ไม่ใช่เพียงแค่ผู้หญิงเท่านั้น ที่สนใจในเรื่องความสวยความงาม การ ฉีดฟิลเลอร์ผู้ชาย ก็เป็นเรื่องปกติแล้วในปัจจุบัน เพราะปัจจุบันคุณผู้ชายทั้งหลาย ก็เริ่มหันมาดูแลเอาใจใส่ตัวเองมากขึ้น ทั้งในเรื่องบุคลิกและผิวพรรณ จนกลายเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะเป็นการทาครีมหรือพึ่งหัตถการทางการแพทย์ เพื่อปรับรูปหน้า ทั้งยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์กระชับขึ้น กระชากวัยลงไปอีกหลายปี
ปัญหาผิวของผู้ชาย
ก่อนที่จะทำหัตถการด้านการฉีดฟิลเลอร์ ก่อนอื่นจะต้องทำความเข้าใจกับปัญหาผิวส่วนใหญ่ของผู้ชายกันก่อน โดยปกติ ผิวของผู้ชายและผู้หญิงจะมีความแตกต่างกันในเรื่องของโครงสร้างของผิวอยู่แล้ว โดยผิวของผู้ชายจะมีความหนาแน่นมากกว่าผิวของผู้หญิง อีกทั้งจะมีความมันมากกว่าผิวหน้าของผู้หญิง เนื่องจากมีการหลั่งของฮอร์โมนเพศชายอย่างเทสโทสเตอโรนมากกว่า และเนื่องจากปริมาณคอลลาเจนในชั้นผิวของผู้ชายมีมากกว่าผู้หญิงประมาณ 20% จึงทำให้ผิวของผู้ชายดูอ่อนเยาว์มากกว่าผู้หญิง แต่เนื่องจากลักษณะการใช้ชีวิตหรือไลฟ์สไตล์ของผู้ชายที่ไม่ค่อยได้ดูแลหรือบำรุงผิวมากเท่ากับผู้หญิง มีการออกงานปาร์ตี้สังสรรค์ หรือทำกิจกรรมที่นอนดึกหรือผาดโผนกว่าจึงทำให้ผิวผู้ชายดูหมองคล้ำและมีรูขุมขนกว้างกว่าผู้หญิงนั่นเอง
ฉีดฟิลเลอร์ผู้ชาย
การที่ผู้ชายหันไปเสริมหล่อด้วยหัตถกรรมทางการแพทย์ทุกวันนี้ถือเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะการฉีดฟิลเลอร์ที่กำลังได้รับความนิยมกันอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นการฟื้นฟูผิวของผู้ชายแบบง่ายๆและรวดเร็วทันใจ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกเพื่อช่วยแก้ปัญหาผิวให้กับบรรดาท่านชายทั้งหลาย ทั้งยังช่วยปรับเปลี่ยนโครงหน้าให้ดูแมนมากขึ้น การฉีดฟิลเลอร์เพื่อช่วยเติมเต็มชั้นผิวที่เสื่อมสภาพ เติมเต็มริ้วรอยร่องลึกตามจุดต่างๆ แก้ปัญหาสำหรับผู้ที่มีการยุบตัวลงของกระดูกเมื่ออายุมากขึ้น รวมถึงการเติมเต็มใบหน้าให้มีความสมมาตร ให้หน้าดูมีมิติมากขึ้น เป็นต้น สามารถช่วยเรียกความมั่นใจกลับมาได้อีกมากเลยทีเดียว ซึ่งข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ ก็คือเห็นผลเร็ว ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น อำนวยความสะดวกให้กับลักษณะของผู้ชายที่ไม่ชอบความยุ่งยากหรือเสียเวลามากเกินไป
ความแตกต่างของการ ฉีดฟิลเลอร์ผู้ชาย และ ผู้หญิง
ในขั้นตอนการ ฉีดฟิเลอร์ผู้ชาย และ ผู้หญิงไม่มีความแตกต่างกันมากนัก แต่ที่แตกต่างกันคือจุดประสงค์ในการฉีดและผลลัพธ์ที่ต้องการ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆประกอบกันด้วย เช่นประสบการณ์ของแพทย์และเทคนิคการฉีดของแพทย์ ที่จะเป็นตัวกำหนดผลลัพธ์ที่มีความเป็นธรรมชาติ มีความแมนในแบบผู้ชาย โดยส่วนใหญ่ในเรื่องของการปรับโครงหน้านั้น ผู้ชายมักนิยมรูปหน้าที่ดูคม มีเหลี่ยมมีคมที่พอดี มีกรอบหน้าที่ชัดเจน ต่างจากผู้หญิงที่ต้องการความละมุน อ่อนหวาน หน้าเรียวเล็ก เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่าก่อนที่จะฉีดฟิลเลอร์ จะต้องเข้าพบแพทย์เพื่อทำการประเมินผิวหน้า เพื่อแนะนำการฉีดฟิลเลอร์ที่เหมาะสม ในปริมาณที่ถูกต้องเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นและเพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน
ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ในผู้ชาย
มีข้อดีมากมายของการฉีดฟิลเลอร์สำหรับผู้ชาย ดังต่อไปนี้
- เห็นผลชัดเจน รวดเร็วทันทีหลังฉีด
- มีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ใช้เวลาไม่นาน
- ไม่มีรอยแผล ไม่ต้องพักฟื้น ฉีดเสร็จสามารถขับรถกลับบ้านหรือไปทำงานต่อได้เลย
- เหมาะกับคนที่ไม่มีเวลามาก
- มีความปลอดภัยและให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องเลือกฉีดกับแพทย์ผู้มีประสบการณ์และมีเทคนิคการฉีดที่เฉพาะเจาะลงด้วย
ผู้ชายนิยมฉีดฟิลเลอร์ที่จุดไหนบ้าง?
การฉีดฟิลเลอร์ในผู้ชาย ส่วนใหญ่มักจะเลือกฉีดในตำแหน่งที่คล้ายคลึงกันกับฟิลเลอร์ที่ฉีดในผู้หญิง เพียงแต่อาจจะมีเทคนิคการฉีดที่แตกต่างกัน ดังนี้
- การฉีดฟิลเลอร์ที่คาง
การฉีดฟิลเลอร์ที่คาง สามารถแก้ปัญหาในกรณีที่มีคางสั้น คางไม่ได้รูป ให้ได้คางที่มีความสมมาตรและมีสัดส่วนที่ดีขึ้น โดยการฉีดฟิลเลอร์คางในผู้ชาย จะมีการปรับคางให้ได้สัดส่วนชัดเจน มีความกว้างของคางที่พอเหมาะรับกับใบหน้า โดยมีการรักษามุมของสันกรามเอาไว้ เพื่อให้หน้าดูมีมิติ ในขณะที่ผู้หญิงส่วนใหญ่นิยมฉีดคางให้เล็กแหลม เป็นรูปตัววี(V) - การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
โดยปกติ เมื่ออายุเกิน 25 ปีขึ้นไป กระดูกที่ตาจะเริ่มยุบลง ทั้งคอลลาเจนใต้ผิวก็จะค่อยๆเสื่อมสภาพลงด้วย บวกกับการที่ผู้ชายส่วนใหญ่ ไม่ค่อยได้ดูแลตัวเองมาตั้งแต่ต้น และมีลักษณะการใช้ชีวิตประจำวันที่โลดโผนมากกว่าผู้หญิง ทำให้ปัญหาต่างๆเริ่มเด่นชัดมากขึ้น ทั้งริ้วรอยรอบดวงตา ตาลึกโบ๋ ขอบตาดำ ซึ่งทำให้หน้าดูโทรม ดูเหนื่อย การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา สามารถช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นได้ ทั้งยังสามารถช่วยลดริ้วรอยร่องลึกใต้ตา รอยเหี่ยวย่นรอบๆดวงตาได้ด้วย ทำให้หน้าดูเด็กลงและสดใสมากขึ้น ซึ่งในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาของผู้ชายและผู้หญิงจะมีเทคนิคและผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน โดยผู้หญิงจะเน้นความสวยงามของใบหน้า ให้ดูละมุนขึ้น มีความอ่อนหวาน ในขณะที่ผู้ชายจะเน้นการทำให้หน้าดูคมเข้มเป็นธรรมชาติ มีความเท่และความหล่อในแบบฉบับของตัวเอง โดยผลลัพธ์ที่ต้องการ ย่อมขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญและเทคนิคของแพทย์ผู้ทำหัตถการด้วยเช่นกัน - การฉีดฟิลเลอร์ปาก
การฉีดฟิลเลอร์ปาก เหมาะกับผู้ชายที่มีปัญหาริมฝีปากเล็ก ปากบาง ปากแบน มุมปากคว่ำ ไม่มีมิติ รวมถึงรูปปากที่ผิดเพี้ยนอันมีสาเหตุมาจากอุบัติเหตุ หรือมีแผลเป็นบริเวณริมฝีปาก การฉีดฟิลเลอร์ที่ริมฝีปากสามารถช่วยแก้ปัญหาต่างๆเหล่านี้ได้ ทั้งยังช่วยเปลี่ยนทรงปากของคุณผู้ชายให้มีความสมมาตร มีความอวบอิ่ม ดูเป็นทรงมากขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น การฉีดฟิลเลอร์ยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ริมฝีปาก ทำให้ริมฝีปากไม่แห้งและไม่ตกร่องอีกด้วย - การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม
ปัญหาร่องแก้ม เกิดจากการที่ผิวแห้ง ขาดการบำรุงอย่างต่อเนื่อง จนเกิดเป็นริ้วรอยลึกที่ร่องแก้มก่อนวัยอันควรร ยิ่งผู้ชายส่วนใหญ่ไม่ได้พิถีพิถันในการดูแลผิวมากนัก จึงทำให้เกิดร่องแก้มได้เร็วขึ้น การฉีดฟิลเลอร์ เป็นตัวช่วยดีๆที่สามารถทำให้ร่องแก้มดูตื้นขึ้นได้ ทั้งยังสามารถช่วยปรับรูปหน้าให้ดูมีสัดส่วนที่ชัดเจนขึ้น ทำให้หน้าดูเรียวมากขึ้น และดูเด็กลงด้วย - การฉีดฟิลเลอร์ขมับ
ปัญหาส่วนใหญ่ของขมับคือ มักจะมีลักษณะเป็นแอ่งยุบตัวลง หรือที่เรียกว่าขมับตอบ จะทำให้มองเห็นโหนกแก้มเด่นชัดขึ้น ทำให้หน้าแก่ก่อนวัย การฉีดฟิลเลอร์ที่ขมับจะช่วยปรับรูปหน้าโดยรวมให้ดูสมส่วน ทำให้ขมับดูเต็ม ไม่บุ๋ม ดูอิ่มขึ้น นอกจากนั้นยังช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยที่บริเวณหางตาให้ดูตื้นขึ้นได้อีกด้วย - การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก
อีกหนึ่งจุดสำคัญ ที่ผู้ชายมักนิยมฉีดฟิลเลอร์คือ “หน้าผาก” โดยสารเติมเต็มที่อยู่ในฟิลเลอร์จะช่วยแก้ปัญหาหน้าผากยุบ รอยบุ๋มที่บริเวณหน้าผาก รวมถึงริ้วรอยแห่งวัยที่หน้าผาก และหน้าผากย่นด้วย อีกทั้งยังสามารถปรับรูปหน้าให้ดูสมส่วนมากขึ้นด้วยเช่นกัน - การฉีดฟิลเลอร์จมูก
การฉีดฟิลเลอร์จมูก เหมาะกับท่านชายที่อยากจะตกแต่งปลายจมูกหรือปรับทรงจมูกเพียงเล็กน้อย เพื่อให้จมูกดูเป็นสัน พุ่งมากขึ้นกว่าเดิม หรือบางท่านนิยมฉีดฟิลเลอร์จมูกเพราะต้องการเสริมโหงวเฮ้งก็มี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จะต้องทำกับแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ เพราะมีความเสี่ยงสูงที่ฟิลเลอร์จะเข้าไปในเส้นเลือดหรือเข้าตา และเนื่องจากปัจจุบันการฉีดฟิลเลอร์จมูกยังไม่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศไทย จึงทำให้คนนิยมหันไปร้อยไหมที่จมูกแทน เพราะมีความปลอดภัยมากกว่านั่นเอง - การฉีดฟิลเลอร์กรอบหน้า
ฟิลเลอร์กรอบหน้า(Jaw Line Filler) เหมาะกับผู้ชายที่ต้องการปรับรูปหน้าให้มีสันคมมากขึ้น มีกรอบหน้าที่ชัดเจน ช่วยปรับสมมาตรของแนวกรามทั้งสองข้างให้เท่ากัน ทำให้ใบหน้ามีเหลี่ยมมีมุม ดูมีมิติมากขึ้น
ก่อนฉีดฟิลเลอร์ผู้ชาย ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง?
ท่านชายที่กำลังคิดอยากที่จะไปฉีดฟิลเลอร์เพื่อแก้ไขส่วนต่างๆบนใบหน้าและแก้ปัญหาเรื่องผิวพรรณ จะต้องมีการเตรียมตัว ดังต่อไปนี้
- การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ล่วงหน้า 1 สัปดาห์
มีข้อควรปฏิบัติ ดังต่อไปนี้- ให้งดยาแอสไพริน NSAIDs เช่น Ibuprofen, Diclofenac, Ponstan
- ให้งดวิตามินจำพวก St. Johns Wort, Ginkgo biloba, Primrose oil, Garlic, Ginseng, และ Vitamin E เนื่องจากวิตามินเหล่านี้สามารถไปกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ทำให้เลือดแข็งตัวช้าในระหว่างที่ฉีดฟิลเลอร์ อาจทำให้เกิดอาการช้ำหลังฉีดได้
- ให้งดการผลัดเซลล์ผิว การโกนขน ในบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์
- ให้งดการใช้สกินแคร์ชนิดผลัดเซลล์ผิว เช่น Retinoids และ Glycolic Acid ประมาณ 3 วันก่อนทำหัตถการ
- หากผู้ชายท่านใดมีโรคประจำตัว หรือมียาที่รับประทานชนิดอื่น ควรแจ้งแพทย์ล่วงหน้าก่อนเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์
- หากมีความจำเป็นต้องทำหัตถการเกี่ยวกับใบหน้า เช่น นวดหน้า หรือทำเลเซอร์ ควรทำก่อนฉีดฟิลเลอร์อย่างน้อย 4 สัปดาห์
- การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ 24 ชั่วโมง
มีข้อควรปฏิบัติ ดังต่อไปนี้- ให้งดดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมง ก่อนฉีดฟิลเลอร์
- ให้งดทำกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด เช่น การออกกำลังกายอย่างหนัก หรือการอบซาวน่า เป็นต้น
หลังฉีดฟิลเลอร์ผู้ชาย ต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง?
โดยปกติ แพทย์จะเป็นผู้ให้คำแนะนำถึงวิธีการปฏิบัติตัวหลังจากที่ฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งผู้เข้ารับการฉีดจะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อช่วยให้ฟิลเลอร์เข้าที่ได้เร็วขึ้น ช่วยลดอาการบวมหลังฉีด ทั้งยังช่วยไม่ให้ฟิลเลอร์สลายตัวเร็วกว่าที่ควรจะเป็นอีกด้วย ซึ่งการปฏิบัติตัวหลังฉีดฟิลเลอร์ มีดังต่อไปนี้
- หลังจากที่ฉีดฟิลเลอร์ผู้ชายทันที มีข้อควรปฏิบัติ คือ
- ให้รับประทานยาฆ่าเชื้อทันทีหลังฉีดฟิลเลอร์เสร็จ
- ในกรณีที่ทางคลินิกมีการจ่ายยาฆ่าเชื้อ ยาลดบวมหรือยาแก้ปวด ให้รับประทานตามที่แพทย์แนะนำ
- หลังจากฉีดเสร็จ อาจมีอาการปวด บวมแดง ระบม เขียวช้ำ หรือคันบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ ไม่ควรเกา แกะ นวด คลึง ในบริเวณนั้นๆ เพราะเสี่ยงต่อการทำให้ฟิลเลอร์เสียรูปทรงได้
- หลังจากฉีดเสร็จ ให้ประคบเย็นเบาๆตามที่แพทย์แนะนำ ไม่ควรกดแรง
- หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำหน้าหรือนอนตะแคงประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพราะอาจเสี่ยงต่อการทำให้ฟิลเลอร์เสียรูปทรงได้โดยง่าย
- หลังจากที่ฉีดฟิลเลอร์ไปได้ 24 ชั่วโมง หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวด หรือบวม สามารถรับประทานยาแก้ปวด เพื่อบรรเทาอาการได้
- ควรนอนพักผ่อนในห้องที่มีอุณหภูมิประมาณ 18-23 องศาเซลเซียส ไม่ควรนอนในห้องที่ร้อนเกินไป เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์สลายและเสียรูปได้
- หลังจากที่ฉีดฟิลเลอร์ผู้ชายได้ 48 ชั่วโมง มีข้อควรปฏิบัติดังต่อไปนี้
- ควรงดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 2 วันหลังจากฉีดฟิลเลอร์
- ผิวในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ สามารถโดนน้ำได้เป็นปกติหรือทาครีมทับได้
- ให้งดการนวด ถู สครับ หรือสัมผัสที่ใบหน้าแรงๆ ไม่ควรยิ้มกว้างจนเกินไป เนื่องจากเป็นช่วงที่ฟิลเลอร์กำลังเซ็ทตัว
- ในกรณีที่ฉีดฟิลเลอร์คาง ให้งดเท้าคาง เพราะจะทำให้ฟิลเลอร์เสียรูป
- หลังจากที่ฉีดฟิลเลอร์ หากชายท่านใดรู้สึกว่าฟิลเลอร์มีการจับตัวกันเป็นก้อน ห้ามนวด ปั้น หรือคลึงใบหน้าในบริเวณที่ฉีด แต่แนะนำให้รีบไปพบแพทย์ผู้ทำหัตถการในทันที
- หลังจากที่ฉีดฟิลเลอร์ผู้ชายได้ 14 วัน มีข้อควรปฏิบัติดังต่อไปนี้
- สามารถขยับใบหน้าได้ตามปกติ หรือออกกำลังกาย และรับประทานอาหารได้ตามปกติได้เช่นกัน
- พยายามหลีกเลี่ยงความร้อนไม่ให้โดนบริเวณหน้า เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์สลายตัวได้ง่าย
- หลังจากที่ฉีดฟิลเลอร์ได้ประมาณ 2-3 สัปดาห์ โดยทั่วไป ฟิลเลอร์จะค่อยๆนิ่มลง ยกเว้นฟิลเลอร์ที่ฉีดนั้น เป็นรุ่นที่ฉีดเข้าไปในผิวชั้นที่ลึก
- ให้งดการทำเลเซอร์ร้อนที่ผิวชั้นลึก อย่างน้อย 1 เดือน
ผลข้างเคียงที่อาจพบได้จากการฉีดฟิลเลอร์ในผู้ชาย
หลังจากที่ฉีดฟิลเลอร์ แน่นอนว่าจะมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นตามมา ซึ่งอาการต่างๆเหล่านั้น มักปรากฏในลักษณะต่างๆ ดังต่อไปนี้
- อาจมีอาการปวด แสบ คัน ในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์
- มีอาการบวม แดง และช้ำในบริเวณที่ฉีดอยู่ประมาณ 2 – 3 วันแรก แต่อาการเหล่านี้จะค่อยๆดีขึ้น และจะหายไปภายใน2 สัปดาห์
- ในบางกรณี อาจมีการติดเชื้อในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ ควรรับปรึกษาแพทย์
- ในบางราย อาจมีอาการแพ้ฟิลเลอร์หรือแพ้ยาชาที่อยู่ในฟิลเลอร์ (Lidocaine)
- ฟิลเลอร์ไหลเข้ายังเนื้อเยื่อในบริเวณข้างเคียง
- ฟิลเลอร์เป็นก้อน เป็นลำ
- ฟิลเลอร์เข้าไปอุดตันในหลอดเลือด หรือทำให้เกิดลิ่มเลือดในอวัยวะต่างๆ
สิ่งที่จะช่วยลดอาการข้างเคียงหรืออันตรายต่างๆจากการฉีดฟิลเลอร์ คือการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ทั้งก่อนและหลังฉีดให้ได้มากที่สุด
ฉีดฟิลเลอร์ ไม่ควรกินอะไร?
ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังฉีดฟิลเลอร์ มีประเภทของอาหารที่ควรเลี่ยง ไม่ควรรับประทาน เพราะอาจส่งผลข้างเคียงตามมา ดังนี้
- อาหารเสริมบางชนิด
เนื่องจากอาหารเสริมจำพวกวิตามินและสมุนไพรบางชนิด มีคุณสมบัติคล้ายกับยาละลายลิ่มเลือด สามารถทำให้เลือดจางลง ส่งผลให้เลือดออกง่าย หยุดยาก มีโอกาสบวมและช้ำได้มากกว่าปกติเมื่อฉีดฟิลเลอร์ อาหารเสริมในกลุ่มที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด อาทิเช่น วิตามินอี (Vitamin E), น้ำมันปลา (Fish Oil), โอเมก้า 3 (Omega-3), อาหารเสริมที่มีส่วนผสมของแปะก๊วย (Ginkgo Biloba), สมุนไพรเซนต์จอห์นเวิร์ต (St.John’s wort), กระเทียม (Garlic), และโสม (Ginseng) นอกจากนั้นยังรวมไปถึงยาที่เกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือดด้วย อย่างเช่น warfarin และยาต้านการอักเสบกลุ่มที่ไม่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ (Non steroidal anti-inflammatory drugs หรือ NSAIDs) อย่างยาแอสไพริน ดังนั้นแพทย์จึงแนะนำให้หยุดอาหารเสริมและยาเหล่านี้ทั้งก่อนและหลังการฉีดฟิลเลอร์เป็นเวลา 1 สัปดาห์ - อาหารที่ร้อน มีอุณหภูมิสูง
การทานอาหารที่มีความร้อนหรือมีอุณหภูมิสูง ก็ควรจะต้องหลีกเลี่ยงในช่วงของการฉีดฟิลเลอร์ในช่วงแรก ประมาณ 2 สัปดาห์หลังการฉีดฟิลเลอร์ โดยเฉพาะฟิลเลอร์ปาก เพราะมีโอกาสที่บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์นั้นจะได้สัมผัสกับความร้อนที่มากกว่าปกติ อย่างเช่นอาหารปิ้งย่าง ชาบู สุกี้ ที่ต้องอยู่หน้าหม้อไฟ เป็นต้น นอกจากอาหารที่ร้อนแล้ว ยังรวมถึงพลังงานความร้อนจากแสงแดด รวมถึงการหลีกเลี่ยงที่จะอยู่ในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูง เช่น ห้องอบซาวน่าหรือบ่อน้ำร้อนในช่วง 2 สัปดาห์แรกด้วยเช่นกัน เนื่องจากทั้งอาหารที่ร้อนและอุณหภูมิภายนอกที่สูงมักมีผลต่อการเซ็ทตัวของฟิลเลอร์ ทั้งยังสามารถทำให้ฟิลเลอร์ไหลไปยังเนื้อเยื่อบริเวณข้างเคียงได้ด้วย - แอลกอฮอล์
คำว่า “แอลกอฮอล์” ในที่นี้ ไม่ใช่เพียงแค่เหล้าหรือเครื่องดื่มมึนเมาเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึง อาหาร หรือขนมทุกอย่างที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ซึ่งควรงดก่อนฉีดฟิลเลอร์ 24 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย และควรงดหลังการฉีดฟิลเลอร์เป็นเวลา 3 – 14 วัน เนื่องจากแอลกอฮอล์มีผลกระทบกับหลอดเลือดโดยตรง โดยจะถูกดูดซึมเข้าไปในระบบไหลเวียนโลหิต ส่งผลให้หลอดเลือดและหัวใจทำงานหนักมากขึ้น ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น และทำให้เลือดมีการไหลเวียนได้มากกว่าปกติ ซึ่งการที่เลือดไหลเวียนได้ดีนั้น แท้จริงแล้วส่งผลเสียกับแผลในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์โดยตรง เพราะหากดื่มแอลกอฮอล์ก่อนฉีด เลือดก็จะหยุดไหลได้ยากขึ้น ทั้งยังมีโอกาสที่จะเกิดรอยช้ำจากการฉีดฟิลเลอร์ได้มากกว่าปกติ ทำให้บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์บวมแดงได้มากกว่าเดิม ทั้งยังเป็นการกระตุ้นให้เกิดการอักเสบในบริเวณที่เป็นแผลจากการฉีดฟิลเลอร์อีกด้วย - เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน
คาเฟอีนที่อยู่ในชาหรือกาแฟ มีผลทำให้หลอดเลือดเกิดการขยายตัวและทำให้เลือดมีการสูบฉีดที่ดีขึ้น เพราะฉะนั้นการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนก่อนการฉีดฟิลเลอร์ อาจส่งผลให้แผลบวมหรือแผลหายช้าได้ด้วย นอกจากนั้นคาเฟอีนยังส่งผลให้ความชุ่มชื้นของผิวลดลง ซึ่งสวนทางกับคุณสมบัติของฟิลเลอร์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ดังนั้น เพื่อประสิทธิภาพในฉีดฟิลเลอร์ที่จะได้ผลดีมากขึ้น จึงไม่ควรดื่มกาแฟก่อนการฉีดฟิลเลอร์ 24 ชั่วโมง และควรงดหลังฉีดฟิลเลอร์เป็นเวลาประมาณ 2 – 3 วัน หรือถ้างดแล้วทำให้รู้สึกปวดศีรษะหรือหมดแรงสำหรับคนที่ติดกาแฟ ก็ให้ลดปริมาณการดื่มลง และไม่ควรดื่มแบบใส่นม เนื่องจากนม สามารถกระตุ้นให้เกิดการอักเสบเพิ่มมากขึ้น - อาหารที่มีโซเดียมสูง
การทานเค็มหรือทานอาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น อาหารหมักดอง ส้มตำ ชาบูน้ำดำ หรืออาหารอื่นๆ ที่มีรสเค็มจัด จะส่งผลให้หน้าบวมตัวบวม โดยทางการแพทย์มักเรียกอาการเช่นนี้ว่าภาวะบวมน้ำ (Edema) เป็นอาการที่มีน้ำกักอยู่ในเนื้อเยื่อเกี่ยวพันมากกว่าปกติจนทำให้ผิวบวมขึ้น ซึ่งภาวะดังกล่าว เกิดจากการรับประทานอาหารที่มีปริมาณโซเดียมสูง เนื่องจากว่าโซเดียมเป็นสารควบคุมสมดุลของเหลวในระบบร่างกาย ดังนั้น ถ้าหากมีโซเดียมในร่างกายมาก ร่างกายก็จะยิ่งกักเก็บน้ำเอาไว้มากเพื่อรักษาความสมดุล จึงทำให้ผิวบวมขึ้นมา ในการฉีดฟิลเลอร์ หากมีภาวะบวมน้ำร่วมกับอาการบวมจากเข็มหลังฉีด ก็จะทำให้บริเวณที่ฉีดนั้นบวมมากขึ้นกว่าปกติและหายบวมได้ช้าลง เพราะฉะนั้น เพื่อลดผลข้างเคียงจากอาการดังกล่าว ควรงดอาหารรสเค็มจัดที่มีโซเดียมสูงประมาณ 1 สัปดาห์ หลังฉีดฟิลเลอร์ - อาหารที่มีน้ำตาลสูง
อาหารที่มีน้ำตาลสูง หมายถึงอาหารทุกอย่างที่มีรสหวาน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่ม อาหารหวาน ขนม รวมไปถึงนมวัว เนื่องจากว่า เมื่อเรารับประทานอาหารประเภทนี้เข้าไป ตับของคนเราจะถูกกระตุ้นให้สร้างกรดไขมันอิสระ (Free fatty acid) ออกมามากกว่าปกติ และเมื่อร่างกายทำการย่อยสลายกรดไขมันอิสระ ก็จะได้สารประกอบออกมา ซึ่งสารประกอบตัวนี้จะไปกระตุ้นกระบวนการอักเสบให้เกิดขึ้น ทำให้ผิวจากการฉีดฟิลเลอร์บวมแดงมากกว่าปกติ ทั้งยังทำให้แผลหายช้า ดังนั้นเพื่อป้องกันผลข้างเคียงดังกล่าว ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทนี้หลังจากการฉีดฟิลเลอร์ระยะหนึ่ง - อาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ
อาหารกึ่งสุกกึ่งดิบคืออาหารที่สุกไม่ทั่วถึง ทำให้มีโอกาสที่เชื้อโรคจะปะปนเข้าไปได้มาก หรืออาจจะมีพยาธิหลงเหลืออยู่ในอาหารนั้นๆ เช่นพวกลาบดิบ เป็นต้น และเชื้อโรคต่างๆเหล่านั้นก็สามารถไปทำปฏิกิริยากับแผลและกระตุ้นให้เกิดการอักเสบที่เพิ่มมากขึ้นด้วย - อาหารที่ทานยากและเลอะเทอะ
เนื่องจากอาหารประเภทนี้จะเสี่ยงต่อการเลอะที่บริเวณปากและใบหน้า ซึ่งจะต้องเช็ดอยู่บ่อยๆ แน่นอนว่าอาจไม่ส่งผลดีต่อการฉีดฟิลเลอร์ในช่วงแรกๆ เพราะจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อในบริเวณที่ฉีด อีกทั้งยังส่งผลให้ฟิลเลอร์ที่ยังไม่เข้าที่หรือยังไม่เซ็ตตัวนั้นเกิดการไหลเข้าไปสู่เนื้อเยื่อบริเวณอื่นๆได้ ทำให้ไม่เห็นผลดีเท่าที่ควร ทั้งยังสามารถทำให้ฟิลเลอร์จับตัวกันเป็นก้อนได้ด้วย ดังนั้น ถ้าจะให้ดี ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารในลักษณะนี้ประมาณ 2 – 3 วันหลังฉีดฟิลเลอร์
วิธีตรวจสอบฟิลเลอร์แท้
แน่นอนทีเดียวว่า การฉีดฟิลเลอร์ให้ได้ผลดีและมีความปลอดภัย จะต้องฉีดกับแพทย์ผู้มีประสบการณ์และมีความชำนาญ และที่สำคัญฟิลเลอร์ที่ใช้ในการฉีดนั้นจะต้องเป็นฟิลเลอร์แท้ที่ใช้เป็นสารเติมเต็มเพื่อแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างแท้จริง เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนและความปลอดภัยในระยะสั้นและระยะยาว ควรเลือกใช้เฉพาะฟิลเลอร์ที่ได้รับมาตรฐาน ผ่าน อย. และถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น โดยมีวิธีตรวจสอบ ดังต่อไปนี้
- กล่องฟิลเลอร์ของแท้ จะต้องมีฉลากภาษาไทยติดอยู่บนกล่อง พร้อมราคา และข้อมูลเลข Lot เลขที่อ้างอิง, วันผลิต, หมดอายุอย่างชัดเจน
- ฟิลเลอร์แท้ ที่เป็นสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid หรือ HA จะต้องสามารถฉีดสลายได้ด้วยตัวยาไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) และสลายได้ 100 % โดยจะค่อยๆ ยุบลงจนไม่เหลือฟิลเลอร์ตกค้าง และไม่มีผลข้างเคียงใดๆที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
คำถามอื่นๆเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ในผู้ชาย
นอกจากประเด็นต่างๆที่เราได้เรียนรู้กันไปแล้ว เกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ในผู้ชาย ยังมีคำถามอื่นๆที่น่าสนใจ ดังต่อไปนี้
- ฉีดฟิลเลอร์ผู้ชาย ใช้เวลานานเท่าไรจึงจะเห็นผลชัดเจน
การฉีดฟิลเลอร์ในผู้ชาย กว่าที่ฟิลเลอร์จะเข้าที่และเห็นผลอย่างชัดเจน จะใช้เวลาประมาณ 7-14 วัน หรือประมาณ 2 สัปดาห์ หลังจากที่ฉีด จะมีอาการบวมเล็กน้อยหรืออาจมีรอยแดงจากเข็ม เป็นเรื่องปกติ แต่อาการเหล่านี้จะหายไปได้เองภายใน 2-3 วัน - ฉีดฟิลเลอร์ผู้ชายอยู่ได้นานหรือไม่
โดยทั่วไป ระยะเวลาการคงอยู่ของฟิลเลอร์จะอยู่ได้ประมาณ 6-24 เดือน โดยขึ้นอยู่กับยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ รุ่นฟิลเลอร์ที่ฉีด ตำแหน่งที่ฉีด รวมไปถึงการดูแลตัวเองหลังจากทำหัตถการด้วย - ฉีดฟิลเลอร์ในผู้ชายอันตรายหรือไม่
เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงรุนแรงจากการฉีดฟิลเลอร์ ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่มีสารประเภท Hyaluronic Acid ที่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ 100% ภายในระยะเวลา 1-2 ปี เลือกยี่ห้อที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา นอกจากนั้น ให้เลือกฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการทำหัตถการ ไม่ฉีดกับหมอเถื่อนหรือหมอกระเป๋า เพราะเสี่ยงต่ออันตรายที่จะตามมาอีกมากมาย - เลือกฉีดฟิลเลอร์อย่างไรให้ปลอดภัยสูงสุด
ในการฉีดฟิลเลอร์ให้มีความมั่นใจทั้งในผลลัพธ์และความปลอดภัย มีข้อควรพิจารณา ดังต่อไปนี้ - เลือกสถานเสริมความงามหรือคลินิกในการฉีดฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน
ควรเลือกสถานเสริมความงามหรือคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ ได้มาตรฐานการรับรองจากกฎกระทรวงสาธารณสุข มีป้ายชื่อสถานพยาบาล เลขที่ใบอนุญาต 11 หลัก มีความสะอาด บรรยากาศดี - เลือกฉีดฟิลเลอร์แท้เท่านั้น
การฉีดฟิลเลอร์ไม่ว่าชายหรือหญิง ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์แท้เท่านั้น แนะนำให้ศึกษาหาข้อมูลของฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ แต่ละชนิดก่อนฉีดทุกครั้ง เมื่อเข้าไปพบแพทย์ ควรขอให้แพทย์แกะกล่อง แกะหลอดฟิลเลอร์ให้ดูต่อหน้าเพื่อความมั่นใจว่าเป็นฟิลเลอร์ HA (Hyaluronic Acid) แท้ ที่ได้มาตรฐานอย่างแท้จริง - เลือกฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ที่มีประสบการณ์
แพทย์ผู้ทำหัตถการ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่สำคัญที่จะทำให้ผู้เข้ารับการฉีดฟิลเลอร์รู้สึกปลอดภัย โดยแพทย์จะต้องมีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญ พร้อมทั้งมีความสามารถในการวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด สามารถเลือกฟิลเลอร์ที่ช่วยแก้ปัญหาของลูกค้าได้อย่างแท้จริง - เลือกฉีดกับคลิกนิกที่มีรีวิว มีความน่าเชื่อถือ
ทุกวันนี้ รีวิวสำคัญ เพราะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดการตัดสินใจของผู้บริโภค รวมถึงการฉีดฟิลเลอร์ด้วยเช่นกัน ก่อนฉีดจะต้องทำการศึกษาทั้งในส่วนของความน่าเชื่อถือของคลินิกและความน่าเชื่อถือของรีวิวที่เป็นของลูกค้าจริงๆ เรียลๆ เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการเข้ารับบริการ โดยให้ดูจากช่องทางรีวิวที่เป็นกลาง มีความน่าเชื่อถือ ที่คลินิกไม่สามารถลบได้
ทำไมต้อง Me Filler
Me Filler โดย mesoestetic มาพร้อมกับนวัตกรรมใหม่อย่าง densimatrix technology ที่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาผิวหน้าของทุกท่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยโครงสร้างแบบ cross-linked hyaluronic acid 100% (non-free ha) ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาความบกพร่องบนใบหน้าได้อย่างครอบคลุม การันตีคุณภาพด้านมาตราฐานการผลิต ความปลอดภัย และประสิทธิภาพได้อย่างสูงสุด ไม่ว่าจะเป็น ริ้วรอยตีนกา, ริ้วรอยรอบดวงตา, ร่องน้ำหมาก, ริ้วรอยร่องลึก เป็นต้น ผิวหย่อนคล้อยและผิวตอบ (loss of volume) ถุงใต้ตาและรอยคล้ำใต้ตา ใช้ได้ทั้งชายและหญิง ด้วยขั้นตอนที่ง่าย อาการข้างเคียงน้อย ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันต่อได้เลย มีเนื้อเจล 3 รูปแบบ ที่มีลักษณะที่แตกต่างกัน ทั้ง Me Filler periocular , Me Filler global และ Me Filler intense ที่มีอนุภาคเล็ก ทำให้เกิดการผสานของอนุภาคเดียวกันได้สูง มีความคงรูปที่เสถียรระหว่างการฉีด และหลังฉีดได้ดี มีความแปรปรวนน้อยระหว่างอนุภาคต่างๆ มีอัตราการบวมต่ำ อาการบวมลดลงหลังการฉีดไปแล้ว 24 ชั่วโมง สามารถแทรกตัวเข้ากับเนื้อเยื่อได้ดี ทั้งยังสามารถอุ้มน้ำได้ดี ทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นอย่างเห็นได้ชัด มีความบริสุทธิ์สูงในขั้นตอนเดียว มั่นใจในความปลอดภัยสูงสุด โดยมีค่า BDDE ที่ต่ำที่สุด มีแรงดันในการฉีดต่ำ เนื้อเจลมีความสม่ำเสมอ ไม่จับตัวเป็นก้อน
คงผลลัพธ์ยาวนาน 9-12 เดือน นอกจากนั้นยังสามารถกระตุ้นกลไกการสร้างเนื้อเยื่อ คอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิว ให้ผิวมีความยืดหยุ่นกระชับเพิ่มมากขึ้นด้วย
ใครว่าผู้ชายฉีดฟิลเลอร์ไม่ได้ เพราะการฉีดฟิลเลอร์สามารถแก้ไขจุดบกพร่องทั้งหลายบนใบหน้าได้ ทั้งยังช่วยให้ผิวเนียนนุ่มได้อย่างรวดเร็วในระยะเวลาที่สั้น ซึ่งเชื่อแน่ว่าตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้ชายส่วนใหญ่แน่นอน เพราะไม่ต้องพักฟื้น เห็นผลทันที ทำให้สามารถดูดีและมีความมั่นใจได้มากขึ้นอีกระดับ ฟิลเลอร์จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เป็นเหมือนทางลัดสู่ความหล่อ เท่ ดูดีของคุณผู้ชาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรมีการศึกษาพร้อมทำความเข้าใจในฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ พร้อมขอคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อทำการประเมินสภาพปัญหาและสภาพผิวหน้าเพื่อการแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดและได้ผลลัพธ์ที่ดี เลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือ พร้อมทั้งเลือกใช้ฟิลเลอร์แท้ ที่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติเท่านั้น เพียงเท่านี้ ไม่ว่าจะเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่ส่วนไหนของใบหน้า ก็เรียกได้ว่าหล่อจบแบบครบวงจรกันเลยล่ะค่ะ