย่างไรบ้าง ?
เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณเซราไมด์มีการเปลี่ยนแปลงด้วย โดยช่วงแรกเกิดถึง 30 ปีผิวจะมีปริมาณเซราไมด์ 100% แต่หลังจากนั้น จะลดลงเรื่อย ๆ จนเหลือเพียง 30%++เท่านั้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดปัญหาผิวตามมามากมาย นั่นคือผิวจะแห้งขึ้น และในบางกรณีอาจมีปัจจัยเรื่องกรรมพันธุ์ หรือการลดลงของฮอร์โมนร่วมด้วย ผิวจึงแห้งมากกว่าปกติ และเมื่อผิวมีการขาดเซราไมด์อย่างรุนแรง ก็อาจทำให้เกิดโรคผิวหนังอโทปิก (Atopic dermatitis) ได้แก่ โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (atopic dermatitis) โรคผื่นแพ้จากการสัมผัส (contact dermatitis) และโรคสะเก็ดเงิน (psoriasis) เป็นต้น ส่วนอาการที่แสดงออกมาเบื้องต้นคือ ผิวจะแห้งแตก เกิดรอยตีนกาและรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย ซึ่งจะส่งผลให้เกิดปัญหาผิวอื่น ๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอย ฝ้า กระ จุดด่างดำ เป็นต้น [Source]
เสริมเกราะปกป้องผิวให้แข็งแรงด้วย melan recovery ผิวเนียนนุ่ม ชุ่มชื้นตลอดทั้งวัน
melan recovery บาล์มบำรุงผิวสูตรเข้มข้นจาก mesoestetic ที่ช่วยปลอบประโลมและฟื้นฟูบำรุงผิวอย่างล้ำลึก ใช้ได้ดีหลังจากการทำทรีตเมนต์ ที่อาจทำให้ผิวหลุดลอก และการระคายเคืองที่เกิดจากสภาพแวดล้อมภายนอก รวมถึงอาการแดงของผิว ทั้งยังเป็นเกราะปกป้องผิวให้แข็งแรง และดูสุขภาพดีอีกด้วย โดยมีส่วนประกอบสำคัญ ดังนี้
- Ectoin
ซึ่งเป็นกรดอะมิโน(post-biotic) ที่ช่วยฟื้นความแข็งแรงให้เกราะปกป้องผิว (barrier function) ทั้งยังช่วยลดการสะสมของอนุมูลอิสระบนผิว ที่มีสาเหตุมาจากความร้อน รังสียูวี และสภาพแวดล้อมภายนอก - Rhodosorus marinus extract
เป็นสารสกัดจากสาหร่ายสีแดง ช่วยปลอบประโลมผิว และบรรเทาอาการแดงของผิว - Squalane
สควาเลน เป็นน้ำมันชนิดเดียวกันกับผิว ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว พร้อมเสริมเกราะปกป้องผิว - Bisabolol
สารสกัดจากดอกคาโมมายล์ ช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองของผิว พร้อมช่วยปลอบประโลมผิวให้ผ่อนคลาย และยังปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระด้วย - Vitamin B3
วิตามินบี 3 มีคุณสมบัติช่วยลดเลือนจุดด่างดำ และช่วยปรับสีผิวให้กระจ่างใส - Shea butter
อุดมไปด้วยโอเมก้า 6 ช่วยบำรุงผิวให้เนียนนุ่มชุ่มชื้น บรรเทาอาการแห้งตึงของผิว พร้อมเสริมเกราะปกป้องผิวให้แข็งแรง - Prebiotic defense
พรีไบโอติก มีคุณสมบัติช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์บนผิวให้สมดุล ซึ่งจะส่งผลให้เกราะปกป้องผิวแข็งแรงมากยิ่งขึ้น
โดยให้ใช้ melan recovery ในปริมาณที่เหมาะสม เทลงบนฝ่ามือ แล้ววอร์มเล็กน้อย จากนั้นให้ค่อย ๆ กดเบา ๆ ทั่วใบหน้า ยกเว้นรอบดวงตา ให้ใช้เป็นประจำ เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน
เซราไมด์ (Ceramide) เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ช่วยเสริมเกราะปกป้องผิว รักษาความชุ่มชื้น และช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้นจากภายใน หากคุณต้องการมีผิวอิ่มน้ำ เปล่งปลั่ง และสุขภาพดี ดังนั้น การเลือกใช้สกินแคร์ที่มีเซราไมด์เป็นส่วนผสมหลัก ถือเป็นตัวช่วยที่ตอบโจทย์อย่างแท้จริง แต่นอกจากการบำรุงผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีเซราไมด์แล้ว การดูแลผิวอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน การหลีกเลี่ยงสารระคายเคือง และการใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ ก็มีส่วนช่วยให้เกราะป้องกันผิวแข็งแรงขึ้นได้อย่างแท้จริง
คำถามที่พบบ่อย
Q : ควรเลือกเซราไมด์ประเภทไหนดีที่สุดสำหรับผิว ?
A : มีเซราไมด์หลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อผิว เช่น
- Ceramide NP และ Ceramide AP ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและเสริมเกราะป้องกันผิว
- Ceramide EOP ช่วยฟื้นฟูผิวที่เสียหายจากมลภาวะและอายุที่เพิ่มขึ้น
- Ceramide 3 และ Ceramide 6-II ช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม ลดการสูญเสียน้ำ
Q : สามารถใช้เซราไมด์ร่วมกับส่วนผสมอื่น ๆ ได้หรือไม่ ?
A : สามารถใช้ร่วมกันได้ เนื่องจากเซราไมด์จะทำงานได้ดีเมื่อใช้ร่วมกับ
- ไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid) ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
- ไนอาซินาไมด์ (Niacinamide) ช่วยลดการอักเสบและปรับสมดุลผิว
- เปปไทด์ (Peptides) ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและลดริ้วรอย
- เรตินอล (Retinol) ช่วยผลัดเซลล์ผิว แต่ควรใช้คู่กับมอยส์เจอร์ไรเซอร์เซราไมด์ เพื่อลดการระคายเคือง
Q : ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเซราไมด์บ่อยแค่ไหน ?
A : แนะนำให้ใช้เป็นประจำทุกวัน เช้าและเย็น โดยเฉพาะมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีเซราไมด์ เพื่อช่วยฟื้นฟูและเสริมเกราะป้องกันผิว
Q : คนที่มีผิวมันหรือเป็นสิวง่าย ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเซราไมด์หรือไม่ ?
A : ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเซราไมด์ แม้ว่าผิวมันจะผลิตน้ำมันมาก แต่ก็ยังต้องการเซราไมด์เพื่อรักษาสมดุลความชุ่มชื้น แนะนำให้เลือกสูตรที่ไม่มีน้ำมัน (Oil-Free) และซึมซาบเร็ว
Q : สามารถใช้เซราไมด์ร่วมกับครีมกันแดดได้หรือไม่?
A : สามารถใช้เซราไมด์คู่กับครีมกันแดดได้ และควรใช้ควบคู่กันเสมอ เพราะเซราไมด์ช่วยปกป้องผิวจากการสูญเสียน้ำ ส่วนครีมกันแดดช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV ซึ่งเป็นสาเหตุของริ้วรอยและผิวแห้ง