ดูแลผิวอย่างไรให้สุขภาพดีในช่วงหน้าฝน

เมื่อเข้าสู่ช่วงหน้าฝน หลายคนคงได้สัมผัสกับความสดชื่นเย็นฉ่ำของบรรยากาศ และถึงแม้จะเป็นฤดูกาลที่ดูเหมือนว่าจะเย็นสบาย แต่ก็ส่งผลกระทบต่อสภาพผิวของใครหลายคนด้วยเช่นเดียวกัน ยิ่งในช่วงที่กำลังเข้าสู่ฤดูฝนหรือช่วงปลายฝนต้นหนาว ที่มีการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศแบบฉับพลัน ทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน และเกิดปัญหาผิวต่างๆตามมาแบบไม่ทันตั้งตัว อีกทั้งฤดูฝนยังเป็นช่วงที่อากาศร้อนอบอ้าวทำให้เหนียวเหนอะหนะไปทั้งตัวทั้งหน้า ไม่เพียงรู้สึกไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัวเท่านั้น แต่สิว หน้ามัน หน้าลอก รวมถึงผื่นคัน ก็สามารถเกิดขึ้นได้ในฤดูกาลแห่งความชุ่มฉ่ำนี้ด้วยเช่น

ทำไมช่วงหน้าฝนจึงส่งผลต่อสภาพผิว

สิ่งที่ส่งผลกระทบต่อสภาพผิวของคนเราในช่วงหน้าฝน หลักๆเลยคือก่อนที่ฝนจะตก สภาพอากาศมักจะมีความร้อนอบอ้าว ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพผิวได้โดยตรง ทำให้เกิดปัญหารูขุมขนกว้าง มีสิวอุดตัน สิวผด รูขุมขนกว้าง และเมื่อฝนตกกระหน่ำลงมาแล้ว ความชื้นที่เกิดขึ้น ยังส่งผลกระทบต่อสภาพของผิวตามมาอีกด้วย โดยสังเกตว่ามันจะมีสิวเกิดขึ้นในบริเวณที่มีไรผม กรอบหน้าจนถึงลำคอส่วนบน เนื่องด้วยสิ่งสกปรกที่ปนมากับสายฝนนั่นเอง ยิ่งช่วงไหนมีภาวะฝุ่นควัน PM 2.5 ด้วยแล้ว ทำให้เกราะปกป้องผิวยิ่งอ่อนแอลงได้ด้วยเช่นเดียวกัน

ปัญหาผิวในช่วงหน้าฝน

ในช่วงหน้าฝนเป็นช่วงที่มีหลายลักษณะอากาศรวมกัน ทั้งร้อนอบอ้าว ทั้งชื้น ส่งผลให้เกิดปัญหาผิวพรรณมากมายตามมา ดังนี้

  • ปัญหาสิว ด้วยสภาพความอับชื้นของอากาศ ทำให้ผิวทั่วร่างกายมีความเหนียวเหนอะหนะ มีความมัน และเป็นที่มาของสิวผด สิวอุดตัน เนื่องจากมลพิษหรือมลภาวะต่างๆที่อยู่ในอากาศ ไม่ว่าจะเป็นฝุ่น ควัน ท่อไอเสีย ที่ติดมากับฝนหรือลมร้อน ที่เข้าไปอุดตันหรือหมักหมมในรูขุมขน รวมกับน้ำมันที่ถูกขับออกมา ผสมกับเชื้อโรคและเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เกิดเป็นสิวขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย และในบางราย ยังมีอาการผื่นคัน ผื่นแดงเพิ่มขึ้นได้อีกด้วย ซึ่งมีสาเหตุมาจากการที่อากาศได้ดึงเอาความชุ่มชื้นออกไปจากผิว และเมื่อผิวขาดน้ำหล่อเลี้ยงผิวในปริมาณที่เหมาะสม จึงทำให้เกิดเป็นผื่นและมีอาการคันได้ง่ายขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น พวกละอองน้ำฝนยังสามารถเป็นตัวเร่งหรือกระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบได้ง่ายมากขึ้นด้วย

  • หน้ามันเยิ้ม ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวบวกกับความชื้นของสายฝน ได้ส่งผลให้เกิดความมันเยิ้มขึ้นทั่วทุกอณูบนผิวหน้า ไม่ใช่ความมันแบบฉ่ำวาวเหมือนสาวเกาหลี แต่มันเป็นความมันที่มากเกินพอดีที่สามารถทำให้เกิดสิวขึ้นมาได้ ซึ่งโดยปกติ ร่างกายของคนเราจะมีกลไกผลิตน้ำมันบนใบหน้าอยู่แล้ว เพื่อช่วยดูแลสภาพผิวไม่ให้แห้งตึงจนเกินไป โดยต่อมไขมันจะแทรกตัวอยู่ตามรูขุมขนใต้ชั้นผิวหนัง แต่ก็มีหลายปัจจัยเช่นกัน ที่ทำให้น้ำมันถูกผลิตออกมามากเกินไป อย่างเช่น ความชื้นในอากาศจะเข้าไปกระตุ้นต่อมไขมันในชั้นผิวให้ทำงานหนักขึ้น ส่งผลให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมา ทำให้หน้ามันมากกว่าปกติ แต่เมื่อมีน้ำมันออกมาเคลือบหน้ามาก ก็เป็นตัวดึงดูดที่ทำให้บรรดาสิ่งสกปรกทั้งหลาย ทั้งฝุ่น ควันต่างๆเข้ามาเกาะติดที่หน้าได้ง่ายมากขึ้น และกลายเป็นสิวตามมาในที่สุด และสิ่งที่หลายคนนิยมทำเมื่อหน้ามันก็คือ ล้างหน้าบ่อยๆ ใช้กระดาษซับมันบ่อยๆ เช็ดหน้าบ่อยๆ หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดหน้ามัน จากหน้ามันเยิ้ม ก็จะกลายเป็นหน้าแห้งผากจนผิวลอกในบางราย ทำให้เกิดการระคายเคืองได้ง่ายกว่าเดิมไปอีก

  • ผิวคัน ผิวแพ้ง่าย ในกรณีผิวคัน หรือผิวแพ้ง่ายมากขึ้น พบได้บ่อยๆในช่วงหน้าฝน เนื่องจากในอากาศมีฝุ่น เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา โลหะหนัก เชื้อโรคต่างๆ แถมยังมีฤทธิ์เป็นกรดจากมลพิษมากมายปนเปื้อนมากับสายฝน ทำให้ผิวของหลายคนเกิดอาการ

แพ้ มีผื่นคัน อักเสบและระคายเคืองได้โดยง่าย ซึ่งลักษณะอาการของผื่นคัน หรือผื่นแพ้ เป็นอาการตอบสนองของผิวหนังที่ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมไม่ได้ อาจจะเนื่องด้วยอากาศที่เปลี่ยนไป หรือเกิดจากการระคายเคืองจากสารเคมีในชีวิตประจำวัน ทำให้เกิดผื่นคันขึ้นมาได้ ซึ่งสามารถแบ่งอาการผื่นคันหรือผื่นแพ้ได้เป็น 6 แบบ ดังนี้

o เป็นผื่นคันแดงตามตัว Exanthemayous(Morbilliform) เป็นผื่นคันที่เกิดขึ้นได้ทั้งตัว รวมทั้งที่ใบหน้าด้วย เป็นประเภทของผื่นคันที่พบได้บ่อย มีลักษณะเป็นผื่นแดงหรือตุ่มใสๆ รวมถึงมีอาการคันและตกสะเก็ดตามมา โดยมีสาเหตุมาจากโรคผิวหนัง การติดเชื้อบางอย่าง แมลงสัตว์กัดต่อย แพ้ฝุ่น แพ้ยา ตลอดจนการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้หรือสารระคายเคือง เช่น น้ำยาทำความสะอาด เครื่องสำอาง เป็นต้น รวมถึงการพักผ่อนไม่เพียงพอ และความเครียดด้วย

o ผิวหนังอักเสบชนิดตุ่มน้ำ(Dyshidrotic Eczema) เป็นผื่นผิวหนังอักเสบ ที่มักจะเป็นเรื้อรัง มีลักษณะเป็นตุ่มใสแข็งๆ ส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคภูมิแพ้ ภาวะการระคายเคือง หรือ การแพ้สารสัมผัสก็ได้ ซึ่งจะมีอาการคันร่วมด้วย หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง สามารถติดเชื้อและกลายเป็นหนองตามมาได้

o ผื่นลมพิษ (Urticaria) ผื่นลมพิษหรือโรคลมพิษ มักจะมีอาการคันร่วมด้วย โดยจะมีลักษณะเป็นผื่นหรือปื้นนูนแดง ไม่มีขุย มีทั้งแบบขนาดเล็กและขนาดใหญ่ที่สามารถแผ่รัศมีออกไปได้ไกลถึง 10 เซนติเมตร แต่จะปรากฏอยู่เพียงชั่วขณะเท่านั้น

o ผื่นแดงที่มีลักษณะเป็นเส้นใยเล็กๆ(Livedo Reticularis) เป็นผื่นที่มักเกิดจากโรคหลอดเลือดอักเสบ ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดผิดปกติ อาจมีลักษณะเป็นผื่นนูนเป็นจ้ำเลือด ที่เรียกว่า Purpura หรือผื่นลายร่างแหที่เรียกว่า Livedo Reticularis ก็ได้ ผื่นลักษณะนี้มักจะเป็นแบบเรื้อรัง ต้องอยู่ภายใต้การดูแลรักษาของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเท่านั้น

o ผื่นมีจุดเลือดออกใต้ผิวหนัง(Vasculitis) เป็นอาการที่เกิดจากเส้นเลือดฝอยอักเสบ ที่สามารถแสดงออกได้หลายรูปแบบ เช่นเกิดตุ่มแดงนูน กดแล้วสีแดงไม่จาง ตุ่มพองมีเลือดออกข้างใน แตกเป็นแผล เป็นผื่น สีม่วงแดง ผื่นเป็นร่างแหหรือคล้ายว่ามีตาข่ายเส้นเลือดอยู่ใต้ผิว เป็นต้น มักพบที่บริเวณขา ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เฉพาะทางด้วยเช่นกัน

o ผื่นมีตุ่มใสพอง เหมือนมีน้ำอยู่ข้างใน(Vesiculobullous Eruption) ลักษณะของผื่นประเภทนี้ จะเป็นตุ่มที่มีน้ำใสอยู่ข้างใน สามารถกระจายได้ตามตัว โดยมีสาเหตุมาจาก การที่ภูมิในร่างกายเกิดการต่อต้านตัวเอง เกิดจากพันธุกรรม เกิดจากการติดเชื้อบางชนิด การสัมผัสกับสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่นพวกสารเคมี รวมถึงความผิดปกติอื่นๆ ที่ทำให้เกิดตุ่มน้ำพองที่ผิวหนัง เช่นโรคเบาหวาน โรคอะไมลอยด์โดสิส (Amyloidosis) และโรคพอร์ไฟเรีย (Porphyria) เป็นต้น

สิ่งสำคัญ ควรหมั่นสังเกตอาการตนเอง ว่ามีผื่นคันหรือผื่นแพ้ในลักษณะใด ที่เกิดขึ้นตามใบหน้าและลำตัว โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝน ที่มีสภาพอากาศที่หลากหลาย รวมถึงสารปนเปื้อนมากมายที่ปนมากับสายฝนที่ชุ่มฉ่ำ

  • ผิวหมองคล้ำ หน้าโทรม ในช่วงฤดูฝน ดูเหมือนอากาศจะดูชุ่มชื้น เย็นสบาย แต่จริงๆแล้วในช่วงฤดูฝนมีค่าดัชนีความแรงของรังสี UV ไม่แพ้จากฤดูอื่น ถึงแม้จะดูไม่ค่อยมีแดดก็ตาม ทำให้หลายคนละเลยการทาครีมกันแดด ทำให้ผิวหน้าถูกทำร้ายจากแสงแดดมากขึ้นกว่าเดิม และนั่นคือที่มาของผิวหมองคล้ำตามมานั่นเอง และอาการของผิวหมองคล้ำ หน้าโทรมมักมีลักษณะคือหน้าไม่สว่างสดใส , มีฝ้า หรือ ฝ้าแดด กระ จุดด่างดำ, เมื่อออกแดด ผิวจะคล้ำง่ายกว่าปกติ ผิวแห้งกร้าน ไม่ชุ่มชื้น ,สีผิวไม่สม่ำเสมอกัน ,ในบางรายอาจพบผิวแห้งลอก และคัน และที่สำคัญ ผิวมักมีความไวต่อแสง มีอาการแสบร้อน หรือเกิดรอยแดงขึ้นทั่วใบหน้าและลำตัว โดยสาเหตุของผิวหมองคล้ำ มักมาจากแสงแดด ซึ่งมีรังสีอัลตร้าไวโอเล็ต ทั้งรังสี UVA และ UVB ซึ่งในส่วนของรังสียูวีเอ(UVA) สามารถที่จะทะลุผ่านกระจกเข้ามาทำร้ายผิวของคนเราได้โดยง่าย ทำให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำขึ้นได้ ส่วนรังสียูวีบี(UVB) เป็นรังสีที่สามารถเปลี่ยนแปลงสภาพผิวของคนเราให้คล้ำขึ้นได้ ทำให้ผิวเกิดการอักเสบ คล้ำแดด หน้าหมอง แสบร้อนและคัน เป็นต้น ไม่เพียงรังสีจากแสงแดดเท่านั้น ที่สามารถทำให้เกิดปัญหาผิว แสงสีฟ้าจากจอคอมพิวเตอร์ มือถือ หลอดไฟนีออน พลังงานความร้อนจากการทำอาหาร ทั้งหมดนี้ก็สามารถเป็นปัจจัยกระตุ้นทำให้หน้าของคนเราหมองคล้ำขึ้นได้

  • ผิวแห้ง ไม่ชุ่มชื้น ลักษณะของผิวแห้ง คืออาการที่ผิวขาดน้ำ ซึ่งเป็นปัญหาผิวที่สามารถเกิดขึ้นได้บ่อยๆไม่เว้นแม้แต่ช่วงฤดูฝน เนื่องจากอากาศยิ่งอบอ้าว น้ำที่มีอยู่ในร่างกายก็จะยิ่งระเหยออกไป ทำให้ผิวของเราแห้งกร้าน ไม่ชุ่มชื้น ไม่อิ่มน้ำ และเมื่อหน้าแห้ง ต่อมไขมันก็จะเริ่มทำงาน โดยการผลิตน้ำมันออกมาเคลือบผิวมากขึ้นอีก พอหน้ามัน สิวก็เริ่มถามหา ซึ่งลักษณะของผิวแห้งกับผิวขาดน้ำ แม้จะมีความแตกต่างกันบ้าง แต่ก็มีสาเหตุหรือที่มาที่ไม่แตกต่างกัน นั่นคือการที่ผิวขาดน้ำ เมื่อผิวขาดความชุ่มชื้นก็ทำให้แห้งเป็นธรรมดา วิธีสังเกตว่าผิวขาดน้ำคือผิวจะมีลักษณะที่แห้งตึง โดยเฉพาะหลังอาบน้ำหรือหลังออกแดด บางคนผิวลอกเป็นขุย มีอาการผิวแห้งสลับกับผิวมันอย่างรวดเร็วจนตามไม่ทัน หน้าตาดูโรย ไม่สดใส แต่งหน้าไม่ติด ส่วนท่านที่ผิวขาดน้ำแบบรุนแรง ก็มักจะเกิดอาการแพ้ เป็นผื่นแดง ผิวอักเสบ เนื่องจากโครงสร้างของผิวขาดความยืดหยุ่นนั่นเอง

วิธีรับมือกับปัญหาผิวในช่วงหน้าฝน

เมื่อทราบถึงลักษณะอาการของผิวที่เกิดขึ้นในช่วงหน้าฝนกันแล้ว สิ่งที่จะต้องจัดการในเวลาต่อมาคือการรับมือกับปัญหาผิวเหล่านั้นให้ถูกต้องและตรงจุด เพื่อผิวหน้าจะได้กลับมาสวยใส สุขภาพผิวแข็งแรงท้าฝนได้ ดังนี้

วิธีรับมือกับปัญหาสิว

สิวเป็นเป็นปัญหาที่สุดคลาสสิคที่สามารถพบได้ในทุกฤดูกาล ไม่เว้นแม้แต่หน้าฝน ซึ่งวิธีรับมือง่ายๆคือการป้องกันตั้งแต่แรกเริ่มไปจนถึงการดูแลความสะอาดอย่างถูกวิธี ดังนี้

o เลี่ยงการตากฝน เนื่องจากว่าในน้ำฝน ไม่ได้มีแค่น้ำที่หล่นมาจากท้องฟ้า แต่ยังมาพร้อมกับมลภาวะและมลพิษต่างๆในอากาศด้วย ดังนั้น ถ้าหากหน้าโดนฝนแล้วไม่มีการทำความสะอาด ก็สามารถทำให้เกิดสิวได้อย่างง่ายดาย

o ทำความสะอาดหน้าให้สะอาด การทำความสะอาดผิวหน้า เริ่มตั้งแต่การเลือกคลีนซิ่งและคลีนเซอร์ให้เหมาะสมกับสภาพผิว และมีคุณสมบัติในการทำความสะอาดผิวได้อย่างล้ำลึก โดยไม่ทำให้ผิวแห้งตึง อย่าง purifying mousse ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าเนื้อมูส สูตรสำหรับผิวมันและผิวที่มีแนวโน้มที่จะเป็นสิวง่าย เนื่องจากมี

ส่วนผสมสำคัญที่ช่วยกำจัดน้ำมันส่วนเกินบนผิว รวมถึงพวกฝุ่นควัน มลภาวะต่างๆที่ตกค้างอยู่บนผิว ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดสิว โดยไม่ทำให้ผิวหน้าแห้งตึง แต่กลับรู้สึกสบายผิวมากขึ้น โดยในส่วนของ purifying mousse นี้ มีส่วนประกอบที่สำคัญ เพื่อการปรนนิบัติผิวของทุกท่านอย่างแท้จริง เช่น Chlorhexidine ที่ช่วยลดการสะสมของแบคทีเรีย ซึ่งทำให้เกิดสิว , Salicylic acid ช่วยขจัดความมันส่วนกิน ทั้งยังช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดการอุดตัน , Lactic acid ช่วยปลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น , postbiotic ช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์บนผิว ทำให้เกราะปกป้องผิวแข็งแรง สุขภาพดี โดยไม่ระคายเคือง , Anti-pollution ช่วยปกป้องผิวจากสารแอนติออกซิเดชั่น ที่เกิดจากฝุ่นหรือมลภาวะต่างๆที่ทำให้เกิดสิวและริ้วรอยตามมา , Menthol ช่วยให้ผิวผ่อนคลาย และ Urea ช่วยลดการระคายเคืองของผิว ทำให้ผิวเนียนนุ่ม ชุ่มชื้น

o ไม่จับหน้าบ่อยๆ เนื่องจากที่มือของคนเรา มักมีโอกาสได้สัมผัสกับสิ่งสกปรกหรือเชื้อโรคต่างๆเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และถ้ายิ่งจับหน้าบ่อยๆ เชื้อโรคที่ติดอยู่ที่มือ ก็จะไปทำปฏิกิริยากับน้ำมันบนใบหน้า ทำให้เกิดการอุดตันในรูขุมขนและเกิดสิวตามมาได้

o ใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อการบำรุงผิว ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น ผิวที่เป็นสิว ก็ต้องการการบำรุงให้มีเกราะปกป้องผิวที่แข็งแรง สุขภาพดี อย่าง hydra-vital factor k ครีมบำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นเป็นพิเศษ ทำหน้าที่เสมือนโครงสร้างเกราะปกป้องผิวจากสิ่งแวดล้อมภายนอก เพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้คงอยู่ยาวนานขึ้น ให้ผิวรู้สึกเนียนนุ่มและดูสุขภาพดี โดยมีส่วนประกอบสำคัญ เกรดพรีเมี่ยมอย่าง Ultra-moisturising complex ที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว โดยประกอบด้วยกรดอะมิโน ยูเรีย อัลลันโทอิน และกรดแลคติค ที่ช่วยล็อคความชุ่มชื้นให้ผิว รวมถึงวิตามินอี (Vitamin E) ซึ่งเป็นสารแอนติออกซิแดนซ์ ที่ช่วยปกป้องผิวจากปัจจัยภายนอก

นอกจากนั้น ควรมีการดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน ประมาณ 1.5 -2 ลิตร ที่ไม่เพียงทำให้ระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆเป็นไปอย่างสมดุลเท่านั้น แต่ยังเป็นการเติมน้ำให้เซลล์ผิว ทำให้ผิวไม่แห้ง แต่มีชีวิตชีวามากขึ้น

วิธีรับมือกับปัญหาหน้ามันเยิ้ม

ในการจัดการกับปัญหาหน้ามัน สามารถทำได้ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

o ให้ความสำคัญกับการล้างหน้า การล้างหน้า เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เนื่องจากผิวหน้าของคนเราต้องเผชิญกับสิ่งสกปรก มลพิษ มลภาวะต่างๆมาตลอดทั้งวัน รวมถึงเมคอัพต่างๆที่อาจเข้าไปอุดตันรูขุมขนได้โดยง่าย ดังนั้นให้ล้างหน้าวันละ 2 ครั้งคือในตอนเช้าและในตอนเย็น โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่เหมาะกับสภาพและปัญหาผิวที่ช่วยขจัดน้ำมันและสิ่งสกปรกบนใบหน้าได้อย่างอ่อนโยน ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว และไม่ควรล้างหน้าบ่อยจนเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้ผิวแห้ง ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายผลิตน้ำมันออกมาทดแทนเพื่อเคลือบผิวมากขึ้นไปอีก

o ใช้กระดาษซับมัน กระดาษซับมัน เป็นหนึ่งในทางเลือกของการควบคุมความมันบนใบหน้า โดยไม่ทำให้ผิวหน้าแห้งจนเกินไป ส่วนวิธีการซับหน้าที่ถูกต้องคือ ให้ซับผิวที่มันครั้งละ 15-20 วินาทีในบริเวณที่มีความมันมาก ๆ เช่น

หน้าผาก จมูก และคาง เป็นต้น โดยไม่ควรเช็ดหรือถูกระดาษซับมันไปทั่วทั้งหน้าในคราวเดียว และไม่ควรเช็ดแบบแรงๆ เพราะจะทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้

o เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ถ้าหากผิวไม่ได้รับความชุ่มชื้นมากเท่าที่ควร จะทำให้ผิวแห้งกร้าน ดังนั้นควรเลือกครีมบำรุงที่เสี่ยงทำให้ผิวเกิดการอุดตัน อย่าง hydra-vital light ซึ่งเป็นเจลเนื้อครีมบางเบา ช่วยทั้งให้ความชุ่มชื้นและฟื้นบำรุงผิวได้ทันทีและคงความชุ่มชื้นได้อย่างยาวนาน พร้อมทั้งช่วยปกป้องผิวจากปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นมลภาวะ ฝุ่น ควันต่างๆ ทำให้รู้สึกสดชื่น สบายผิว โดยมีส่วนประกอบสำคัญ คือ HA COMPLEX ที่ให้ความชุ่มชื้นแบบทันทีและยาวนาน โดยได้มีการผสมผสาน HA 3 รูปแบบโมเลกุล เพื่อมอบความเปล่งปลั่ง เนียนนุ่มชุ่มชื้นให้แก่ผิว พร้อมปกป้องผิวจากการสูญเสียน้ำอีกด้วย , ANTI-POLLUTION/ANTIOXIDANT: URBAN D-TOX ช่วยปกป้องผิวจากสารอนุมูลอิสระที่เกิดจากมลภาวะต่างๆ โดยการสร้างเกราะปกป้องผิวด้วย Biotechnological plant-based ป้องกันการยึดเกราะของอนุภาคมลภาวะบนผิวหนัง ที่ทำให้ผิวแก่ก่อนวัย และยังมี BARRIER FUNCTION REINFORCEMENT: BARRIER FUNCTION ที่ช่วยเสริมสร้างเกราะปกป้องผิวให้แข็งแรงขึ้น ด้วยสารพอลิแซ๊กคำไรด์จากพืช เพื่อช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำจากผิวหนังชั้นนอก

o มาส์กหน้า การมาส์กหน้า เป็นการช่วยดูดซับความมันบนใบหน้า ทั้งยังช่วยทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อยู่ในรูขุมขน โดยให้เลือกใช้แผ่นหรือครีมมาส์กหน้าที่อ่อนโยนต่อผิว เหมาะกับสภาพผิว อย่าง pure renewing mask ซึ่งเป็นมาส์กหน้าสูตรพิเศษสำหรับผิวที่เป็นสิว ช่วยขจัดความมันส่วนเกินบนใบหน้า ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้หลุดออก ช่วยลดการอุดตันและการสะสมของสิ่งสกปรกบริเวณรูขุมชน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว โดยมีส่วนประกอบสำคัญคือ Kaolín ที่ช่วยดูดซับความมันและสิ่งสกปรกจากผิว , Salicylic acid, Mandelic acid, Sodium lapergilate เป็นกลุ่มของสารผลัดเซลล์ผิว ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ ลดการอุดตันในรูขุมขน ช่วยลดเลือนจุดด่างดำ , Cellulose particles เป็นเม็ดสครับที่ได้จากธรรมชาติ ช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน และปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน , post-biotic ช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์บนผิวหนังให้อยู่ในภาวะที่เหมาะสม ช่วยให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์ทำงานได้ดีมากยิ่งขึ้น ป้องกันการเกิดริ้วรอย ทำให้ผิวแข็งแรงและดูสุขภาพดี และAnti-pollution action ที่ช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะ ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย

o เลือกใช้เครื่องสำอางให้เหมาะกับสภาพผิว ให้หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางบางประเภท เช่น พวกบลัชออนแบบครีม เครื่องสำอางแต่งตา รองพื้น และผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เพราะจะทำให้เกิดการอุดตันรูขุมขน

o รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ให้หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและน้ำตาลทรายขาวในปริมาณที่มากเกินไป เพื่อที่จะสามารถรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้มีความคงที่มากขึ้น ก็จะช่วยลดการผลิตน้ำมันบนใบหน้าและช่วยลดปัญหารูขุมขนอุดตันได้ด้วย

วิธีรับมือกับปัญหาผื่นคัน

ผื่นแพ้ ผื่นต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงหน้าฝน ล้วนส่งผลเสียหายต่อผิวสวยๆของคุณแทบทั้งสิ้น เมื่อเกิดผื่นคัน ผื่นแพ้ขึ้น มีข้อควรปฏิบัติ ดังต่อไปนี้

o หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดผื่นคัน ผื่นแพ้ เช่น ไม่อยู่ในห้องแอร์นานจนเกินไป จนทำให้ผิวแห้งหรืองดการอาบน้ำอุณหภูมิสูงหรือต่ำจัด และควรหลีกเลี่ยงภาวะที่ทำให้เหงื่อออกมาก เพราะอาจทำให้เกิดผื่นคันเพิ่มมากขึ้นได้ โดยเฉพาะในช่วงก่อนฝนตกที่อากาศมักจะร้อนอบอ้าว สามารถทำให้เกิดผื่นคันขึ้นได้

o ผื่นคัน ผื่นแพ้มีหลายลักษณะ ดังนั้นจะต้องทราบว่าตนมีลักษณะผื่นแบบไหน และถ้าหากว่าอาการรุนแรงขึ้นหรือมีอาการแทรกซ้อนร่วมด้วย เช่น หายใจไม่ออก ควรรีบปรึกษาแพทย์อย่างเร่งด่วน

o ใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนังโดยเฉพาะ โดยเลือกสูตรที่มีความอ่อนโยน ไม่มีน้ำหอมหรือสารเคมีอันตรายที่จะก่อให้เกิดอาการระคายเคืองเพิ่มมากขึ้น เพื่อที่ครีมดังกล่าวจะสามารถฟื้นบำรุงผิวให้แข็งแรง ช่วยเสริมเกราะปกป้องผิว ทำให้ผิวมีสุขภาพดีมากขึ้น

o วิธีรับมือกับผื่นคัน ผื่นแพ้อย่างสุดท้ายคือเลี่ยงไม่ให้หน้าโดนฝน แต่ถ้าหากเลี่ยงไม่ได้ เมื่อถึงบ้านให้รีบทำความสะอาดผิวทันที หรือถ้าอยู่ในภาวะก่อนฝนตกที่อากาศร้อนอบอ้าว ให้พกผ้าเช็ดหน้าหรือทิชชูเอาไว้ซับเหงื่อที่ออกมาให้แห้งไม่ทิ้งให้เหนียวเหนอะหนะ

วิธีรับมือกับปัญหาผิวแห้ง

ขาดความชุ่มชื้น วิธีรับมือกับปัญหาผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น ที่สามารถทำได้ด้วยวิธีการต่างๆ ดังต่อไปนี้

o ล้างหน้าให้สะอาด เนื่องจากในช่วงฤดูฝน มักมีเชื้อโรคและสิ่งสกปรกติดมากับละอองฝนได้ง่าย ดังนั้นให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่เหมาะกับสภาพผิว มีความอ่อนโยน ไม่ระคายเคือง และไม่ทำให้ผิวแห้งตึง

o ใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ช่วยเติมน้ำให้กับผิวได้อย่างเป็นทำธรรมชาติ และใช้ผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละท่าน เพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่า ที่สามารถซึมเข้าสู่ชั้นผิวได้อย่างรวดเร็ว ทำให้โครงสร้างของผิวมีความแข็งแรงมากขึ้น

o ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอต่อความจำเป็นของร่างกาย ถึงแม้ว่าในฤดูฝนจะมีอากาศที่เย็นในช่วงที่ฝนตก แต่อย่าละเลยการดื่มน้ำ เพื่อสุขภาพผิวที่ดี

o เมื่อโดนฝนควรรีบทำความสะอาดใบหน้าหรือร่างกายทันที ไม่ควรปล่อยให้เสื้อผ้าอับชื้นอยู่เป็นเวลานาน หรือปล่อยให้ละอองฝนติดอยู่บนใบหน้าอย่างนั้น เพราะอาจเสี่ยงต่อการเกิดผื่นแพ้และโรคที่เกิดจากความอับชื้นได้

วิธีรับมือกับปัญหาผิวคล้ำเสีย

ผิวคล้ำเสีย หน้าดูโทรมเกิดจากหลายสาเหตุ ดังนั้นควรมีวิธีการรับมืออย่างถูกต้อง ดังต่อไปนี้

o เลี่ยงการอยู่ท่ามกลางแสงแดดเป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะในช่วงเวลา 10.00 – 15.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แสงแดดแรงจัด ผิวอาจถูกทำร้ายจนเกิดเป็นผิวไหม้แดดหรือผิวไวต่อแสงแดดได้มากขึ้นจนคล้ำเสีย และสำหรับใครที่ต้องการรับวิตามินดีจากแสงแดด โดยที่ผิวไม่ถูกทำร้าย ช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดคือ08.00 – 10.00 น. และช่วงเวลา 15.00 – 17.00 น. ซึ่งตอนนั้นแสงแดดค่อนข้างเบาลางลงแล้ว

o ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร เพื่อเป็นการบำรุงผิวให้สว่างใสจากภายใน ควรหันมารับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพผิวอย่างพวกผักใบเขียว ผักที่มีเบต้าแคโรทีนอย่าง แครอท ฟักทอง ฯลฯ หรือประเภทผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น แอปเปิ้ล มะเขือเทศ ก็จะช่วยฟื้นบำรุงผิวจากภายในให้สามารถกลับมาสุขภาพดีได้อีกครั้ง

o เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว การใช้เซรั่มบำรุงผิวหรือมอยส์เจอไรเซอร์ เป็นอีกหนึ่งมาเลือกที่จะช่วยเติมสารอาหารและความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ช่วยคืนชีวิตชีวาให้ผิวที่แห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น

o ดื่มน้ำมากๆ การดื่มน้ำเปล่าที่สะอาดในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย นอกจากจะทำให้ระบบต่างๆในร่างกายทำงานได้ดีขึ้นแล้ว ยังทำให้ผิวชุ่มชื้น สดใสขึ้นได้ด้วย โดยปริมาณน้ำดื่มที่แนะนำ คือ 8 – 10 แก้ว หรือประมาณ 1,500 – 2,000 มิลลิลิตรต่อวัน

o พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับพักผ่อน มีผลกระทบโดยตรงกับระบบฮอร์โมนในร่างกายและกระบวนการผลัดเซลล์ผิวใหม่ เนื่องจากฮอร์โมนที่เรียกว่า Growth Hormone จะถูกหลั่งออกมาในขณะที่คนเรานอนหลับ ซึ่งในฮอร์โมนชนิดนี้จะมีสารที่สามารถช่วยฟื้นฟูและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในร่างกายให้กลับมาทำงานได้ปกติขึ้นด้วย และ กระบวนการผลัดเซลล์ผิวใหม่ จะเริ่มต้นขึ้นในช่วงเวลาที่เรานอนหลับพักผ่อนด้วยเช่นกัน โดยเซลล์ผิวจะมีการสร้างใหม่ขึ้นมา แทนเซลล์เก่าที่ถูกผลัดออกไป ทำให้สภาพผิวดูสดใส ไม่หมองคล้ำนั่นเอง

o ทาครีมกันแดดเป็นประจำ หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าในช่วงหน้าฝน แดดไม่เยอะ ไม่จำเป็นต้องทาครีมกันแดดก็ได้ นั่นคือความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ เพราะถึงแม้ฝนจะตกบ่อย แต่แสงแดดก็ยังปล่อยรังสียูวีออกมาในปริมาณเท่าเดิม แถมยังมีพวกแสงสีฟ้าจากคอมพิวเตอร์หรือมือถืออีก ด้วย ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องทาครีมกันแดด และควรเลือก SPF กับ PA ที่เหมาะสมกับกิจกรรมที่ทำ จะช่วยสามารถปกป้องผิวจากการถูกรังสีอัลตราไวโอเลตได้ โดยให้เลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF30 และ PA++ ขึ้นไปเพราะสามารถช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำร้ายโดยรังสีความร้อนได้ แถมยังป้องกันไม่ให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำขึ้นด้วย โดย SPF คือ ความสามารถในการป้องกันรังสียูวีบี (UVB) ซึ่งค่าตัวเลขที่มาก ก็จะสามารถปกป้องได้นานยิ่งขึ้น ส่วน PAคือ ความสามารถในการป้องกันรังสียูวีเอ (UVA) ซึ่งเครื่องหมายบวก (+) จะเป็นตัวแสดงถึงการป้องกันที่ดียิ่งขึ้น เราขอแนะนำ mesoprotech melan 130 pigment control ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวจํากแสงแดด SPF 50+ ที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV (UVA & UVB) ช่วยลดเลือน และป้องกันการเกิดจุดด่างดํา ความหมองคลํ้าของผิว ด้วยเนื้อกันแดดสีเบจ ช่วยปกปิดจุดด่างดํา และรอยหมองคลํ้าอย่างเป็นธรรมชาติ และมีเนื้อสัมผัสที่บางเบา ช่วยให้ผลิตภัณฑ์เกลี่ยง่าย ไม่เหนียวเหนอะหนะ โดยมีส่วนประกอบสำคัญที่ช่วยปกป้องผิวได้อย่างล้ำลึก เช่น mesoprotech complex ที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVB นอกจากนี้ยังมีสารแอนติออกซิแดนท์ที่

ช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ ในรังสีอินฟราเรด และแสงสีฟ้าที่มากระทบผิว ,Azeloglicina ( Azelaic acid) ช่วยป้องกันรอยหมองคลํ้าหรือจุดด่างดํา ที่มีสาเหตุมาจากแสงแดด และ Sunflower seed oil (NMF) ที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นผิวตามธรรมชาติ

พฤติกรรมที่เสี่ยงต่ออาการหน้าพังในช่วงหน้าฝน

หน้าฝน ไม่เพียงส่งผลต่อสุขภาพร่างกายของคนเราเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อสภาพผิวของเราที่อาจพังได้หากไม่ระมัดระวัง ดังนี้

o โดนฝนแล้วไม่ทำความสะอาดผิวในทันที ในน้ำฝนใสๆที่เราเห็น ไม่ได้สะอาดบริสุทธิ์อย่างที่หลายท่านเข้าใจ เนื่องด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป ทำให้มีมลพิษ มลภาวะที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้สิ่งเหล่านั้นเข้าไปรวมอยู่ในละอองฝนหรือเม็ดฝนที่ร่วงหล่นลงมา ซึ่งแท้จริงแล้วเต็มไปด้วยแบคทีเรียและสารปนเปื้อนมากมาย ถ้าหน้าโดนฝนแล้วปล่อยเอาไว้ โอกาสที่หน้าจะเกิดสิวหรือผดผื่นจึงมีมากขึ้น ดังนั้น ถ้าหน้าโดนฝนควรมีการล้าง ทำความสะอาดทันที หรือถ้าไม่สามารถล้างหน้าได้ทันที ให้ใช้ทิชชูชุบน้ำและทิชชูเปียกเช็ดผิวเบาๆ อย่าปล่อยให้น้ำฝนแห้งซึมไปกับผิว เพราะเสี่ยงต่อหน้าพังได้โดยง่าย

o ไม่ล้างหน้าให้ถูกต้อง ในยุคที่เราต่างก็ต้องเผชิญกับฝุ่น มลภาวะนอกบ้าน และเชื้อโรคต่างๆมากมาย การล้างหน้าให้สะอาดหมดจดจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อป้องกันการอุดตันของผิว ที่ทำให้เกิดสิวขึ้นได้ ก่อนล้างหน้า ควรทำความสะอาดผิวหน้าด้วยคลีนซิ่ง เพื่อช่วยขจัดเมคอัพ หรือสิ่งสกปรกบนใบหน้าออกก่อน จากนั้นจึงใช้คลีนเซอร์ล้างหน้าอีกครั้ง ซึ่งคลีนเซอร์ดังกล่าว อาจมาในรูปแบบของมูส เจล หรือโฟมล้างหน้าที่เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละท่าน และหลังล้างหน้า ควรเช็ดด้วยโทนเนอร์อีกครั้ง โดยเลือกโทนเนอร์ที่มีความอ่อนโยนต่อผิว ไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองแต่ให้ความสมดุลแก่ผิว ช่วยขจัดสิ่งสกปรกที่ติดมากับน้ำฝน ทั้งยังช่วยลดสิวอุดตันและช่วยกระชับรูขุมขนได้อีกทางด้วย

o ไม่ทาครีมกันแดด ด้วยสภาพอากาศที่ดูไร้แดด ทำให้หลายท่านละเลยการทาครีมกันแดด แต่แท้จริงแล้วแสงแดดยังคงผลิตรังสียูวีที่ทำร้ายผิวในปริมาณเท่าเดิม และเมฆสามารถกรองรังสีดังกล่าวได้เพียง 25% เท่านั้น ดังนั้น จึงควรทากันแดดทั้งเวลาที่อยู่ในบ้านและออกไปนอกบ้าน เพราะในบ้านก็ต้องเผชิญความร้อนจากหลอดไฟนีออน ความร้อนจากเตาไฟเมื่อทำอาหาร และแสงสีฟ้า และเมื่อต้องออกไปกลางแจ้งก็ยิ่งต้องปกป้องผิวให้มากยิ่งขึ้น

o ดื่มบ่อย ปาร์ตี้บ่อย มีผลการศึกษาจาก Hepatology พบว่า การที่แสงแดดน้อยลงหรืออุณหภูมิลดลง ทำให้ผู้คนหันไปดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้น ซึ่งการดื่มที่มากขึ้น ทำให้ร่างกายยิ่งขาดน้ำ และเมื่อผิวขาดน้ำก็จะทำให้เกิดอาการผิวแห้งกร้าน โทรม และดูแก่ก่อนวัย

o ใช้สกินแคร์ที่เนื้อหนักมากเกินไป การใช้สกินแคร์ที่มีความเข้มข้นสูง เนื้อหนักมากเกินไป ทำให้เกิดความเหนียวเหนอะหนะทั้งผิวหน้าและผิวกายในช่วงหน้าฝน ที่มักมีความอบอ้าวของอากาศ ดังนั้น ให้เปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ที่มีเนื้อบางเบา ไม่ให้หน้ามันเยิ้มระหว่างวัน ทั้งยังเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดสิวอีกด้วย

o ไม่ดื่มน้ำให้เพียงพอ ในช่วงที่ฝนตก อากาศชื้น ทำให้หลายคนเข้าใจว่าร่างกายไม่ต้องการน้ำมากมาย แต่แท้จริงแล้ว ควรเป็นช่วงเวลาที่ต้องเติมน้ำให้กับร่างกายเทียบเท่ากับสภาพอากาศปกติ เพื่อช่วยปรับสมดุลให้ร่างกาย และทำให้ผิวดูชุ่มชื้น สุขภาพดี ให้ทำควบคู่กับการออกกำลังกาย การนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ และการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อสุขภาพผิวที่ดี

ในช่วงหน้าฝน เป็นช่วงที่รวมเอาไว้หลายสภาพอากาศ ไม่ว่าจะเป็นความอึมครึม อบอ้าวก่อนฝนตก และในช่วงที่ฝนตก อากาศก็เปลี่ยนไปเป็นหนาวเย็น มีความชื้นสูง ดังนั้นเพื่อป้องกันผิวสวยๆของเราไม่ให้ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนไป รวมถึงสิ่งปนเปื้อนมากมายที่มาจากละอองหรือเม็ดฝน ควรมีการปกป้องอย่างเต็มที่ด้วยการทาครีมบำรุงและครีมกันแดดที่เหมาะกับสภาพผิว ไม่เหนียวเหนอะหนะ ล้างและทำความสะอาดผิวหน้าทันทีหลังจากที่โดนฝน นอกจากนั้นควรดูแลปัจจัยภายในอื่นๆเช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ และการออกกำลังกายร่วมด้วย เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงที่จะส่งผลต่อผิวที่ดีมากยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน