ความอ้วน หรือ น้ำหนักเกิน เป็นสิ่งหนึ่งที่สาวๆหลายคนเป็นกังวล รวมทั้งหนุ่มๆเองก็ตาม เพราะอาจจะส่งผลต่อบุคลิกภาพ หน้าตา และแน่นอน ความอ้วนคือเรื่องของรูปร่างนั่นเอง รูปร่างดี ไม่เพียงเป็นสิ่งหรือปัจจัยภายนอก ไม่ใช่แค่เรื่องที่ใครๆก็อยากมอง หรือเรื่องของความมั่นใจ แต่รูปร่างดียังมีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพอีกด้วย กล่าวได้เลยว่า ความอ้วน เป็นพันธมิตรกับโรคร้ายหลายรายการ วันนี้เราจะไปเปิดโลกของความอ้วน การลดน้ำหนัก และปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดความอ้วนได้ โดยที่หลายๆคนอาจจะมองข้ามไป
เท่าไรเรียกว่าอ้วน?
สำหรับน้ำหนักที่ถือว่าอ้วนนั้น โดยมาตรฐานทั่วไปจะพิจารณาที่ค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index: BMI) ซึ่งมีสูตรคำนวณจากน้ำหนักตัว(กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง(เมตร) ยกกำลังสอง หรือ น้ำหนักตัว(กิโลกรัม) หารด้วย ส่วนสูง(เมตร) คูณ ส่วนสูง(เมตร)
ค่า BMI น้อยกว่า 18.5 ถือว่า น้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์
ค่า BMI 18.5-22.9 ถือว่า น้ำหนักตามเกณฑ์
ค่า BMI 23-24.9 ถือว่า น้ำหนักมากกว่าเกณฑ์
ค่า BMI 25-29.9 ถือว่า เป็นโรคอ้วนระดับที่ 1
ค่า BMI 30-39.9 ถือว่า เป็นโรคอ้วนระดับที่ 2
ค่า BMI สูงกว่า 40 ถือว่า เป็นโรคอ้วนระดับที่ 3
อย่างไรก็ตาม ดัชนีมวลกายเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถบอกได้ว่าคน ๆ นั้นอ้วนหรือไม่ เพราะปัจจัยอื่น ๆ ก็สามารถส่งผลต่อน้ำหนักตัวได้เช่นกัน เช่น เพศ อายุ มวลกล้ามเนื้อ มวลกระดูก เป็นต้น ดังนั้น หากมีข้อสงสัยว่าตัวเองอ้วนหรือไม่ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ
ในกรณีตัวอย่าง สำหรับนักกีฬาที่มุ่งเน้นการฝึกกล้ามเนื้อ อาจจะมีค่าน้ำหนักที่สูง แต่มีมวลไขมันในร่างกายต่ำก็ได้ ส่งผลให้มีรูปร่างที่ดีสมส่วนซึ่งสิ่งเหล่านี้ จะสวนทางกันกับคนที่อ้วนเพราะมีมวลไขมันมาก โดยในคนกลุ่มนี้ จะมีรูปร่างที่อวบ ท้วม ซึ่งเราอาจจะเทียบให้เป็นภาพที่มองเห็นได้ง่ายๆ ว่าคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอนั้น จะมีมวลกล้ามเนื้อมาก ซึ่งมวลกล้ามเนื้อถ้ามีปริมาตรเท่าไขมัน จะมีน้ำหนักที่มากกว่า ส่งผลให้คนที่ออกกำลังกายหนักแต่รูปร่างดีนั่นเอง
นอกจากค่า BMI แล้ว ยังสามารถประเมินความอ้วนได้จากรอบเอว โดยผู้ชายที่มีรอบเอวมากกว่า 90 เซนติเมตร และผู้หญิงที่มีรอบเอวมากกว่า 80 เซนติเมตร ถือว่ามีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอ้วนลงพุง ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง เป็นต้น
สาเหตุที่ทำให้เกิดความอ้วน
อย่างที่เราทราบกันดีว่าความอ้วนคือภาวะที่มีปริมาณไขมันในร่างกายมากเกินไป ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้หลายประการ สาเหตุที่ทำให้เกิดความอ้วนสามารถแบ่งได้เป็น 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่
- ปัจจัยภายใน ได้แก่ ปัจจัยทางพันธุกรรม ฮอร์โมน และโรคบางชนิด เป็นต้น
- ปัจจัยภายนอก ได้แก่ พฤติกรรมการกินและการออกกำลังกาย เป็นต้น
ปัจจัยภายในที่ทำให้เกิดโรคอ้วน
- สาเหตุจากปัจจัยทางพันธุกรรม ความอ้วนสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ประมาณ 40-70% หมายความว่า หากพ่อแม่เป็นคนอ้วน เด็กก็มีแนวโน้มที่จะอ้วนมากขึ้นเช่นกัน
- สาเหตุจากฮอร์โมน ฮอร์โมนบางชนิด เช่น ฮอร์โมนไทรอยด์ ฮอร์โมนเพศ และฮอร์โมนคอร์ติซอล อาจส่งผลต่อน้ำหนักตัวได้
- สาเหตุโรคบางชนิด โรคบางชนิด เช่น โรคต่อมไร้ท่อบางชนิด โรคนอนไม่หลับ โรคซึมเศร้า เป็นต้น อาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น
ปัจจัยภายนอกที่ทำให้เกิดโรคอ้วน
- สาเหตุจากพฤติกรรมการกิน การรับประทานอาหารที่มีแคลอรีสูง เช่น อาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง อาหารสำเร็จรูป เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เป็นต้น จะทำให้ได้รับแคลอรีมากเกินไป ส่งผลให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ง่าย
- สาเหตุจากการออกกำลังกาย การขาดการออกกำลังกาย ทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีน้อยลง จึงอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น เป็นโรคอ้วนหรือลงพุงได้
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อความอ้วนได้ เช่น อายุ เพศ อาชีพ สภาพแวดล้อม และ ความเครียด เป็นต้น
ความเครียดคืออะไร ? ทำไมถึงเป็นภัยร้ายที่ทำให้เกิดภาวะอ้วน
ความเครียดคือภาวะที่ร่างกายและจิตใจตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่อาจเป็นอันตรายหรือคุกคาม ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนต่างๆ ออกมาเพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว ฮอร์โมนเหล่านี้อาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้หลายประการ ดังนี้
- ระบบประสาท ความเครียดอาจทำให้ระบบประสาททำงานผิดปกติได้ เช่น นอนไม่หลับ ปวดหัว เวียนศีรษะ มึนงง
- ระบบหัวใจและหลอดเลือด ความเครียดอาจทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดตีบตัน หัวใจวาย
- ระบบย่อยอาหาร ความเครียดอาจทำให้ท้องผูก ท้องเสีย ปวดท้อง กรดไหลย้อน
- ระบบภูมิคุ้มกัน ความเครียดอาจทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ทำให้ร่างกายอ่อนแอและติดเชื้อง่ายขึ้น
- ระบบสืบพันธุ์ ความเครียดอาจทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ ภาวะมีบุตรยาก
- สุขภาพจิต ความเครียดอาจทำให้เกิดอาการวิตกกังวล ซึมเศร้า นอนไม่หลับ พฤติกรรมก้าวร้าว
นอกจากนี้ ความเครียดยังอาจทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีน้อยลง ทำให้น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง เป็นต้น
ความเครียดสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่
- ความเครียดเชิงบวก เป็นความเครียดที่เกิดจากสิ่งเร้าที่กระตุ้นให้ร่างกายและจิตใจตื่นตัวและพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ เช่น ความตื่นเต้น ความท้าทาย เป็นต้น ความเครียดเชิงบวกอาจส่งผลดีต่อประสิทธิภาพในการทำงานและการเรียนรู้
- ความเครียดเชิงลบ เป็นความเครียดที่เกิดจากสิ่งเร้าที่อาจเป็นอันตรายหรือคุกคาม เช่น ความวิตกกังวล ความกลัว ความกดดัน เป็นต้น ความเครียดเชิงลบอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและใจ
ความเครียดกับน้ำหนักตัว
ความเครียดและความอ้วนเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในสังคมปัจจุบัน ทั้งสองปัญหานี้มีความเชื่อมโยงกัน โดยความเครียดสามารถส่งผลต่อน้ำหนักตัวได้หลายวิธี ดังนี้
- ความเครียดกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งฮอร์โมนนี้จะทำให้ร่างกายรู้สึกหิวและอยากอาหารมากขึ้น
- ความเครียดทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีน้อยลง ทำให้น้ำหนักไม่ลดลงหรือลดลงได้ยาก
- ความเครียดอาจทำให้พฤติกรรมการกินเปลี่ยนไป เช่น การกินจุกจิก การกินอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง
จากการศึกษาพบว่า ความเครียดมีความสัมพันธ์กับน้ำหนักตัวในเชิงบวก หมายความว่า คนที่เครียดจะมีแนวโน้มที่จะอ้วนมากกว่าคนที่ไม่เครียด โดยการศึกษาหนึ่งพบว่า คนที่เครียดมีแนวโน้มที่จะอ้วนมากกว่าคนที่ไม่เครียดถึง 50%
นอกจากนี้ ความเครียดยังอาจทำให้โรคอ้วนรุนแรงขึ้นได้ โดยการศึกษาหนึ่งพบว่า คนที่เป็นโรคอ้วนที่มีความเครียดสูงจะมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงถึง 2 เท่า
สถิติเกี่ยวกับความเครียดและความอ้วน มีดังนี้
- ประมาณ 70% ของผู้ใหญ่ทั่วโลกมีประสบการณ์ความเครียด
- ประมาณ 30% ของผู้ใหญ่ทั่วโลกมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน
- ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนมีภาวะเครียดสูง
- ประมาณ 1 ใน 4 ของผู้ใหญ่ที่มีภาวะเครียดสูงมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน
การลดน้ำหนักให้ได้ผลดี ควรจัดการกับความเครียดควบคู่ไปด้วย โดยหาวิธีผ่อนคลายความเครียดที่เหมาะสมกับตนเองและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกาย
5 วิธีจัดการความเครียด
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายช่วยทำให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งมีคุณสมบัติในการผ่อนคลายความเครียด นอกจากนี้การออกกำลังกายยังช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรงและลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังต่างๆ
หาวิธีผ่อนคลายที่เหมาะสม
กิจกรรมต่างๆ ที่ช่วยให้ผ่อนคลายความเครียด เช่น การฟังเพลง การอ่านหนังสือ การใช้เวลากับคนรักและครอบครัว การทำสมาธิ เป็นต้น การเลือกกิจกรรมที่เหมาะกับตนเองจะช่วยให้ผ่อนคลายความเครียดได้ดียิ่งขึ้น
ปรับเปลี่ยนวิธีคิดและทัศนคติ
การฝึกฝนวิธีคิดและทัศนคติเชิงบวกสามารถช่วยให้รับมือกับความเครียดได้ดีขึ้น เช่น มองโลกในแง่ดี ยอมรับในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เป็นต้น
จัดสรรเวลาในชีวิตประจำวัน
การวางแผนและจัดสรรเวลาในชีวิตประจำวันอย่างเหมาะสมจะช่วยให้มีเวลาพักผ่อนและผ่อนคลายความเครียดได้มากขึ้น เวิร์คไลฟ์ บาลานซ์ เป็นสิ่งที่อาจจะช่วยลดความเครียดสะสมลง
ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น
หากความเครียดส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันมากจนไม่สามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง ควรขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น เช่น ครอบครัว เพื่อน หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ
ตัวอย่างวิธีผ่อนคลายความเครียด
- ออกกำลังกาย 30 นาทีอย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์
- ฟังเพลงหรืออ่านหนังสือที่ชอบ
- ใช้เวลากับคนรักและครอบครัว
- ฝึกสมาธิหรือโยคะ
- ใช้เวลาทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น ปลูกต้นไม้ วาดรูป เล่นดนตรี เป็นต้น
- พูดคุยกับคนสนิทเกี่ยวกับความเครียดที่ตนเองเผชิญ
- เข้ารับการบำบัดจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต
การหาวิธีจัดการความเครียดที่เหมาะสมกับตนเองจะช่วยให้สามารถรับมือกับความเครียดได้ดียิ่งขึ้น และส่งผลดีต่อสุขภาพกายและใจ
ในเมื่อเรารู้แล้วว่า ความเครียดส่งผลให้เกิดความอ้วนได้และเป็นผลร้านต่อรูปร่างรวมทั้งสุขภาพ เราจึงควรจัดการความเครียดนั้นๆให้เหมาะสม และแน่นอนว่าเพียงแค่การลดความเครียดลง คงไม่ทำให้เราน้ำหนักลดหรือสุขภาพดีขึ้นได้ เราจึงควรมุ่งเน้นที่
- จัดการความเครียด
- เลือกรับประทานที่มีประโยชน์
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
โดยควรดำเนินการทั้งสามอย่างควบคู่กันไป จะส่งผลให้เรามีสุขภาพที่ดีและแข็งขึ้นได้ เป็นการลดน้ำหนักที่ทำให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด สำหรับบุคคลที่กำลังมีปัญหาเรื่องน้ำหนัก อยากมีวิธีลดน้ำหนัก พิชิตไขมัน วันนี้เรามีทริคเด็ดมานำเสนอ
3 เทคนิคการออกกำลังกาย ลดน้ำหนักพิชิตไขมัน
การลดน้ำหนักหรือลดไขมันสามารถทำได้ทั้งจากการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย โดยการออกกำลังกายเป็นปัจจัยสำคัญในการเผาผลาญแคลอรีและลดไขมันในร่างกาย เทคนิคการออกกำลังกายพิชิตไขมัน มีดังนี้
ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ
การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายมากขึ้น ส่งผลให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีมากขึ้น ตัวอย่างการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ ได้แก่ การวิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิก เป็นต้น
ออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง
การออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เมื่อกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น ร่างกายก็จะเผาผลาญแคลอรีมากขึ้นแม้ขณะพักก็ตาม ตัวอย่างการออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง ได้แก่ การยกน้ำหนัก เล่นเวทเทรนนิ่ง เป็นต้น
ออกกำลังกายแบบผสมผสาน
การออกกำลังกายแบบผสมผสานเป็นการรวมการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอและเวทเทรนนิ่งเข้าด้วยกัน เช่น การวิ่งตามด้วยท่าเวทเทรนนิ่ง เป็นต้น การออกกำลังกายแบบผสมผสานจะช่วยเผาผลาญแคลอรีได้มากกว่าการออกกำลังกายแบบใดแบบหนึ่ง
นอกจากเทคนิคการออกกำลังกายแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการลดน้ำหนักและลดไขมัน ได้แก่ การควบคุมอาหาร พักผ่อนให้เพียงพอ และควบคุมความเครียด
คำแนะนำในการลดน้ำหนักและลดไขมัน
- ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที อย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์
- เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และครบถ้วนตามหลักโภชนาการ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีแคลอรีสูง
- พักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน
- ควบคุมความเครียด
นอกจากการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก ยังมีตัวช่วยพิเศษที่ช่วยการเผาผลาญไขมัน รวมทั้งป้องกันผิวแตกลาย ซึ่งจัดเป็นปัญหาใหญ่ของคนที่มีภาวะอ้วนเลยทีเดียว นั่นคือ mesoestetic bodyshock set ผลิตภัณฑ์เวชสำอางดูแลรูปร่างและผิวพรรณ ช่วยแก้ปัญหาไขมันส่วนเกิน เซลลูไลท์ ผิวขาดความยืดหยุ่น และรอยแตกลาย โดยประกอบด้วย
- Bodyshock intensive mist สเปรย์เข้มข้นสลายไขมัน เนื้อ biphasic แยกเป็นสองส่วน ช่วยสลายไขมัน ลดการสะสมไขมันเฉพาะจุดบริเวณที่กำจัดออกได้ยาก
- Bodyshock celluxpert เจลครีมนวดขจัดเซลลูไลท์ ป้องกันและลดเลือนผิวเปลือกส้ม ด้วยการกระตุ้นการกำจัดของเสีย สลายไขมัน และยังช่วยให้ผิวกระชับ
- Bodyshock firm’ up สำหรับบริเวณที่มีความหย่อนคล้อย สูญเสียความยืดหยุ่น ช่วยทำให้ผิวกระชับและเต่งตึงยิ่งขึ้น
- Bodyshock essential cream มอยส์เจอร์ไรเซอร์ป้องกันและลดรอยแตกลาย เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ผิวรู้สึกสดชื่น เนียนนุ่มในทันที
ด้วยเทคโนโลยีจากการค้นคว้าวิจัยระดับโลกที่สเปน สู่ผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม ผิวพรรณและรูปร่างดี ผิวสวย ยิ่งใช้ควบคู่กับการออกกำลังกายจะยิ่งเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนที่สุด พร้อมจำหน่ายแล้ววันนี้
ความเครียดและการลดน้ำหนักมีความสัมพันธ์กันทางตรง และเป็นภัยร้ายต่อรูปร่างกว่าที่คิด ดังนั้นทุกคนจึงควรใส่ใจเรื่องของความเครียด และน้ำหนักตัว ควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เพื่อให้มีสุขภาพที่ดี และชีวิตที่แจ่มใส ซึ่งวิธีการต่างๆที่กล่าวมาข้างต้นนั้นไม่นับว่ายากเลย เพียงแค่คุณเริ่มต้นที่จะทำเท่านั้น