“ริ้วรอยรอบดวงตา” ปัญหาใหญ่ของใครหลายคน ที่พอยิ้มทีไร ก็เกิดรอยย่นชัดเจนจนเห็นได้ชัด และมักจะตามมาด้วยปัญหาตีนกา รอยคล้ำใต้ตา รวมถึงถุงใต้ตา ที่ไม่เพียงมีสาเหตุมาจากการที่มีอายุเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการแสดงสีหน้าอารมณ์ การระคายเคือง สภาพแวดล้อม อาหารการกิน ล้วนแต่ส่งผลทำให้เกิดริ้วรอยรอบดวงตาขึ้นมาได้ด้วยเช่นกัน สิ่งที่ตามมา ไม่เพียงแต่ทำให้หน้าดูแก่กว่าวัยเท่านั้น แต่ยังทำให้ขาดความมั่นใจ ดวงตาที่เคยเปล่งปลั่งสดใส ถูกบดบังด้วยริ้วรอย เราจะมาเรียนรู้กัน ถึงการรักษาและวิธีการป้องกันผิวรอบดวงตาคู่สวยของคุณให้กระชับ เรียกพลังความสดใสของแววตาให้กลับคืนมาได้อีกครั้ง
ลักษณะอาการของปัญหารอบดวงตา
ลักษณะของปัญหารอบดวงตาที่พบได้บ่อย มีดังต่อไปนี้
ถุงใต้ตาบวม
เมื่ออายุของคนเราเพิ่มมากขึ้น ปริมาณของคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวก็เริ่มเสื่อม ลดลง และมีอาการหย่อนคล้อย ทำให้เกิดการสะสมของน้ำและไขมันเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ขนาดของถุงใต้ตาก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นจนเห็นได้ชัด โดยอาการคั่งของน้ำ ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากโรคภูมิแพ้ การติดเชื้อในโพรงไซนัส ความดันโลหิตสูง การกินอาหารที่มีรสเค็มจัด หรือการร้องให้ก็อาจทำให้เกิดลักษณะอาการเช่นนี้ได้
รอยคล้ำใต้ตา
รอยคล้ำใต้ตา สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น
- เกิดจากปัญหาด้านการไหลเวียนของเลือด ที่ทำให้เกิดการคั่งและการรั่วซึมของระบบเส้นเลือดรอบดวงตา เนื่องจากความเปราะบางของเส้นเลือดฝอย ทำให้เส้นเลือดดำมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น จนทำให้ขอบตาดำคล้ำลง
- เกิดจากการสะสมของเมลานิน(Melanin) หรือเม็ดสีผิวใต้ผิวหนัง อาจมีที่มาจากพันธุกรรมหรือการระคายเคืองของผิวหนังรอบดวงตา ที่เกิดจากการถูตาหรือขยี้ตาบ่อยๆ แรงๆ ผิวหนังอักเสบ (Eczema) หรือการแพ้เครื่องสำอาง เป็นต้น
ริ้วรอยรอบดวงตา
ริ้วรอยรอบดวงตาและร่องลึกรอบดวงตา มีสาเหตุมาจากการที่คอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนังถูกทำลาย ทำให้ผิวเสียความยืดหยุ่นและความกระชับ ทำให้เกิดร่องลึกและริ้วรอยรอบดวงตาขึ้นมาได้ ส่วนบริเวณที่เกิดริ้วรอยได้ง่ายก็จะเป็นบริเวณใต้ตาและหางตา เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีความบอบบางเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆที่เป็นตัวกระตุ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกทางใบหน้าที่ต้องอาศัยการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ เช่น การยิ้ม หัวเราะ หรือร้องไห้ ไม่เพียงเท่านั้นยังรวมไปถึงผิวหนังรอบดวงตาที่ถูกแสงแดดทำลาย การสูบบุหรี่ การระคายเคืองหรืออักเสบเรื้อรังของผิวหนังใต้ดวงตา เป็นต้น
ประเภทของรอยย่นใต้ตา
ลักษณะของรอยย่นรอบดวงตา สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ดังต่อไปนี้
- Dynamic Line
เป็นลักษณะของริ้วรอยที่เกิดจากการหดตัวซ้ำของกล้ามเนื้อใต้ผิวหนังเป็นระยะเวลาที่ต่อเนื่องยาวนาน เกิดจากการแสดงอารมณ์ที่ใบหน้า(Expression Wrinkle) เช่น ยิ้ม หัวเราะ ยกคิ้ว เลิกหน้าผาก เป็นต้น ซึ่งโอกาสที่จะริ้วรอยแบบ Dynamic Line จะหายไปก็สามารถเป็นไปได้ ถ้าหากว่าผิวหนังรอบดวงตามีความชุ่มชื้น ยืดหยุ่นและแข็งแรง แต่ถ้าหากผิวหนังไม่แข็งแรงก็สามารถพัฒนาเป็นริ้วรอยแบบ Static Line ได้ - Static Line
เป็นลักษณะของริ้วรอยที่คงที่ ที่มีสาเหตุมาจากการเสียหายของผิวหนัง เกิดจากภาวะผิวแห้ง เกิดการสูญเสียคอลลาเจนใต้ผิว และถ้าหากมีการแสดงอารมณ์บนใบหน้านานๆเข้าก็สามารถทำให้เกิดStatic Line ได้เช่นกัน และที่สำคัญริ้วรอยในลักษณะนี้ ไม่สามารถหายไปได้เอง ทำให้หลายคนหันไปพึ่งสารเติมเต็มและสารคลายกล้ามเนื้อ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรให้รีบรักษา อย่าปล่อยไว้นานจนเกินไป เพราะจะทำให้รอยยิ่งลึกขึ้น
สาเหตุของการเกิดริ้วรอยรอบดวงตา
ริ้วรอยรอบดวงตาเป็นสัญญาณแห่งวัยที่หลายคนไม่ปรารถนา ซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากหลายปัจจัย ดังต่อไปนี้
- เกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนและอิลาสตินบริเวณใต้ตา ทำให้ผิวบางลง ขาดความยืดหยุ่น โดยเฉพาะบริเวณหนังตาและเปลือกตา สังเกตได้จากรอยตีนกาและรอยย่นที่เกิดขึ้น
- เกิดจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้กระดูกใต้ตามีการยุบตัวลง เนื้อน้อยลง ทำให้ผิวเกิดความหย่อนคล้อย เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดริ้วรอยรอบดวงตา
- เกิดจากการที่ผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น เนื่องจากผิวที่บริเวณใต้ตามีไขมันน้อย ทำให้ผิวแห้ง และเกิดริ้วร้อยได้โดยง่าย
- เกิดจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่นมักถูกหรือขยี้ตาแรงๆ หรือเกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นต้น
การรักษาริ้วรอยรอบดวงตา
ริ้วรอยรอบดวงตาสามารถรักษาหรือบรรเทาอาการให้ดีขึ้นได้ ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
- ลดริ้วรอยรอบดวงตาด้วยการทาครีมรอบดวงตา
ครีมที่ดูแลผิวใต้ตา ส่วนใหญ่จะมีสรรพคุณในการเพิ่มความชุ่มชื้นและทำให้ผิวไม่แห้ง ซึ่งเป็นที่มาของรอยพับใต้ตา ซึ่งเหมาะกับอาการที่ไม่มากนัก และจะต้องทาอย่างสม่ำเสมอเพื่อช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยใต้ตา - ลดริ้วรอยรอบดวงตาด้วยการทายา
ยาที่ใช้ทารอบดวงตาเป็นยาที่อยู่ในกลุ่มของวิตามินซีและวิตามินเอ โดยนำมาทาบริเวณรอบดวงตาเบาๆ บางๆ โดยเริ่มจากหัวตาไปยังหางตา ทั้งเปลือกตาบนและเปลือกตาล่าง ซึ่งจะช่วยลดเลือนและชะลอริ้วรอยให้เกิดขึ้นช้าลง เป็นการรักษาแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งเหมาะกับริ้วรอยที่ตื้นๆไม่ลึกมาก - ลดริ้วรอยรอบดวงตาด้วยการฉีดฟิลเลอร์ (Filler)
สำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยรอยใต้ตา รอยย่นใต้ตา ถุงใต้ตา ใต้ตาคล้ำ เบ้าตาลึก หรือรอยพับใต้ตา ปัญหาเหล่านี้เกิดจาการยุบตัวของกระดูกใต้ตา ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการทาครีม การใช้ฟิลเลอร์เพื่อการรักษาจะสามารถช่วยแก้ปัญหาในส่วนนี้ได้ เพื่อเติมเต็มชั้นกระดูกที่ยุบตัวลง จะช่วยให้ใต้ตาเต็มขึ้น ช่วยลดรอยเหี่ยวย่นใต้ตา ทำให้ตาดูอวบอิ่ม สดใสมากขึ้น โดยสารฟิลเลอร์ที่นำมาฉีด จะเป็นสารสังเคราะห์ที่ถูกสร้างขึ้นมาให้ใกล้เคียงกับสารที่มีอยู่ในร่างกายอย่างสารประเภทไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid – HA) ซึ่งสารที่นำมาฉีดนี้จะสลายไปเองตามธรรมชาติ ดังนั้นจะต้องฉีดซ้ำทุกๆ 6-8 เดือน โดยแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญในคลินิกหรือสถานเสริมความงามที่ได้มาตรฐานเท่านั้น - ลดริ้วรอยรอบดวงตาด้วยการฉีดโบท็อกซ์ (Botox)
เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก มีประสิทธิภาพในการรักษาริ้วรอยใต้ตาที่เป็นริ้วเล็กๆ รวมถึงตีนกาอย่างได้ผล โดยโบท็อกซ์จะทำให้กล้ามเนื้อในบริเวณที่ฉีดนั้นเกิดการคลายตัวชั่วคราว ส่งผลให้ริ้วรอยจางลง ส่วนใหญ่จะเห็นผล 5-7 วัน จะเห็นผลอย่างเต็มที่ใน 14 วัน ส่วนใหญ่จะคงสภาพอยู่ 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของโบท็อกซ์ที่เลือกใช้ หลังจากนั้นแนะนำให้ไปฉีดซ้ำ และควรเลือกฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและคลินิกที่ได้มาตรฐานเท่านั้น ที่สำคัญให้ฉีดในปริมาณที่เหมาะสม เพราะหากฉีดมากจนเกินไปอาจทำให้ดวงตาตึงและยิ้มไม่เป็นธรรมชาติ - ลดริ้วรอยรอบดวงตาด้วยคลื่นวิทยุ (Radio Frequency – RF)
เป็นอีกหนึ่งวิธีการรักษาที่ช่วยเสริมการรักษาในวิธีอื่นๆเช่น การรักษาด้วยเลเซอร์ โบท็อกซ์ ฯลฯ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยช่วยรักษาริ้วรอยเล็กๆต่างๆ หรือผิวหนังที่หย่อนไม่กระชับ รวมถึงริ้วรอยที่เกิดขึ้นรอบดวงตาได้ โดยมีหลักการทำงานด้วยความร้อนปล่อยคลื่นไฟฟ้าอ่อน ๆ ในรูปของคลื่นความถี่วิทยุ เพื่อเพิ่มอุณหภูมิให้กับชั้นผิวหนังแท้ซึ่งมีคอลลาเจนอยู่ให้มีความกระชับมากยิ่งขึ้น ช่วยลดปัญหาผิวหย่อนคล้อยหรือผิวที่มีรอยย่นมากๆ ทั้งยังสามารถช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนได้อีกด้วย ส่วนใหญ่มักจะนิยมทำการรักษาตั้งแต่ 4-6 ครั้งขึ้นไป - ลดริ้วรอยรอบดวงตาด้วยคลื่นเสียง (Hifu Ultrafomer)
การรักษาริ้วรอยรอบดวงตาด้วยการใช้คลื่นเสียง หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า HIFU เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยไม่มาก และมีผิวหย่อนคล้อย โดยจะใช้คลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ที่พัฒนามาจากเครื่องอัลตร้าซาวด์ที่ใช้ตรวจครรภ์ของแพทย์ยิงเข้าไปในชั้นผิวที่ลึกลงไปถึง 3 ระดับ เพื่อทำให้ผิวหดตัว ส่งผลให้ผิวบริเวณนั้นกระชับขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินขึ้นใหม่ ทำให้ริ้วรอยรอบดวงตาลดลง - ลดริ้วรอยรอบดวงตาด้วยการทำPRP(Platelet Rich Plasma)
การทำ PRP ที่ใต้ตา เป็นการนำเกล็ดเลือดของตัวท่านเองมาช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยรอบดวงตาและปัญหาใต้ตาคล้ำ วิธีการคือ แพทย์จะเจาะเลือดของท่านประมาณ 20 ซีซี แล้วนำมาปั่นแยกส่วน แล้วแยกเอาส่วนที่เป็นพลาสม่าที่มีเกล็ดเลือดออกมาซึ่งมี Growth factor ที่มีความเข้มข้น แล้วฉีดกลับเข้าไปในบริเวณที่มีปัญหา วิธีนี้เป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน พร้อมทั้งช่วยฟื้นฟูผิวรอบดวงตาให้กลับมาอิ่มฟูขึ้น แต่วิธีนี้ไม่เหมาะกับผู้ที่มีความผิดปกติในการแข็งตัวของเลือด ผู้ที่มีปัญหาโลหิตจางหรือมีโรคประจำตัวอื่นๆ - ลดริ้วรอยรอบดวงตาด้วยการฉีดไขมัน(Fat Transfer)
การฉีดไขมันใต้ตา เป็นการนำเอาไขมันของตัวท่านเองที่มีตามจุดต่างๆของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นบริเวณหน้าท้อง หรือต้นขา แล้วนำมาฉีดที่ผิวหนังบริเวณใต้ตา เพื่อให้เซลล์ไขมันไปสัมผัสกับเนื้อเยื่อภายในมากที่สุด เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยใต้ตาลึกและกินบริเวณกว้าง และต้องทำกับแพทย์ที่มีความชำนาญเท่านั้น - ลดริ้วรอยรอบดวงตาด้วยการทำเลเซอร์(Laser)
การทำเลเซอร์ใต้ตา เหมาะกับริ้วรอยที่ไม่ลึกมาก เป็นการปล่อยพลังงานแสงลงไปใต้ผิวด้วยความเร็วสูงโดยใช้เลเซอร์ในกลุ่มต่างๆ เช่น CO2 laser หรือ YSGG laser ฯลฯ จะเข้าไปช่วยกระตุ้นและซ่อมแซมคอลลาเจนในชั้นผิวหนัง หลังจากที่ทำอาจจะมีอาการบวมแดง ตึงๆอยู่ประมาณ 30 นาที จากนั้นจะค่อยๆดีขึ้น ซึ่งการรักษาในวิธีนี้มีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงและเห็นผลช้า กรณีที่ริ้วรอยใต้ตามีความลึกมาก แนะนำให้ฉีดฟิลเลอร์หรือฉีดไขมันร่วมด้วยตามความเหมาะสม - ลดริ้วรอยรอบดวงตาด้วยการทำศัลยกรรม
การทำศัลยกรรมเพื่อลบริ้วรอยรอบดวงตาเป็นการผ่าเอาถุงใต้ตาออก หรือเป็นการจัดการกับผิวหนังที่หย่อนคล้อยมากๆ เพื่อช่วยแก้ปัญหาตาเหี่ยว เปลือกตาย่น โดยการผ่าตัดเอาหนังที่เป็นส่วนเกินออกแล้วเย็บผิวหนังบริเวณนั้นใหม่ ทำให้ผิวใต้ตาดูกระชับมากยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยลดริ้วรอยใต้ตาได้อย่างเห็นผลที่ชัดเจน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ควรเลือกทำกับแพทย์ผู้มีความชำนาญและจะต้องมีการดูแลผิวใต้ดวงตาหลังผ่าตัดให้ดี เพราะอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือแผลอักเสบได้ - การลดเลือนริ้วรอยรอบดวงตาด้วยวิธีธรรมชาติ
สำหรับการลดเลือนริ้วรอยที่เป็นสูตรธรรมชาติที่นิยมใช้กัน เช่นสูตร แตงกวา ใบบัวบก แครอท มะเขือเทศ ใบตำลึงหรือว่านหางจระเข้ ที่มักนำมาใช้มาส์กหน้าบริเวณรอบดวงตา ซึ่งจะช่วยให้ผิวรอบดวงตามีความชุ่มชื้น เป็นการกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสติน ลดความเสี่ยงต่อการเกิดริ้วรอยได้
การป้องกันการเกิดริ้วรอยรอบดวงตา
ก่อนที่ริ้วรอยรอบดวงตาจะลึกมากยิ่งขึ้นจนถึงขั้นที่จะต้องเข้ารับการรักษาด้วยหัตถการทางการแพทย์ในรูปแบบต่างๆ ควรมีการดูแลและถนอมผิวรอบดวงตาเพื่อเป็นการป้องกันริ้วรอยที่จะเกิดขึ้นเป็นปัญหาตามมา ดังนี้
- ปกป้องผิวหน้าจากแสงแดด
แสงแดดนับเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ทุกๆส่วนของใบหน้า รวมถึงรอบดวงตาด้วย เนื่องจากในแสงแดดมีพลังงานความร้อนจากรังสี UVAและ UVB ที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระในผิวหนัง ที่มาของปัญหาผิวมากมาย รวมถึงริ้วรอยด้วย ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการอยู่ท่ามกลางแสงแดดจัดๆเป็นเวลานานๆ รวมถึงการปกป้องผิวหน้าและรอบดวงตาด้วย - ทาอายครีมเป็นประจำ
เนื่องจากผิวหนังรอบดวงตาของคนเรามีความบอบบางมากกว่าผิวหนังส่วนอื่นบนผิวหน้า และเป็นส่วนที่มีการแสดงออกทางด้านอารมณ์มากจุดหนึ่งด้วย นอกจากนั้นการที่อายุเพิ่มมากขึ้น พฤติกรรมการเสียดสีในบริเวณรอบดวงตาเป็นประจำอาจเป็นที่มาของรอยย่นใต้ตา ตาเหี่ยวหรือดำคล้ำ ดังนั้นควรทาอายครีมเป็นประจำเพื่อช่วยลดอาการดังกล่าว โดยให้เลือกอายครีมที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น รวมถึงส่วนผสมอื่นๆที่สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ริ้วรอยลดเลือนลงและดูกระชับมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าหากไม่มี ให้ใช้วาสลีนทาใต้ตาก่อนเข้านอน ส่วนวิธีการใช้อายครีม หลังจากที่ทำความสะอาดผิวหน้าแล้วให้ลูบครีมรอบดวงตา โดยให้ใช้นิ้วก้อยหรือนิ้วนางช่วยทา เพราะเป็นนิ้วที่มีแรงกดน้อยที่สุด อย่าถูหรือดึงผิวหนังรอบดวงตา เพราะจะทำให้ความยืดหยุ่นของผิวในบริเวณนั้นลดลง จนนำไปสู่ความเหี่ยวย่นและความย่อนคล้อยที่มากขึ้นตามมา - ดื่มน้ำสะอาดมากๆ
เนื่องจากผิวหน้าและผิวรอบดวงตามีความบอบบาง การที่ผิวขาดน้ำ ทำให้มองเห็นรอยคล้ำและรอยเหี่ยวย่นชัดขึ้น ดังนั้นการดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้วเป็นอย่างน้อย จะทำให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น - พักผ่อนให้เพียงพอ
การพักผ่อน เป็นสิ่งที่สำคัญในการดูแลสุขภาพผิว รวมถึงผิวรอบดวงตา สังเกตในช่วงเวลาไหนที่นอนไม่พอหรือนอนน้อย ดวงตาจะดูไม่สดใส ใต้ตาคล้ำ และถ้าอยู่ในสภาพเช่นนี้นานๆ รอยเหี่ยวย่นรอบดวงตาก็จะเริ่มเกิดขึ้น ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ให้นอนก่อนเที่ยงคืน เพื่อสุขภาพที่ดีและดวงตาที่สดใส - ประคบเย็นรอบดวงตา
เป็นหนึ่งในวิธีที่จะช่วยให้ดวงตาและผิวหนังรอบดวงตาได้ผ่อนคลาย โดยก่อนนอนให้ประคบเย็นประมาณ 15 นาที หรืออาจจะใช้แตงกวาหรือมันฝรั่งหั่นเป็นแว่นบางๆ แล้วนำไปวางไว้บนดวงตาวันละประมาณ 5 นาที ก็จะสามารถลดอาการขอบตาบวมช้ำลงได้ - กดจุดบริเวณใต้ตา
วิธีการคือให้กดนิ้วชี้ลงบนจุดกึ่งกลางของขอบกระดูกเบ้าตาด้านล่าง ค้างไว้ประมาณ 3 วินาที ทำเป็นประจำ 10 ครั้งทุกเช้า - รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
โดยการเลี่ยงรับประทานอาหารที่มีรสเค็มจัด รวมถึงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ที่นอกจากจะทำให้ผิวกระชับแล้วยังสามารถคลายเครียดได้ด้วย เพราะความเครียดคือหนึ่งในตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดรอยย่นบนใบหน้าหรือรอบดวงตาขึ้นมาได้
หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้เกิดริ้วรอยรอบดวงตา
มีพฤติกรรมมากมาย ที่เราจำเป็นต้องหลีกเลี่ยง เพราะนั่นคือความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดริ้วรอยใต้ดวงตา ดังต่อไปนี้
- พักสบายตาจากการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือการเล่นโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน
- ไม่ขยี้ตาหรือถูตาแรงๆ
- เช็ดเครื่องสำอางรอบดวงตาอย่างเบามือ
- งดการสูบบุหรี่ งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ในกรณีที่เป็นโรคภูมิแพ้ ควรรักษาโรคภูมิแพ้ก่อน เนื่องจากอาการจากโรคภูมิแพ้อาจทำให้คันและทำให้ขยี้ตาบ่อยขึ้น ส่งผลให้มีริ้วรอยใต้ตาเกิดขึ้นมาได้ง่ายๆ
ดูแลผิวรอบดวงตาอย่างล้ำลึกด้วย Collagen° – eye contour by mesoestetic
สำหรับท่านใดที่กำลังมองหาครีมบำรุงรอบดวงตาที่ตอบโจทย์ทุกปัญหาผิว เราขอแนะนำ Collagen 360° – eye contour by mesoestetic ซึ่งเป็นอายครีมที่ถูกคิดค้นออกมาเพื่อการดูแลผิวบอบบางบริเวณรอบดวงตาโดยเฉพาะ อุดมไปด้วยคอลลาเจนจากท้องทะเล ที่ช่วยในการลดเลือนริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวดูเรียบเนียน ลดรอยหมองคล้ำใต้ตา ทั้งยังช่วยลดความเหนื่อยล้ารอบดวงตา ให้ตาคู่สวยของคุณกลับมาสดใส เปล่งประกายความสดชื่นได้อย่างอีกครั้ง เราเลือกสรรส่วนประกอบสำคัญเกรดพรีเมียมมารวมไว้ในขวดเดียว ดังนี้
- Enriched marine collagen ซึ่งประกอบด้วยกรดอะมิโนที่จําเป็นสําหรับผิว โดยมีส่วนช่วยส่งเสริมใน กระบวนการคงสภาพให้ยาวนานขึ้นของคลอลาเจนที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ช่วยให้ผิวรอบดวงตาเนียนนุ่ม มีความยืดหยุ่น และรู้สึกตึงกระชับ
- Oat extract สารสกัดจากข้าวโอ๊ต ที่ช่วยบํารุงให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ทั้งยังช่วยลดเลือนริ้วรอย ทําให้ผิว ยืดหยุ่น และตึงกระชับ
- Peptide Complex*(รวมถึง Acetyl Hexapeptide-8) ช่วยลดเลือนริ้วรอย ให้ผิวรอบดวงตาดูเรียบเนียนสม่ำเสมอ
เป็นหนึ่งในไอเท็มสำคัญที่จะต้องมีติดบ้านเอาไว้ เพื่อการบำรุงในขั้นกว่าสำหรับผิวรอบดวงตาของท่านอย่างแท้จริง
“เพราะดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ” แต่การเกิดริ้วรอยรอบดวงตาได้ส่งผลต่อบุคลิภาพและทำให้ขาดความมั่นใจ เนื่องจากรอบดวงตาใสๆทั้งดำคล้ำ มีเส้น ร่องลึกเต็มไปหมด หากเกิดขึ้นแล้ว ต้องรีบทำการรักษาเพื่อแก้ไขแต่เนิ่นๆ ไม่ให้เกิดร่องลึกและขยายวงกว้างออกไปมากขึ้น พร้อมทั้งหาวิธีป้องกันและดูแลผิวรอบดวงตาอย่างถูกต้องและลดพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดริ้วรอยควบคู่กันไป และหากต้องรักษาด้วยวิธีหัตถการทางการแพทย์ ให้ขอคำแนะนำและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อจะได้รักษาอย่างตรงจุด ด้วยความปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจตามมาด้วย