ลดรอยแดงจากสิวอย่างไร..ให้หน้ากลับมาเนียนใสได้อีกครั้ง

“สิว” เป็นปัญหากวนใจสำหรับใครหลายคน แต่อีกหนึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นตามมาแล้วสร้างความกังวลใจไม่แพ้เรื่องสิว คือรอยสิว ที่มีทั้งรอยแดงและรอยดำ ปรากฏชัดเจนอยู่ทั่วใบหน้า โดยเฉพาะรอยแดง ถึงแม้ว่ารอยแดงจากสิวจะไม่ได้มีอันตรายร้ายแรงใดๆ แต่ก็ส่งผลโดยตรงต่อความมั่นใจของทุกคนที่เป็นสิว เราจะมาเรียนรู้และทำความเข้าใจกับกลไกการเกิดรอยแดงจากสิว เพื่อที่จะได้รักษาได้อย่างถูกต้องและถูกวิธี ก็จะช่วยให้รอยแดงจากสิวให้จางลงได้เร็วขึ้น

สาเหตุของรอยแดงจากสิว

เริ่มต้นจากกลไกการเกิดสิว ซึ่งในช่วงแรกนั้น สิวมักจะเกิดจากการอุดตันของไขมันในรูขุมขน เนื่องจากต่อมไขมันผลิตน้ำมัน(Sebum)ออกมามากจนเกินไป  รวมถึงมีเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ฝุ่นละออง สิ่งสกปรกและเชื้อโรค เชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่บนผิวหนังไปกระตุ้นให้รูขุมขนและผิวหนังในบริเวณดังกล่าวเกิดการอักเสบขึ้นมา ซึ่งเมื่อผิวหนังเกิดการอักเสบ ร่างกายก็จะเริ่มฟื้นฟูตัวเองด้วยการลำเลียงและเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังผิวหนังในบริเวณที่มีการอักเสบ เพื่อทำการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ส่งผลให้บริเวณที่เป็นสิวอักเสบเกิดการขยายตัวของหลอดเลือดที่อยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวกลายเป็นสีแดง ชมพู ม่วงหรือเกิดรอยแดงขึ้นหลังจากที่ผ่านช่วงของกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อแล้ว ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนของการสร้างเนื้อเยื่อผิวหนังใหม่ ซึ่งรอยแดงจากสิวจะหายเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างเช่น ปัญหาผิวที่มี หรือการดูแลสภาพผิวอย่างไม่ถูกต้อง เป็นต้น และถ้าหากมีการอักเสบเป็นเวลานาน จะไปกระตุ้นเม็ดสีให้ผลิตเมลานิน (Melanin) ออกมามากขึ้น ทำให้เกิดรอยดำตามมา

การรักษารอยแดงจากสิว

ปัจจุบันได้มีการคิดค้นเทคโนโลโลยีใหม่ๆขึ้นมา เพื่อนำมาใช้ในการรักษารอยแดงจากสิวหลายวิธี โดยแบ่งวิธีการรักษาเป็น 2 วิธีใหญ่ ๆ ดังต่อไปนี้

วิธีทางการแพทย์

การรักษารอยแดงจากสิวในทางการแพทย์ มีดังต่อไปนี้

  • การใช้เลเซอร์รักษารอยแดงจากสิว

เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยแพทย์จะยิงเลเซอร์เข้าสู่ชั้นผิวเพื่อลดการอักเสบที่เป็นสาเหตุของการเกิดรอยแดงจากสิว ช่วยกำจัดผิวชั้นนอกที่เสียทิ้งไป พร้อมทั้งกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ในผิวชั้นกลางให้แข็งแรงมากขึ้น  ซึ่งได้มีการรวบรวมผลการศึกษาชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับการใช้เลเซอร์ชนิดต่างๆ แล้วพบว่า การใช้เลเซอร์แบบ IPL (Intense Pulsed Light) และแบบ PDT (Photodynamic Therapy) มีประสิทธิภาพในการช่วยลดรอยแดงจากสิวได้  ในการใช้เลเซอร์อาจจะส่งผลให้เกิดรอยแดงและมีการระคายเคืองหลังการรักษา แต่จะค่อยๆหายไปเอง ผิวหน้าจะค่อยๆฟื้นฟูและกลับมาเรียบเนียนเสมอกัน ซึ่งจะเริ่มเห็นผลประมาณ 2-3 สัปดาห์หลังทำเลเซอร์ แต่ผลลัพธ์ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล และจำเป็นที่จะต้องทำอย่างต่อเนื่องเพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน นับเป็นวิธีรักษารอยแดงจากสิวที่ปลอดภัย ไม่รู้สึกเจ็บ แต่ค่อนข้างมีราคาแพง ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องทำกับแพทย์ผู้มีความชำนาญเท่านั้น

  • การทาครีมลดรอยแดงจากสิว

การดูแลผิว ควรเริ่มตั้งแต่ช่วงแรกของการเกิดสิวต่อเนื่องจนหลังจากที่สิวหาย โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบ ดังต่อไปนี้

  • Topical vitamin C เนื่องจากวิตามินซีสามารถช่วยลดรอยแดงที่เกิดจากรังสีอัลตราไวโอเลตบีได้ (UVB) ทั้งยังช่วยลดการอักเสบและป้องกันรอยแดงที่เกิดจากสิวได้ด้วย
  • เรตินอยด์(Retinoids) ไม่เพียงสามารถยับยั้งกระบวนการผลิตเม็ดสีในเซลล์ผิวเท่านั้น แต่ยังช่วยเร่งการผลัดเซลล์โดยการลดเม็ดสีได้ด้วย
  • Kojic acid สารสกัดจากเห็ดที่สามารถช่วยให้สีผิวสม่ำเสมอ พร้อมทั้งช่วยลดรอยแดงได้
  • อาร์บูติน(Arbutin) สารธรรมชาติที่สกัดมาจากต้นแบร์เบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ ข้าวสาลี และแพร์ โดยจัดอยู่ในกลุ่มอนุพันธ์ของสารที่เรียกว่า Hydroquinone  ซึ่งArbutin จะออกฤทธิ์ในการลดจุดด่างดำที่เกิดขึ้นจากการอักเสบของผิว
  • วิตามินบี 3 (Niacinamide) มีคุณสมบัติที่ช่วยต้านการอักเสบ เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว และช่วยลดรอยแดงจากสิวได้ด้วย
  • Thiamidol ช่วยลดรอยดำ รอยแดง และลดความหยาบกร้านของผิว
  • Nicotinamide ช่วยให้ผิวกระจ่างใส และลดการอักเสบของผิวหนังได้
  • การฉีดเมโสหน้าใสรักษารอยแดงจากสิว

เมโสหน้าใส เป็นการฉีดตัวยาที่มีวิตามินต่าง ๆ ที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์เข้าไปสู่ผิวชั้นกลาง (Dermis) ซึ่งเป็นชั้นผิวหนังแท้ ประกอบไปด้วยคอลลาเจน อิลาสติน และเนื้อเยื่อต่าง ๆ ที่ให้ความแข็งแรงและยืดหยุ่นกับผิว  ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ขาวกระจ่ๆางใส ลดการอักเสบของผิว และช่วยให้รอยแดงจากสิวลดเลือนได้เร็วขึ้น โดยจะเห็นผลลัพธ์ใน 7-14 วัน

  • ใช้ยาทาแผลเป็น

รอยแดงจากสิว ควรใช้ยาที่มีฤทธิ์ที่ช่วยลดการอักเสบ ลดการสร้างเม็ดสีหรือยาที่มีส่วนช่วยในการผลัดเซลล์ผิว โดยช่วยปลอบประโลมไม่ให้ผิวเกิดการระคายเคืองและลดการสะสมของแบคทีเรีย

  • วิธี Dermabrasion

เป็นการกรอผิวหนังส่วนที่เป็นรอยแดง รอยดำ รอยสิวต่างๆออกไป เพื่อผลัดเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทนเซลล์เก่าที่ถูกขัดออกไป ทำให้ผิวมีความเรียบเนียนและใกล้เคียงกับผิวในบริเวณนั้น ๆ มากที่สุด

  • วิธี Cryotherapy

เป็นการรักษารอยสิว รอยดำ รอยแดงโดยการบำบัดด้วยความเย็น โดยแพทย์จะใช้เครื่องพ่นไนโตรเจนเหลวหรือคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีอุณหภูมิต่ำ พ่นไปยังจุดที่ต้องการรักษาเป็นระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อทำให้เซลล์ผิวบริเวณนั้นตายแล้วสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทน มักใช้รักษาควบคู่ไปกับวิธีอื่น ๆ เช่น การฉีดสเตียรอยด์ เป็นต้น

  • การใช้กรดลอกผิวรักษารอยแดงจากสิว

การรักษาด้วยวิธีนี้จะใช้สารประกอบเคมี 3 ชนิด ได้แก่ Glycolic Acid, Salicy Acid และ Trichlooacetic Acid ไปกระตุ้นให้ผิวหนังชั้นนอกหลุดออกไป

วิธีทางธรรมชาติ

มีการคิดค้นสูตรที่ช่วยลดเลือนรอยแดงจากสิวด้วยวิธีการทางธรรมชาติ โดยการใช้สมุนไพรหรือวัตถุดิบต่าง ๆ ที่สามารถหาได้ใกล้ตัว ดังต่อไปนี้

  • การสครับหน้าลดรอยแดงจากสิว

การสครับหน้าเป็นการกำจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้หลุดออกมา ช่วยให้สีผิวมีความสม่ำเสมอกันมากขึ้น ควรเลือกสูตรที่เหมาะกับสภาพผิว ให้ความชุ่มชื้น และลดการระคายเคืองได้ เช่น น้ำตาลทรายแดง หรือโยเกิร์ต  แต่ไม่ควรทำบ่อยจนเกินไป ระยะเวลาที่เหมาะสมคือ 2 ครั้งต่อสัปดาห์

  • ทาว่านหางจระเข้ลดรอยแดงจากสิว

ว่านหางจระเข้มีคุณสมบัติพิเศษในการช่วยสมานแผล รักษาความสมดุลของผิว ลดการอักเสบ ทั้งยังช่วยลดรอยแผล รอยดำ รอยแดงจากสิวได้ด้วย วิธีการให้นำว่านหางจระเข้มาปั่นให้ละเอียดหรือฝานเป็นแผ่นบาง ๆ มามาส์กหน้าเป็นประจำ สามารถทำควบคู่กับการรักษาวิธีอื่น ๆ ก็จะช่วยให้เห็นผลลัพธ์ได้เร็วขึ้น

  • มาส์กหน้าด้วยสมุนไพรลดรอยแดงจากสิว

การมาส์กหน้าด้วยสมุนไพรไทยช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วให้หลุดออกมา ทำให้ผิวกระจ่างใสและชุ่มชื้นขึ้น สูตรที่นิยมใช้กันเช่น นำมะขามเปียก มะนาว มะเขือเทศมาผสมกับนมสดหรือโยเกิร์ต แล้วนำมาพอกหน้าสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ทำเช่นนี้ควบคู่กับการทาครีม ก็จะช่วยลดรอยแดงจากสิวได้ดี

การป้องกันการเกิดรอยแดงจากสิว

เพื่อให้เกิดรอยแดงจากสิวน้อยที่สุด  มีวิธีป้องกันในขณะที่เป็นสิวดังต่อไปนี้

  • ห้ามบีบ แกะหรือเกาสิว

การบีบ แกะหรือเกาสิว เป็นการกระตุ้นให้เนื้อเยื่อของผิวหนังและรูขุมขนมีการอักเสบมากขึ้น เสี่ยงต่อการเกิดแผลเป็น เนื่องจากมือที่ใช้สัมผัสผิวหน้าอาจจะมีเชื้อโรคอยู่ตามซอกเล็บและนิ้วมือ อาจทำให้ผิวระคายเคืองและเกิดการติดเชื้อได้ ยิ่งส่งผลให้รอยแดงจากสิวหายช้ามากขึ้น นอกจากนั้นในช่วงที่เป็นสิวควรงดการสครับหน้าหรือขัดหน้าด้วยวิธีต่าง ๆ เพราะเป็นการกระตุ้นให้ผิวอักเสบมากขึ้น

  • ปกป้องผิวจากแสงแดด

ระมัดระวังไม่ให้ผิวสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง เนื่องจากรังสีอัลตร้าไวโอเล็ตจากแสงแดดจะไปกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้ผิวหมองคล้ำ ที่สำคัญบริเวณที่เป็นสิวจะเป็นจุดที่บอบบางมากกว่าบริเวณอื่น อาจทำให้เกิดรองแดง รอยดำได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้นก่อนออกแดดควรทาครีมกันแดดปกป้องผิวเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่เลือกรักษารอยแดงจากสิวด้วยการทำเลเซอร์ เพราะแสงเลเซอร์จะทำให้ผิวบางลง ทำให้ผิวถูกทำร้ายจากแสงแดดได้ง่ายขึ้น

  • เลือกสกินแคร์ให้เหมาะสมกับสภาพผิว

การเลือกสกินแคร์หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะกับสภาพผิว เป็นการช่วยเร่งการฟื้นตัวของผิวภายในและลดความเสี่ยงในการเกิดสิว โดยเน้นสกินแคร์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน ไม่ทำให้เกิดการระคายเคือง ช่วยต้านการอักเสบ และช่วยกระตุ้นฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น

  • รับประทานอาหารเสริมเพื่อช่วยบำรุงผิว

การได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอในแต่ละวัน ส่งผลให้ผิวเสื่อมสภาพลงได้เร็วขึ้น ทั้งยังทำให้ผิวอ่อนแอเมื่อต้องเผชิญกับมลภาวะ ดังนั้นการรับประทานวิตามินบำรุงผิวต่างๆจะช่วยทดแทนได้ ไม่ว่าจะเป็น วิตามินซี หรือวิตามินบี เป็นต้น

  • ดื่มน้ำเปล่ามากๆ

หากปล่อยให้ผิวแห้งมากจนเกินไป ร่างกายจะผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่การเกิดสิว ดังนั้นการดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอในแต่ละวัน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผิวชุ่มชื้น สุขภาพดี สามารถลดการเกิดสิวได้ ทั้งยังช่วยขับสารพิษและทำให้ระบบต่างๆภายในร่างกายทำงานได้ดีมากยิ่งขึ้นด้วย

  • รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

การไปพบแพทย์ผิวหนัง โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาสิวเรื้อรังและรอยแดงจากสิวเป็นสิ่งที่ปลอดภัยและให้ประสิทธิภาพที่ดีกว่าการรักษาด้วยตนเอง เนื่องจากแพทย์จะช่วยวินิจฉัยหาสาเหตุของการเกิดสิว พร้อมทั้งแนะนำวิธีการดูแลผิวที่เป็นสิวอย่างถูกต้อง จะช่วยลดการอักเสบของผิวและลดรอยแดงจากสิวให้จางลงได้เร็วขึ้นด้วย

ฟื้นฟูรอยแดงจากสิวด้วย acnelan

acnelan เป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกคิดค้นและพัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยรักษาตั้งแต่กลไกแรกของการเกิดสิว ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมการผลิตน้ำมันในชั้นผิว ป้องกันการหนาตัวของผิวชั้นนอก (regulate hyperkeratosis) ช่วยทำความสะอาดไขมัน และสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่ตามรูขุมขน พร้อมทั้งลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย ไม่เพียงเท่านั้นยังช่วยป้องกันและลดเลือนรอยแผลเป็นหลังการเกิดสิว รวมถึงช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส ช่วยให้รอยแดง รอยดำจากสิวจางลง ซึ่งประกอบด้วย

  • acnelan multifactor mask

เป็นเจลมาส์กสูตรเข้มข้น ที่ช่วยในการฟื้นฟูและบำรุงผิวที่เป็นสิว ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพ สามารถทำความสะอาดผิวได้อย่างล้ำลึกโดยไม่ก่อให้เกิดการอุดตันในรูขุมขน พร้อมทั้งช่วยลดรอยแดง รอยดำที่เกิดจากสิวได้ด้วย

  • post-peel neutralizing spray

เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ควบคู่กับ acnelan multifactor mask เพื่อช่วยปรับสภาพผิวให้สมดุล และช่วยปลอบประโลมผิว ลดการระคายเคืองด้วยค่า pH 8.6

  • pore sealing shield

เป็นสารบำรุงผิวสูตรเข้มข้น ที่ช่วยกระชับรูขุมขน พร้อมทั้งช่วยปกป้องผิวและคงไว้ซึ่งผลลัพธ์ที่ยาวนานมากขึ้น

สำหรับท่านที่ต้องการทำความสะอาดผิวหน้าและบำรุงอย่างต่อเนื่อง acnelan ก็มีผลิตภัณฑ์ที่ช่วยฟื้นฟูผิวหน้าของท่านให้แข็งแรงขึ้นได้ ดังต่อไปนี้

  • imperfection control

เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยฟื้นบำรุงเฉพาะจุด เหมาะสำหรับผิวมันและผิวที่เป็นสิวง่าย เช่นบริเวณที่เคยเป็นสิว รอยแดง รอยดำ สามารถช่วยปกปิดรอยสิวได้เป็นอย่างดี เหมาะสำหรับใช้ก่อนแต่งหน้า

  • pure renewing mask

มาส์กสำหรับผิวที่เป็นสิว ที่ช่วยขจัดความมันส่วนเกินบนใบหน้า ผลัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพให้หลุดออกมา ไม่ทำให้เกิดการอุดตันและลดการสะสมของสิ่งสกปรกบริเวณรูขุมขน

  • hydra -vital light

เป็นเจลครีมเนื้อบางเบา ช่วยให้ความชุ่มชื้นกับผิว พร้อมทั้งปกป้องผิวจากมลภาวะ ฝุ่น ควันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • hydra-vital factor k

เป็นครีมบำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นเป็นพิเศษ ทำหน้าที่เป็นเหมือนโครงสร้างเกราะปกป้องผิวจากสิ่งแวดล้อมภายนอก ทำให้ผิวเนียนนุ่มและดูมีสุขภาพดี

  • melan recovery

เป็นบาล์มบำรุงผิวสูตรเข้มข้น ที่ช่วยปลอบประโลมผิวและช่วยฟื้นฟูบำรุงผิวอย่างล้ำลึกหลังจากการทำทรีตเม้นท์ โดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ลดรอยแดงจากสิว พร้อมเสริมเกราะปกป้องผิวให้แข็งแรง

  • fast skin repair

เป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ช่วยปลอบประโลมผิวได้อย่างอ่อนโยน ปกป้องผิวจากปัจจัยภายนอกที่ทำให้ผิวระคายเคือง เช่น มลภาวะ หรือการแพ้เครื่องสำอาง  พร้อมทั้งช่วยฟื้นบำรุงเกราะปกป้องผิวให้แข็งแรง บรรเทาอาการระคายเคือง

 

อันที่จริงแล้วการรักษา “รอยแดงจากสิว” จำเป็นที่จะต้องให้การดูแลตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของกลไกการเกิดสิวต่อเนื่องไปจนสิวหาย  และเมื่อเกิดรอยแดงจากสิว ไม่ควรทำให้ผิวระคายเคืองมากขึ้นด้วยการแกะ  เกาหรือสัมผัสผิวหน้าบ่อยๆ แต่ควรรับการรักษาด้วยวิธีการที่เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละคนตามคำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ จากนั้นจึงค่อยๆฟื้นฟูและบำรุงให้รอยแดงจากสิวค่อยๆจางและมีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น

 

 

 

ใส่ความเห็น