“ลดรอยสิว ยังไงให้จางไว?” คงเป็นคำถามที่ใครหลายคนอยากรู้คำตอบ เพราะรอยสิวอาจดูเหมือนปัญหาเล็ก ๆ แต่กลับสร้างความกังวลใจให้ใครหลายคน เพราะมันไม่ได้จางหายไปเองง่าย ๆ และอาจทำให้ผิวหน้าดูหมองคล้ำหรือไม่เรียบเนียน การลดรอยสิวให้ได้ผลจริงจึงต้องอาศัยทั้งความรู้และการดูแลผิวอย่างถูกวิธี ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปไขความลับเกี่ยวกับการลดรอยสิวอย่างมืออาชีพ พร้อมเผยเทคนิคดูแลผิวที่สามารถทำได้เองที่บ้าน เพื่อช่วยให้ผิวของคุณกลับมาเนียนใสและดูสุขภาพดีอีกครั้ง
รอยสิวคืออะไร ทำไมถึงจางลงช้า ?
รอยสิวคือร่องรอยที่เกิดขึ้นหลังจากสิวหาย ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่
- รอยแดง (Post-Inflammatory Erythema – PIE)
เกิดจากหลอดเลือดใต้ผิวหนังที่ถูกกระตุ้นระหว่างการอักเสบของสิว ทำให้ผิวดูแดงหรือชมพู - รอยดำ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation – PIH)
เกิดจากการกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินในบริเวณที่มีการอักเสบ ทำให้เกิดจุดด่างดำ
ที่รอยสิวอาจจางลงช้า เกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้
- มีการอักเสบรุนแรง
สิวที่มีการอักเสบลึกหรือรุนแรง มักทิ้งรอยไว้ชัดเจนและนานกว่าสิวทั่วไป - การบีบหรือแกะสิว
ทำให้ผิวได้รับบาดเจ็บมากขึ้น เป็นการกระตุ้นการสร้างเม็ดสีและหลอดเลือดใต้ผิว - การป้องกันแสงแดดไม่เพียงพอ
รังสี UV กระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้รอยสิวเข้มขึ้นและจางลงช้ากว่าเดิม - การดูแลผิวไม่เหมาะสม
การไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดรอยสิวหรือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคืองผิว อาจทำให้กระบวนการฟื้นฟูผิวช้าลง - สภาพผิวของแต่ละคน
บางคนมีผิวที่ฟื้นฟูตัวเองช้ากว่าคนอื่น หรือมีแนวโน้มที่จะเกิดจุดด่างดำได้ง่าย
วิธี ลดรอยสิว ในปัจจุบัน มีอะไรบ้าง ?
ในปัจจุบัน มีวิธีลดรอยสิวมากมาย ที่ได้รับความนิยม ดังนี้
- การทำทรีตเมนต์ผิวหน้า (Facial Treatments) เช่น
- ลดรอยสิวด้วยวิธีไมโครเดอร์มาเบรชั่น (Microdermabrasion) ช่วยขัดเซลล์ผิวชั้นนอกเพื่อลดรอยสิว
- เคมีลอกผิว (Chemical Peels) เป็นการใช้กรดผลไม้หรือกรดอ่อน ๆ ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออก เผยผิวใหม่ที่กระจ่างใสกว่าที่เคย
- ไมโครนีดลิง (Microneedling) เป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อลดรอยสิวและปรับผิวให้เรียบเนียนขึ้น
- การใช้ยาทาเฉพาะจุด (Topical Medications)
โดยใช้ยาที่มีส่วนผสมของสารต่างๆ ดังนี้- ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) ช่วยลดรอยดำจากสิว
- กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) ช่วยลดการอักเสบและผลัดเซลล์ผิว ช่วยลดรอยสิวให้จางลง
- การทำเลเซอร์ (Laser Treatments)
เป็นวิธีการลดรอยสิว ที่กำลังได้รับความนิยม สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้- เลเซอร์ลดรอยแดง (V-Beam) ที่เกิดจากหลอดเลือดใต้ผิวหนัง
- เลเซอร์ผลัดเซลล์ผิว (Fractional Laser) ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ และลดรอยดำจากสิว
- เลเซอร์ IPL (Intense Pulsed Light) ช่วยปรับสีผิวและลดรอยดำ
- การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (Skincare)
หากใช้สกินแคร์ ที่มีส่วนผสมต่าง ๆ เหล่านี้อย่างต่อเนื่อง สามารถลดรอยสิวให้จางลงได้- วิตามินซี (Vitamin C) ช่วยลดจุดด่างดำ และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
- เรตินอล (Retinol) กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว และลดการสร้างเม็ดสี
- กรดอัลฟ่าไฮดรอกซี (AHAs) เช่น กรดไกลโคลิก ช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอก
- ไนอาซินาไมด์ (Niacinamide) ลดการอักเสบ และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
- อาร์บูติน (Arbutin) ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน
- วิธีลดรอยสิวแบบธรรมชาติ
เช่น การใช้เจลว่านหางจระเข้ น้ำมะนาว น้ำผึ้ง หรือน้ำมันมะพร้าว แต่ต้องระวังการแพ้หรือระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้นได้
เลือกผลิตภัณฑ์ ลดรอยสิวแบบ ไหน ให้เหมาะกับสภาพผิว ?
การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ลดรอยสิวให้เหมาะกับสภาพผิว เป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยให้ผิวเรียบเนียน ดังนี้
- สภาพผิวมัน
ควรเลือกผลิตภัณฑ์ลดรอยสิวที่เป็นเนื้อเจลหรือเซรั่มที่บางเบา ซึมง่าย และปราศจากน้ำมัน (Oil-Free) - ผิวแห้ง
ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารที่ให้ความชุ่มชื้น เช่น กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) หรือเซราไมด์ (Ceramides) เป็นต้น - ผิวบอบบางแพ้ง่าย
ควรเลือกสกินแคร์ลดรอยสิวเลือกสูตรที่ไม่มีน้ำหอม พาราเบน หรือแอลกอฮอล์ และส่วนผสมที่ช่วยลดการระคายเคือง เช่น ไนอาซินาไมด์ (Niacinamide) หรือว่านหางจระเข้
เทคนิคดูแลผิวหลังลดรอยสิว ให้ผิวกลับมาใสปิ๊ง
เพื่อให้รอยสิวจางลงอย่างมั่นใจ มีเทคนิคในการดูแลผิวให้กลับมาสดใส ดังนี้
- ทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยน
โดยใช้คลีนเซอร์ที่เหมาะกับสภาพผิว และปราศจากสารระคายเคือง เช่น น้ำหอมหรือแอลกอฮอล์ และให้หลีกเลี่ยงการขัดผิวแรง ๆ เพื่อลดการเสียดสี ที่อาจกระตุ้นให้เกิดการระคายเคือง - หมั่นเติมความชุ่มชื้นให้ผิว
หลังลดรอยสิว ให้ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมให้ความชุ่มชื้น เช่น กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) หรือเซราไมด์ (Ceramides) โดยเน้นเนื้อครีมหรือโลชั่น ที่ไม่อุดตันรูขุมขน - ปกป้องผิวจากรังสี UV ด้วยครีมกันแดด
โดยให้เลือกทาครีมกันแดด SPF 30 ขึ้นไป ที่สามารถปกป้องทั้งรังสี UVA และ UVB - ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยฟื้นบำรุงผิวหลังลดรอยสิว
ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ วิตามินซี ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและลดรอยดำ , เรตินอล ช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดริ้วรอยเล็ก ๆ รวมถึงไนอาซินาไมด์ ช่วยลดรอยแดง ลดการอักเสบ และเพิ่มความกระจ่างใสให้ผิว - หยุดพฤติกรรมทำร้ายผิว
ไม่ว่าจะเป็นการบีบ แกะ หรือเกาผิวบริเวณที่เคยเป็นสิว งดสูบบุหรี่ และลดการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้ผิวดูโทรม และฟื้นฟูได้ช้าลง - ทำทรีตเมนต์ ช่วยฟื้นฟูผิว
เป็นออพชั่นเสริมหลังลดรอยสิว ไม่ว่าจะเป็น การทำเลเซอร์ หรือ IPL ช่วยกระตุ้นการฟื้นฟูผิว รวมถึงการมาส์กหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและลดรอยดำ - ดูแลสุขภาพจากภายใน
เพื่อการบำรุงผิวจากการลดรอยสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ควบคู่ด้วย เช่น ผักและผลไม้ที่มีวิตามินเอ ซี และอี และดื่มน้ำให้เพียงพอ วันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยให้ผิวดูอิ่มน้ำและสดใส - พักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนหลับ 6-8 ชั่วโมงต่อวัน ช่วยให้ผิวมีเวลาฟื้นฟูตัวเอง และให้หลีกเลี่ยงความเครียดที่อาจส่งผลต่อฮอร์โมน และการฟื้นตัวของผิว
ข้อควรระวังในการใช้ผลิตภัณฑ์ลดรอยสิว
เพื่อความปลอดภัย มีข้อควรระวังในการใช้ผลิตภัณฑ์ลดรอยสิว ดังนี้ค่ะ
- ตรวจสอบส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการแพ้
เช่น น้ำหอม แอลกอฮอล์ หรือสารกันเสีย ให้ทดสอบผลิตภัณฑ์บริเวณเล็ก ๆ บนผิว เช่น หลังใบหูหรือข้อพับแขน ก่อนใช้จริง - หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์หลายชนิดพร้อมกัน
โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีสารผลัดเซลล์ผิว เช่น AHA, BHA, และเรตินอล พร้อมกัน อาจทำให้ผิวระคายเคืองและไวต่อแสง - ใช้ผลิตภัณฑ์ลดรอยสิวในปริมาณที่เหมาะสม
เพราะการใช้ผลิตภัณฑ์ในปริมาณที่มากเกินไป อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวแห้ง ลอก หรือระคายเคือง - หลีกเลี่ยงแสงแดด
ผลิตภัณฑ์ลดรอยสิวส่วนใหญ่ มีส่วนผสมของสารผลัดเซลล์ผิว ควรทาครีมกันแดด SPF 30 ขึ้นไปเพื่อปกป้องผิว และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง - หลีกเลี่ยงบริเวณที่บอบบาง
เช่น บริเวณใกล้ดวงตา ริมฝีปาก หรือแผลเปิด เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองขึ้นได้ - อย่าใช้ผลิตภัณฑ์ลดรอยสิวที่หมดอายุ
ให้ตรวจสอบวันหมดอายุ และเก็บผลิตภัณฑ์ในที่ที่เหมาะสม เช่น หลีกเลี่ยงความร้อนหรือความชื้นสูง - ไม่เปลี่ยนผลิตภัณฑ์บ่อยเกินไป
เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ลดรอยสิวแล้ว ให้เวลาอย่างน้อย 4-6 สัปดาห์ ในการเห็นผลจากผลิตภัณฑ์ อย่าเปลี่ยนผลิตภัณฑ์บ่อยเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวสับสน
ลดรอยสิว ให้จางลงอย่างปลอดภัย ด้วย melan tran3x เผยผิวใหม่ กระจ่างใส มีชีวิตชีวา
melan tran3x ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดรอยสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำในระดับเริ่มต้น จาก mesoestetic ประกอบไปด้วย 2 ผลิตภัณฑ์ คือ
- melan tran3x concentrate
เซรั่มสูตรเข้มข้น ที่มีประสิทธิภาพในการลดรอยสิว รวมถึง ฝ้า กระ จุดด่างดำ และผิวคล้ำเสียสะสม ช่วยให้ผิวดูกระจ่างใส รอยดำจากสิวดูจางลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงเท่านั้น melan tran3x concentrate ยังช่วยป้องกันการเกิดซ้ำของปัญหาดังกล่าวได้อย่างดีเยี่ยม มีส่วนประกอบที่สำคัญ ดังต่อไปนี้- Tranexamic acid
มีคุณสมบัติช่วยลดเลือนรอยฝ้า กระ จุดด่างดำ พร้อมช่วยปรับสภาพผิว ให้แลดูกระจ่างใส - Enzymacid complex
เป็นกลุ่มสารผลัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพ เพื่อเผยผิวใหม่ ให้สดใสและมีชีวิตชีวามากขึ้น ช่วยให้สีผิวสม่ำเสมอ - Tyr control complex
ช่วยลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ รวมทั้งรอยสิว และยังป้องกันการเกิดซ้ำด้วย - Niacinamide
หรือ วิตามินบี3 ช่วยให้รอยสิว และรอยด่างดำบนผิวจางลงอย่างเป็นธรรมชาติ
- Tranexamic acid
- melan tran3x gel cream
เจลครีมช่วยลดรอยสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำบนผิว ให้ดูจางลง พร้อมทั้งช่วยปรับสภาพผิวที่หมองคล้ำ ให้ดูกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น โดยมีส่วนผสมที่สำคัญ นอกจากTranexamic acid , Tyr control complex , Niacinamide แล้ว ยังมี Hydroxyacid complex ซึ่งประกอบไปด้วย Salicylic acid และ Lactic acid ที่มีประสิทธิภาพช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอก เพื่อเผยผิวใหม่ พร้อมปรับสีผิวให้สม่ำเสมอมากยิ่งขึ้น
คำถามที่พบบ่อย
Q : รอยสิวสามารถหายเองได้หรือไม่ ?
A : รอยสิวบางชนิด เช่น รอยแดงจากสิวอักเสบ อาจจางลงเองได้ ในระยะเวลาประมาณ 3-6 เดือน แต่รอยดำหรือรอยหลุมสิว อาจต้องใช้วิธีดูแลเฉพาะ เช่น การใช้สกินแคร์ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวหรือการทำทรีตเมนต์
Q : การขัดผิว ช่วยลดรอยสิวได้หรือไม่ ?
A : การขัดผิว ช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นบนและลดรอยสิวได้ แต่ควรทำอย่างอ่อนโยน และไม่บ่อยเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองและเกิดปัญหาผิวอื่น ๆ ตามมา
Q : ควรเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์ลดรอยสิวเมื่อไหร่ ?
A : ควรเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์ลดรอยสิว หลังสิวหายสนิทแล้ว เพื่อลดการอักเสบเพิ่มเติม และช่วยให้รอยจางเร็วขึ้น
Q : ต้องใช้เวลานานแค่ไหน กว่ารอยสิวจะจางลง ?
A : ระยะเวลาขึ้นอยู่กับชนิดของรอยสิว และวิธีการรักษา รอยแดงอาจจางลงใน 3-6 เดือน ส่วนรอยดำอาจใช้เวลา 6-12 เดือน
Q : ใช้ครีมกันแดด ช่วยลดรอยสิวได้จริงไหม ?
A : ครีมกันแดดช่วยป้องกันไม่ให้รอยสิวเข้มขึ้น จากการสัมผัสแสงแดด โดยควรเลือกครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไป และป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB