ในยุคที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การปรับแต่งลักษณะหน้าตาของตนเองด้วยกระบวนการการศัลยกรรม และฟิลเลอร์ใต้ตากลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในวงการความงาม บทความนี้จะสำรวจแนวโน้มการใช้ฟิลเลอร์ใต้ตาในท้องตลาดความงามและความก้าวหน้าทางวิทยาการที่เกี่ยวข้อง
ฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาความงามรอบดวงตา ด้วยการฉีดสารเติมเต็มชนิด HA เข้าไปบริเวณใต้ตา ซึ่งวิธีการนี้จะเป็นวิธีที่ช่วยแก้ไขปัญหาความงามรอบดวงตา ทั้งปัญหาถุงใต้ตา ใต้ตาลึก ตาคล้ำ ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา นั้นเป็นวิธีที่แก้ไขปัญหาได้ตรงจุด และสามารถเห็นผลได้ทันทีหลังจากที่ได้รับการฉีด โดยคุณสมบัติของ ไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) คือ ช่วยในการอุ้มน้ำของผิว ทดแทนเนื้อเยื่อที่หายไป และยังช่วยกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ โดยใช้หลักการทดแทนเนื้อเยื่อ และคอลลาเจนใต้ดวงตาที่หายไปเมื่ออายุมากขึ้น ทดแทนชั้นกระดูกยุบตัว ไขมันสลาย รวมถึงปัญหาที่ผิวชั้นตื้น โดยเจ้าตัว HA เข้าไปช่วยเติมเต็มร่องลึกให้แลดูตื้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เรียกคืนใบหน้าที่อ่อนเยาว์สดใสให้กลับคืนมาอีกครั้ง
ฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถทำจากหลายวัสดุต่าง ๆ เช่น ไฮยาลูรอนิกแอซิด ไฮยาลูรอนิกกราฟต์ โพลิแมร์ หรือวัสดุอื่น ๆ ที่มีลักษณะเหมือนกับสารที่ปรากฏในร่างกาย กระบวนการนี้ทำให้สามารถปรับปรุงลักษณะภาพใต้ตาได้ ทำให้ผิวดูมีความกระชับและเยิ้ม การใช้ฟิลเลอร์ใต้ตามักนำเสนอเป็นทางเลือกที่ไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งมักจะนิยมในบริบทของการความงามที่ไม่ต้องใช้เวลาฟื้นตัวนานหรือมีความเสี่ยงต่ำกว่ากระบวนการศัลยกรรม การใช้ฟิลเลอร์ใต้ตามีไว้เพื่อปรับปรุงลักษณะหน้าตา ซึ่งควรถูกดูแลโดยผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ เนื่องจากการดูแลใต้ตาต้องให้ความสำคัญกับการทำให้ผลดูธรรมชาติและประสิทธิภาพ
ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นวิธีการเสริมความงามที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากสามารถช่วยแก้ไขปัญหาใต้ตาคล้ำ ใต้ตาโบ๋ และใต้ตาเหี่ยวย่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเป็นวิธีการที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้นนาน และสามารถเห็นผลได้ทันทีหลังทำ จากรายงานของตลาดวิจัยและวิเคราะห์อุตสาหกรรม (Market Research and Analysis Industry) พบว่า ตลาดฟิลเลอร์ใต้ตาทั่วโลกมีมูลค่าสูงถึง 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2565
และคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 8.2% จนถึงปี 2573 ปัจจัยหลักที่ผลักดันการเติบโตของตลาดฟิลเลอร์ใต้ตา ได้แก่
-
ประชากรโลกที่มีอายุมากขึ้น ส่งผลให้ปัญหาริ้วรอยและผิวหย่อนคล้อยเพิ่มขึ้น
-
เทรนด์ความงามที่เน้นความอ่อนเยาว์และดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
-
เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่พัฒนาขึ้น ทำให้การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น
แนวโน้มการใช้ฟิลเลอร์ใต้ตาในประเทศไทยก็เติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน จากรายงานของสมาคมศัลยกรรมตกแต่งแห่งประเทศไทย พบว่า ประเทศไทยมีจำนวนคลินิกเสริมความงามที่ให้บริการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเพิ่มขึ้นจาก 1,500 แห่งในปี 2564 เป็น 2,000 แห่งในปี 2565 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต
ปัจจัยที่ผลักดันการเติบโตของตลาดฟิลเลอร์ใต้ตาในประเทศไทย ได้แก่
-
คนไทยให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาความงามมากขึ้น
-
เทรนด์ความงามที่เน้นความอ่อนเยาว์และดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
-
ราคาการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ลดลง
กลุ่มเป้าหมายหลักของการใช้ฟิลเลอร์ใต้ตา ได้แก่
-
ผู้หญิงวัยทำงานอายุระหว่าง 25-45 ปี
-
ผู้หญิงที่มีปัญหาใต้ตาคล้ำ ใต้ตาโบ๋ และใต้ตาเหี่ยวย่น
-
ผู้หญิงที่ให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาความงาม
ประเภทของฟิลเลอร์ใต้ตา
ฟิลเลอร์ใต้ตามีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับส่วนผสมและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ฟิลเลอร์ใต้ตาที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน ได้แก่
-
ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic acid) เป็นสารเติมเต็มตามธรรมชาติที่พบได้ในร่างกาย มีคุณสมบัติในการกักเก็บน้ำ ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำและเรียบเนียน
-
แคลเซียม ไฮดรอกไซด์ (Calcium hydroxylapatite) เป็นสารเติมเต็มสังเคราะห์ที่มีคุณสมบัติในการยึดเกาะกับผิวได้ดี ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนและยกกระชับ
-
โพลีเมอริก ซิลิกอน (Polymeric silicone) เป็นสารเติมเต็มสังเคราะห์ที่มีคุณสมบัติในการคงรูปได้ดี ช่วยให้ผิวดูอิ่มฟูและเต่งตึง
ข้อดีและข้อเสียของการใช้ฟิลเลอร์ใต้ตา
ข้อดีของการใช้ฟิลเลอร์ใต้ตา ได้แก่
-
สามารถช่วยแก้ไขปัญหาใต้ตาคล้ำ ใต้ตาโบ๋ และใต้ตาเหี่ยวย่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-
เป็นวิธีการที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้นนาน
-
สามารถเห็นผลได้ทันทีหลังทำ
ข้อเสียของการใช้ฟิลเลอร์ใต้ตา ได้แก่
-
อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียง เช่น อาการบวมแดง รอยช้ำ การอักเสบ และการติดเชื้อ
-
ฟิลเลอร์อาจสลายตัวและเคลื่อนตัวไปผิดตำแหน่งได้
การพัฒนาเทคโนโลยีฟิลเลอร์ใต้ตา
การพัฒนาเทคโนโลยีฟิลเลอร์ใต้ตา มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงความปลอดภัยและประสิทธิภาพของฟิลเลอร์ การพัฒนาที่สำคัญ ได้แก่
-
การใช้สารเติมเต็มที่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ฟิลเลอร์แบบเดิมมักทำจากสารที่ไม่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ เช่น ซิลิโคนเหลว เมื่อฉีดเข้าไปแล้วอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น การอักเสบ ก้อน หรือการติดเชื้อ การใช้สารเติมเต็มที่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ เช่น ไฮยาลูโรนิก แอซิด (HA) ช่วยให้ฟิลเลอร์หมดฤทธิ์ไปเองตามธรรมชาติ โดยไม่ทิ้งสารตกค้างไว้ในร่างกาย
-
การพัฒนาเทคโนโลยีการฉีดที่แม่นยำยิ่งขึ้น เทคโนโลยีการฉีดแบบเดิมอาจทำให้ฟิลเลอร์กระจายตัวไม่สม่ำเสมอ
ส่งผลให้เกิดก้อนหรือเป็นตะปุ่มตะป่ำ การพัฒนาเทคโนโลยีการฉีดที่แม่นยำยิ่งขึ้น เช่น การฉีดด้วยเข็มขนาดเล็ก การฉีดโดยใช้เครื่องอัลตราซาวนด์ ช่วยให้ฟิลเลอร์กระจายตัวได้อย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
-
การพัฒนาฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติเฉพาะ ฟิลเลอร์แต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน เช่น ระดับความคงตัว ความยืดหยุ่น ความสามารถในการอุ้มน้ำ เป็นต้น การพัฒนาฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติเฉพาะช่วยให้แพทย์สามารถเลือกฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับปัญหาและความต้องการของผู้ป่วยได้มากขึ้น
การพัฒนาเทคโนโลยีฟิลเลอร์ใต้ตาอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้การรักษาด้วยฟิลเลอร์ใต้ตามีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ป่วยได้รับผลลัพธ์ที่ตรงตามความต้องการและพึงพอใจมากขึ้น
ความปลอดภัยและมาตรฐาน
ความปลอดภัยในการใช้ฟิลเลอร์ใต้ตา ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ได้แก่
-
ประเภทของฟิลเลอร์ ฟิลเลอร์ที่ทำจากสารที่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ เช่น ไฮยาลูโรนิก แอซิด (HA) มีความปลอดภัยสูงกว่าฟิลเลอร์ที่ทำจากสารที่ไม่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ เช่น ซิลิโคนเหลว
-
เทคนิคการฉีด แพทย์ผู้ฉีดฟิลเลอร์ควรมีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียง เช่น การอุดตันของหลอดเลือด ก้อน หรือการติดเชื้อ
-
การดูแลตัวเองหลังฉีด ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดหลังฉีดฟิลเลอร์ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียง
แนะนำฟิลเลอร์ที่มีความปลอดภัย
ฟิลเลอร์ mesofiller จาก mesoestetic ประกอบไปด้วย mesofiller global mesofiller intense นำเข้าจากสเปน cross-linking process กระบวนการทำให้ ha มีโครงสร้างเป็นร่างแห เพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ภายในทำให้เกิดรูปทรง
-
เทคโนโลยีการทำ ha ให้อยู่ในรูป crosslink 100% โดยไม่มี free ha
-
มีความปลอดภัยสูง BDDE ต่ำ ไม่ก่อให้เกิดความระคายเคือง
-
สามารถคงรูปในการฉีดได้ดี ผิวเรียบเนียน
-
อัตราการบวมต่ำ สามารถกำหนดปริมาณการฉีดและสามารถจัดรูปทรงได้อย่างง่ายดาย
-
สามารถเข้าได้ดีกับเนื้อเยื่อ เติมเต็มได้ทันที และไม่ก่อให้เกิดลักษณะเป็นก้อนนูนหลังการฉีด
-
สามารถกระตุ้นการซ่อมแซมของเนื้อเยื่อที่ขาดน้ำทำให้เติมเต็มความชุ่มชื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-
สามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 9-12 เดือน หลังจากการฉีดเพียงครั้งเดียว
การเตรียมตัวก่อนฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์ใต้ตา
-
ปรึกษาแพทย์ ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับปัญหาที่ต้องการแก้ไข ประเภทของฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับความต้องการ และความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดฟิลเลอร์
-
แจ้งประวัติการรักษา แจ้งแพทย์เกี่ยวกับประวัติการรักษา เช่น โรคประจำตัว อาการแพ้ยา เป็นต้น
-
งดยาและอาหารเสริมบางชนิด งดยาและอาหารเสริมบางชนิดก่อนการฉีดฟิลเลอร์ เช่น ยาแอสไพริน ยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) วิตามินอี สารสกัดจากโสม เป็นต้น ยาและอาหารเสริมเหล่านี้อาจทำให้เลือดไหลไม่หยุดหรือหยุดยากหลังการฉีดฟิลเลอร์
-
งดดื่มแอลกอฮอล์ งดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนการฉีดฟิลเลอร์ แอลกอฮอล์อาจทำให้เลือดไหลไม่หยุดหรือหยุดยากหลังการฉีดฟิลเลอร์
-
พักผ่อนให้เพียงพอ พักผ่อนให้เพียงพอก่อนการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและฟื้นตัวจากการฉีดฟิลเลอร์ได้เร็วขึ้น
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ได้แก่
-
อาการบวม อาการบวมเป็นอาการที่พบได้บ่อยหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา อาการบวมจะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์
-
อาการแดง อาการแดงเป็นอาการที่พบได้บ่อยหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา อาการแดงจะหายไปเองภายใน 1-2 วัน
-
อาการปวด อาการปวดเป็นอาการที่พบได้บ่อยหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา อาการปวดสามารถบรรเทาได้ด้วยยาแก้ปวด
-
อาการแพ้ อาการแพ้เป็นอาการที่พบได้น้อยมาก อาการแพ้อาจทำให้เกิดผื่นแดง บวม หรือคันบริเวณที่ฉีด
-
การอุดตันของหลอดเลือด การอุดตันของหลอดเลือดเป็นภาวะที่พบได้น้อยมาก ภาวะนี้อาจทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นขาดเลือดไปเลี้ยง เกิดอาการเนื้อตายได้
-
การเกิดก้อน การเกิดก้อนเป็นภาวะที่พบได้น้อยมาก ภาวะนี้อาจเกิดจากการฉีดฟิลเลอร์ผิดตำแหน่ง ฉีดฟิลเลอร์มากเกินไป หรือใช้ฟิลเลอร์ที่มีคุณภาพต่ำ หากมีอาการผิดปกติหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
แนวทางปฏิบัติเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ได้แก่
-
เลือกคลินิกที่มีใบอนุญาตประกอบกิจการ
-
เลือกแพทย์ผู้ฉีดฟิลเลอร์ที่มีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมและมีประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์
-
สอบถามเกี่ยวกับฟิลเลอร์ที่ใช้ในการฉีด ยี่ห้อ ราคา และระยะเวลาการอยู่ตัวของฟิลเลอร์
-
ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดหลังฉีดฟิลเลอร์
นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ฟิลเลอร์ปลอมหรือฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน
ใครไม่ควรฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ได้แก่
-
ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี เนื่องจากโครงหน้ายังไม่พัฒนาเต็มที่
-
ผู้ที่มีปัญหาเลือดออกง่าย เช่น ผู้ที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด
-
ผู้ที่มีอาการแพ้สารเติมเต็ม เช่น ไฮยาลูโรนิก แอซิด
-
ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง
-
ผู้ที่มีปัญหาบริเวณใต้ตา เช่น ถุงใต้ตาขนาดใหญ่ หนังตาหย่อนคล้อย
นอกจากนี้ แพทย์อาจพิจารณาไม่แนะนำให้ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาสำหรับผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคต้อหินหรือโรคตาแห้ง เนื่องจากฟิลเลอร์ใต้ตาอาจทำให้ความดันในลูกตาสูงขึ้นหรือทำให้น้ำตาไหลน้อยลง เพิ่มความเสี่ยงต่ออาการต้อหินหรือโรคตาแห้ง
ดังนั้น หากมีข้อกังวลใดๆ เกี่ยวกับความเสี่ยงในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ
สิ่งที่ต้องคำนึงก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์
สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา มีดังนี้
-
เป้าหมาย ในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาคืออะไร ต้องการแก้ไขปัญหาใด เช่น รอยเหี่ยวย่นใต้ตา ถุงใต้ตา เป็นต้น
-
ความเสี่ยง และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ได้แก่ อาการบวม อาการแดง อาการแพ้ การอุดตันของหลอดเลือด ก้อน เป็นต้น
-
ค่าใช้จ่าย ในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของฟิลเลอร์ ปริมาณฟิลเลอร์ และสถานที่ฉีด
-
สถานที่ฉีด ควรเลือกคลินิกที่มีใบอนุญาตประกอบกิจการและแพทย์ผู้ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่มีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมและมีประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์
นอกจากนี้ ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับฟิลเลอร์ใต้ตาประเภทต่างๆ ให้ดีก่อนตัดสินใจฉีด ฟิลเลอร์ใต้ตาแต่ละประเภทมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน เช่น ความคงตัว ความยืดหยุ่น
ความสามารถในการอุ้มน้ำ เป็นต้น การเลือกฟิลเลอร์ใต้ตาให้เหมาะสมกับความต้องการของตนเองจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการและลดความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียง
หลังฉีดฟิลเลอร์ตาควรดูแลตัวเองอย่างไร
หลังฉีดฟิลเลอร์ตา ควรดูแลตัวเองดังนี้
-
พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวจากกระบวนการฉีด
-
ประคบเย็นบริเวณที่ฉีด เป็นเวลา 20-30 นาที 3-4 ครั้งต่อวัน เพื่อช่วยบรรเทาอาการบวม
-
หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ฉีด เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนตัวได้
-
งดแต่งหน้าบริเวณที่ฉีด อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
-
งดออกกำลังกายหนัก อย่างน้อย 2-3 วัน
-
งดดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 7 วัน
นอกจากนี้ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด หากมีอาการผิดปกติ เช่น อาการบวม อาการแดง อาการปวด หรืออาการแพ้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที โดยสรุปแล้ว การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ตาจะช่วยให้อาการบวม อาการแดง และอาการอื่นๆ หายเร็วขึ้น และช่วยให้ฟิลเลอร์เข้าที่เร็วขึ้น ส่งผลให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
หากฉีดฟิลเลอร์ตาไปแล้วไม่ชอบ ทำอย่างไรให้สลายไวด้วยตัวเอง
หากฉีดฟิลเลอร์ตาไปแล้วไม่ชอบ สามารถทำได้ดังนี้
-
รอให้ฟิลเลอร์สลายไปเองตามธรรมชาติ ฟิลเลอร์แต่ละประเภทมีระยะเวลาการสลายตัวที่แตกต่างกัน โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 6-12 เดือน หากฉีดฟิลเลอร์ไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic acid) ซึ่งเป็นฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ฟิลเลอร์จะสลายไปเองภายใน 6-9 เดือน
-
ใช้ยาช่วยสลายฟิลเลอร์ ยาช่วยสลายฟิลเลอร์มีหลายชนิด เช่น Hyalase, Xiapex เป็นต้น ยาเหล่านี้จะเข้าไปทำลายโครงสร้างของฟิลเลอร์ ทำให้ฟิลเลอร์สลายตัวเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ยาช่วยสลายฟิลเลอร์อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น อาการบวม อาการแดง อาการปวด เป็นต้น
-
ฉีดสลายฟิลเลอร์ การฉีดสลายฟิลเลอร์เป็นวิธีที่นิยมใช้มากที่สุด เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการสลายฟิลเลอร์ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย
แพทย์จะใช้สารละลาย Hyalase ฉีดเข้าไปในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งจะช่วยสลายฟิลเลอร์ให้หมดไปภายในระยะเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์
หากเลือกที่จะรอให้ฟิลเลอร์สลายไปเองตามธรรมชาติ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนตัวได้ และอาจทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เป็นธรรมชาติ
หากเลือกที่จะใช้ยาช่วยสลายฟิลเลอร์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา เนื่องจากยาอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้
หลังใช้ฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วจะมีอาการบวมหรือไม่ เเละบวมนานแค่ไหน
อาการบวมเป็นอาการที่พบได้บ่อยหลังการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา อาการบวมจะอยู่ที่ประมาณ 3-7 วัน และจะเริ่มยุบตัวลงตั้งแต่สัปดาห์ที่ 1-2 เป็นต้นไป โดยอาการบวมจะบวมมากที่สุดในช่วง 2-3 วันแรก จากนั้นจะดีขึ้นเรื่อยๆ และหายไปภายใน 14 วัน
ปัจจัยที่อาจทำให้อาการบวมหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตานานขึ้น ได้แก่
-
ปริมาณฟิลเลร์ที่ฉีด หากฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณมาก อาการบวมจะนานขึ้น
-
ตำแหน่งที่ฉีด หากฉีดฟิลเลอร์บริเวณที่เส้นเลือดเยอะ อาการบวมจะนานขึ้น
-
เทคนิคการฉีด หากแพทย์ฉีดฟิลเลอร์อย่างระมัดระวัง อาการบวมจะน้อยลง
นอกจากนี้ การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอย่างถูกต้อง จะช่วยบรรเทาอาการบวมและช่วยให้ฟิลเลอร์เข้าที่เร็วขึ้น โดยควรประคบเย็นบริเวณที่ฉีดเป็นเวลา 20-30 นาที 3-4 ครั้งต่อวัน และหลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ฉีด
หากอาการบวมหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตานานกว่า 7 วัน หรือมีอาการอื่นๆ เช่น อาการแดง อาการปวด อาการแพ้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
สรุป
แนวโน้มการใช้ฟิลเลอร์ใต้ตาในท้องตลาดความงามมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่น ประชากรโลกที่มีอายุมากขึ้น เทรนด์ความงามที่เน้นความอ่อนเยาว์และดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น และเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่พัฒนาขึ้น ทำให้การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การใช้ฟิลเลอร์ใต้ตาก็ควรได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงได้ ควรเลือกใช้บริการจากคลินิกความงามที่มีคุณภาพ มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่มีคุณภาพและปลอดภัย