“สิวที่หลัง” แม้จะอยู่ใต้ร่มผ้าที่มองไม่เห็น แต่ก็ได้สร้างความกังวลใจให้กับใครหลายคน โดยเฉพาะหนุ่มๆสาวๆ เพราะเกี่ยวข้องกับความมั่นใจโดยตรง ในเวลาที่จะต้องใส่ชุดเปิดหลังโชว์ผิว ใส่ชุดว่ายน้ำ หรือใส่สายเดี่ยว หรืออาจจะสร้างความรำคาญใจในผู้ชายที่ต้องเจอกับสิวที่แผ่นหลังแบบซ้ำๆ เป็นๆหายๆเนื่องด้วยระบบฮอร์โมนหรือการทำกิจกรรมกลางแจ้งที่เกิดความอับชื้นจนเกิดเป็นสิวได้ง่ายๆ นอกจากนั้นการเป็นสิวที่หลังอาจจะเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพอื่นๆด้วยเช่นกัน ซึ่งก่อนที่จะเลือกวิธีเพื่อทำการรักษา เราจะต้องเข้าใจถึงสาเหตุและที่มาของสิวประเภทต่างๆที่เกิดขึ้นบนแผ่นหลังเนียนๆของคุณเสียก่อน และแน่นอนว่าจะต้องอาศัยระยะเวลา แต่ถ้ารักษาด้วยวิธีการที่ถูกต้องและเข้าใจก็เป็นสิ่งที่คุ้มค่าเพื่อแผ่นหลังที่เรียบเนียนของคุณจะกลับคืนมาโดยไม่ทิ้งรอยดำ
สาเหตุของสิวที่หลัง
สิวที่หลัง (Back acne หรือ Bacne) เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งในที่นี้สามารถแบ่งสาเหตุหลักๆได้ 3 ประการคือ สาเหตุหลักและปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดสิวที่หลัง ดังต่อไปนี้
สาเหตุหลักของการเกิดสิวที่หลัง
ในการเกิดสิวที่หลัง ถ้าอธิบายด้วยหลักการทางการแพทย์แล้วก็จะเกิดขึ้นตามกลไกการเกิดสิวทั่วไป โดยมีหลายสาเหตุร่วมกัน ดังนี้
- โดยปกติที่แผ่นหลังของคนเรามีรูขุมขนอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อต่อมไขมันมีการหลั่งน้ำมันออกมาที่รูขุมขนมากขึ้น โดยมีฮอร์โมนเป็นปัจจัยกระตุ้น สามารถทำให้เกิดการอุดตันจนกลายเป็นสิวขึ้นมาได้
- เกิดจากการที่ผิวหนังชั้นนอกสุดหนาตัวและแบ่งตัวมากผิดปกติ ทำให้รูขุมขนเกิดการอุดตัน ส่งผลให้ไขมันไหลออกมาลำบาก เกิดการอุดตันขึ้นจนพองตัวออกมา มีลักษณะเป็นกระเปาะ เราเรียกลักษณะอาการนี้ว่าสิวอุดตัน และอาการเช่นนี้ก็สามารถเกิดขึ้นบนแผ่นหลังได้เช่นกัน
- เกิดจากปริมาณของแบคทีเรียที่ผิวหนังมีมากจนเกินไป การที่ผิวหนังของคนเรามีปริมารแบคทีเรียที่พอดี จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ แต่ถ้าหากว่าต่อมไขมันมีการผลิตน้ำมันมากจนเกินไป แบคทีเรียพวกนี้ก็จะกินไขมันเป็นอาหาร และทำให้มีปริมาณเพิ่มมากขึ้นเกินความจำเป็น ยิ่งถ้าบนแผนหลังที่มีความอับชื้น ยิ่งเป็นโอกาสที่แบคทีเรียจะกระจายตัวออกไปได้มากขึ้น
- ปฏิกิริยาอักเสบ ซึ่งถูกกระตุ้นให้เกิดขึ้นโดยเชื้อแบคทีเรีย ทำให้ที่แผ่นหลังเกิดเป็นสิวอักเสบขึ้นมาได้ บวกกับปัจจัยในเรื่องความอับชื้นและความสะอาดที่ผิวหนังด้วย
ถ้าจะกล่าวโดยสรุปถึงสาเหตุหลักของการเกิดสิวที่หลัง โดยส่วนใหญ่มักจะเกิดจากการสะสมของเซลล์ผิวที่ตาย ไขมัน(Sebum)ที่อยู่ภายในรูขุมขน และเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า Propionibacterium Acnes หรือ Cutibacterium Acnes ทำให้เกิดการอุดตันที่บริเวณรูขุมขน และถ้าหากว่าต่อมไขมันในร่างกายผลิตน้ำมันออกมามากจนเกินไป ไปรวมกับสิ่งสกปรกมากมายที่เกาะอยู่ตามเสื้อผ้าที่สวมใส่ ซึ่งไม่ได้ทำความสะอาดอย่างดี ก็สามารถทำให้เกิดเป็นสิวที่หลังได้เช่นกัน
ปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดสิวที่หลัง
นอกจากปัจจัยหลักข้างต้นที่ได้กล่าวไป การเกิดสิวที่หลัง ยังมีปัจจัยกระตุ้นอีกมากมายที่ทำให้เกิดสิวขึ้นมาได้ ดังต่อไปนี้
- กรรมพันธุ์
ปัญหาเรื่องสิว เป็นสิ่งที่สามารถถ่ายทอดมาทางพันธุกรรมได้ กล่าวคือ ถ้าพบประวัติของคนในครอบครัวมีปัญหาเรื่องสิวที่หลังลงไปจนถึงสะโพหรือมีผิวมัน คนในครอบครัวรุ่นต่อๆมาก็มาโอกาสเกิดสิวได้มากเช่นกัน - ระบบฮอร์โมน
การเปลี่ยนแปลงของระบบฮอร์โมน ไม่ว่าจะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กไปสู่วัยรุ่น ช่วงที่มีประจำเดือน หรือในช่วงที่กำลังตั้งครรภ์ ล้วนแต่สามารถทำให้เกิดสิวที่แผ่นหลังได้ทั้งสิ้น ซึ่งฮอร์โมนที่มีผลต่อการกำเริบของสิวที่หลัง ได้แก่ - ฮอร์โมนแอนโดรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชาย ที่สามารถพบได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง ซึ่งถ้าหากระดับของฮอร์โมนชนิดนี้สูงก็มีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดสิวที่แผ่นหลังได้โดยง่าย
- ฮฮร์โมนโปรเจสเตอโรน เป็นฮอร์โมนเพศหญิง ซึ่งมักจะมีปริมาณสูงในช่วงก่อนมีประจำเดือน ทำให้เกิดการบวมของผิว และที่สำคัญทำให้เกิดสิวอุดตันและเกิดการอักเสบของผิวได้
- การใช้ยาบางชนิด
โดยเฉพาะยาประเภทCorticosteroids สามารถทำให้เกิดสิวที่หลัง หรืออาจจะทำให้สิวมีจำนวนมากขึ้นกว่าเดิมได้ - ความเครียด
เมื่อไรที่เรารู้สึกเครียดหรือเป็นกังวล เป็นปกติที่ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนที่มีชื่อว่า Cortisol ออกมา และถ้าหากฮอร์โมนตัวนี้ไปกระตุ้นการทำงานของต่อมไขมัน ก็จะทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากกว่าปกติ และเมื่อน้ำมันไปผสมกับสิ่งสกปรกบนผิวก็สามารถทำให้เกิดสิวขึ้นได้ - เหงื่อไคลและสิ่งสกปรก
ถ้าอากาศอบอ้าว ร้อนจัดก็จะทำให้เหงื่อออกมามากกว่าปกติ และเมื่อผสมกับสิ่งสกปรกจากเสื้อผ้าที่สวมใส่หรือกรณีที่ออกกำลังกาย ทำงานกลางแจ้ง แล้วไม่ได้ทำความสะอาดร่างกายทันที ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวขึ้นได้ ไม่เพียงเท่านั้น ยังรวมไปถึงฝุ่นละออง และสิ่งสกปรกในเครื่องนอน ไม่ว่าจะเป็นผ้าห่ม หมอน มุ้ง ที่ไม่ได้ทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงผมที่ไม่ได้สระ เมื่อสัมผัสกับแผ่นหลังก็ก่อให้เกิดสิวขึ้นได้แบบไม่ต้องสงสัย - การเสียดสีและความสะอาดของเสื้อผ้าที่สวมใส่
เสื้อผ้าที่เราสวมใส่ก็สามารถทำให้เกิดสิวที่หลังได้ เพราะเสื้อผ้าเป็นส่วนที่เสียดสีกับผิวของคนเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากเนื้อผ้าไม่มีการระบายอากาศที่ดีพอก็จะทำให้เกิดความอับชื้น เนื่องจากการสะสมของเหงื่อและคราบขี้ไคลหรือสิ่งที่ตกค้างจากผลิตภัณฑ์ในการซักรีด ก็ส่งผลโดยตรงต่อการเกิดสิวได้เช่นกัน - การรับประทานอาหารบางประเภท
การรับประทานอาหารที่มีไขมัน แป้ง น้ำตาลเป็นส่วนประกอบมากจนเกินไป สามารถทำให้เกิดสิวที่หลังได้ เนื่องจากอาหารเหล่านี้จะไปอุดตันรูขุมขน ทำให้เกิดสิวในที่สุด อาหารประเภทนี้ได้แก่ ขนมปัง ขนมหวาน ชานมไข่มุก นมวัว และ ผลิตภัณฑ์จากนมวัว เช่น ชีส โยเกิร์ต ไอศครีม ไขมันทรานส์ เช่น ครีม เนย เบเกอรี่ เฟรนฟรายส์ ฯลฯ ไม่เพียงเท่านั้น ยังเกิดจากการที่ร่างกายขาดสารอาหารบางชนิด เช่น สังกะสี วิตามินเอ โปรไบโอติก เป็นต้น - ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผิว
ปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดสิวที่หลังอีกประการหนึ่งคือการทำความสะอาดผิวไม่สะอาดดีพอ ซึ่งจะไปกระตุ้นให้เกิดการอุดตันและการอักเสบของสิวที่หลัง ไม่ว่าจะเป็นสบู่ ครีมอาบน้ำ ดังนั้นควรเลือก
ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผิวในสูตรอ่อนโยน ไม่ทำร้ายผิว และไม่มีน้ำมันแบบ Oil Free
ประเภทของสิวที่หลัง
สิวที่หลังสามารถเกิดขึ้นได้หลายประเภท ตั้งแต่ผดเล็กๆไปจนถึงสิวอักเสบ นูนแดงขนาดใหญ่ สามารถแบ่งออกได้ตามลักษณะการอักเสบ 2 ประเภท ดังนี้
- สิวชนิดที่ไม่อักเสบ
ลักษณะของสิวชนิดที่ไม่อักเสบคือไม่มีอาการบวมแดงของผิว ถ้าไม่ปล่อยทิ้งและรักษาได้อย่างถูกวิธี ก็จะไม่ทิ้งรอยดำ รอยแดงไว้บนผิวอย่างแน่นอน สิวประเภทนี้แบ่งออกเป็นอีก 2 ลักษณะย่อยคือ - สิวหัวขาว (Whiteheads) หรือสิวอุดตันหัวปิด (Closed Comedones)
เป็นสิวที่มีลักษณะเป็นตุ่มขนาดเล็ก หัวขาว หัวสิวไม่โผล่ออกมา ยังอยู่ภายในรูขุมขน มองไม่เห็นจากภายนอก แต่เมื่อสัมผัสจะรู้สึกว่าเป็นตุ่มนูนแข็งๆใต้ผิวหนัง มักเกิดจากการอุดตันของเชื้อแบคทีเรีย ต่อมไขมัน และเคราตินเกาะตัวกันภายในรูขุมขน สิวประเภทนี้ถ้าหากปล่อยทิ้งเอาไว้มีโอกาสพัฒนาเป็นสิวอักเสบได้ เบื้องต้นสามารถรักษาได้ด้วยการยารักษาสิว เพื่อให้หัวสิวอ่อนตัว หลวมและสามารถหลุดออกมาจากโพรงรูขุมขนได้ - สิวหัวดำ (Blackheads) หรือสิวอุดตันหัวเปิด (Open Comedone)
ลักษณะของสิวประเภทนี้คือเป็นตุ่มขนาดเล็ก แข็ง มีจุดสีดำหรือสีน้ำตาลอยู่ข้างใน สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งหัวสิวดังกล่าวเกิดจากการที่ไขมันไปทำปฏิกิริยากับอากาศ มักเกิดจากการอุดตันในบริเวณชั้นผิวตื้นๆของเคราตินและไขมัน (Sebum) สามารถกดออกได้ ซึ่งต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อป้องกันการอักเสบ ติดเชื้อ หรือรอยแผลเป็นที่จะตามมา - สิวชนิดอักเสบ
สิวอักเสบ เป็นสิวอีกหนึ่งประเภทที่สามารถเกิดขึ้นที่แผ่นหลังของเราได้ โดยแบ่งย่อยตามลักษณะต่างๆของสิวดังต่อไปนี้ - สิวตุ่มแดง (Papule)
เป็นลักษณะของสิวที่มีอาการบวมนูนแดงเล็กน้อย เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเจ็บ พบในผู้ที่เคยเป็นสิวอุดตันมาก่อน และสามารถถูกกระตุ้นให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย เกิดการอักเสบและเป็นรูขุมขนอักเสบจากเชื้อรา หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า สิวเชื้อรา ซึ่งมักจะพบในผู้ชายที่มักเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย ทำกิจกรรมกลางแจ้ง แล้วเกิดความอับชื้นที่แผ่นหลัง เกิดเป็นสิวขึ้นมาได้ และเมื่อมีการเสียดสีของเสื้อผ้าร่วมด้วย ก็อาจจะทำให้ปวด แสบหรือร้อนที่ผิวหนังบริเวณนั้นตามมา - สิวหัวหนอง (Pustule)
มีลักษณะเป็นตุ่ม บวม แดงบริเวณฐานของสิว มีจุดหนองสีเหลืองๆหรือสีขาวตรงกลาง เมื่อสัมผัสจะมีเจ็บเล็กน้อย เกิดจากการที่เคยเป็นสิวอุดตันมาก่อน แต่เนื่องจากมีปัจจัยกระตุ้นจึงทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย หรืออาจเป็นรูขุมขนอักเสบจากเชื้อราก็ได้ ทำให้มีหนองขึ้นมาใต้ผิวหนัง ซึ่งไม่ควรกดหรือบีบหนองออกด้วยตัวเอง เพราะอาจจะทำให้ติดเชื้อและอักเสบมากขึ้นกว่าเดิมหรืออาจะเกิดรอยสิวที่หลังได้ - สิวตุ่มแดงอักเสบขนาดใหญ่ (Nodule)
สิวประเภทนี้มีลักษณะเป็นก้อนขนาดใหญ่ บวม แดง เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเจ็บปวด มีการอักเสบของสิวมากกว่าสิวทั้งสองชนิดข้างต้น เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียและลุกลามไปยังชั้นผิวหนังที่ลึกกว่าปกติ ทำให้มีการอักเสบที่รุนแรงมากกว่า และมีหัวสิวข้างในอยู่หลายหัว และเกิดการอักเสบหรือติดเชื้อพร้อมๆกัน ในกรณีที่เกิดที่แผ่นหลัง มักจะมีอาการเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัดและตลอดเวลา โดยเฉพาะเวลาที่ต้องใส่เสื้อผ้า - สิวหัวช้าง (Nodulocystic ance หรือ Sever Nodular acne)
นับเป็นสิวที่มีความรุนแรงมากที่สุดและเจ็บปวดมากเมื่อสัมผัสหรือใส่เสื้อผ้าในกรณีที่เป็นสิวที่หลัง ลักษณะของสิวประเภทนี้จะเป็นตุ่มใหญ่ เมื่อสัมผัสจะรู้สึกอ่อนนุ่มเหมือนมีของเหลวอยู่ข้างใน ไม่มีหัวและหนองข้างใน บางครั้งมีสีเดียวกับสีผิว หรืออาจมีสีแดง ชมพู เนื่องจากการอักเสบอย่างรุนแรงของชั้นผิวหนังแท้ ซึ่งอยู่ลึกลงไป รักษายากกว่าสิวประเภทอื่นๆ และถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอาจทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ได้
ปัจจัยที่ทำให้สิวที่หลังมีความรุนแรงมากขึ้น
ความรุนแรงของสิวที่แผ่นหลัง เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยดังนี้
- ปริมาณสิวที่เป็น
แน่นอนว่าปริมาณของสิวที่ขึ้นบนแผ่นหลังมีมาก ก็จะยิ่งรักษาได้ยากกว่าคนที่มีสิวขึ้นน้อย ทั้งยังต้องใช้เวลาในการรักษาที่นานกว่าด้วยเช่นกัน เพื่อให้ปริมาณสิวลดน้อยลงจนหายไปในที่สุด ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือของเราด้วยในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างๆที่เอื้อต่อการรักษาให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
- ลักษณะของสิวที่ขึ้น
ในการรักษาสิวที่แผ่นหลัง จะต้องหมั่นสังเกตลักษณะของสิวที่เกิดขึ้นว่าเป็นสิวประเภทใด ทั้งขนาดและความลึกของผิว ซึ่งถ้าสิวมีขนาดใหญ่และหัวสิวอยู่ลึกลงไปในชั้นใต้ผิวก็จะใช้ระยะเวลาในการรักษาที่นานกว่า เช่นเดียวกับการรักษาสิวอักเสบ ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลานานกว่าสิวอุดตัน เนื่องจากสิวอักเสบ มักจะทิ้งรอยแผลเป็น รอยดำ รอยแดงเอาไว้ให้รักษาต่อจากนี้ด้วย
การรักษาสิวที่หลัง
ในกระบวนการรักษาสิวที่หลังสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการรักษาด้วยยา การทำหัตถการทางการแพทย์หรือการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติ แต่จะรักษาด้วยวิธีการใดก็ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของสิวและสภาพผิวของแต่ละคน
การใช้ยารักษาสิวที่หลัง
การใช้ยารักษาสิวที่หลัง มักใช้กับสิวที่มีระดับความรุนแรงเล็กน้อยไปจนถึงระดับปานกลาง ซึ่งยาที่ใช้สำหรับรักษาสิวที่หลัง มีดังนี้
- Benzoyl Peroxide
ยา Benzoyl Peroxide หรือที่รู้จักกันในชื่อของ Benzac เป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย และสามารถหาซื้อได้ง่าย เป็นยาที่ช่วยลดจำนวนของเชื้อแบคทีเรียได้ดีเทียบเท่ากับยาปฏิชีวนะ ทำให้เชื้อแบคทีเรียไม่สามารถพัฒนาตัวเองให้ทนต่อฤทธิ์ของยาชนิดนี้ได้ จึงไม่มีปัญหาเรื่องการดื้อยา - Salicylic Acid
เป็นกรดธรรมชาติที่มีฤทธิ์ช่วยลดการอุดตันของผิวและสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ดี ไม่เพียงเท่านั้น ยังสามารถช่วยผลัดเซลล์ผิวได้ด้วย ซึ่งในกระบวนผลัดเซลล์ผิวนั้นทำให้ Keratinocyte เกาะตัวกันน้อยลงและลดการเกิดสิวได้ - Sulfur
Sulfer มักใช้รักษาร่วมกับยาประเภทอื่นๆ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยดูดซับความมันและสิ่งสกปรกบนผิวหน้าได้ มักใช้ในการรักษาสิวอักเสบ - Retinoid
เรตินอยด์ (Retinoid) จัดเป็นยาที่อยู่ในกลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ มีฤทธิ์ช่วยลดการอุดตันและยับยั้งการอักเสบของสิวได้ สามารถใช้รักษาได้ทั้งสิวอุดตันและสิวอักเสบ แต่มีผลข้างเคียงคือ จะทำให้ผิวแห้ง ระคายเคืองได้ง่ายผิวบาง ไวต่อแสง จึงแนะนำให้ทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน - Doxycycline / Erythromycin
ยาทั้งสองชนิดนี้ จัดอยู่ในกลุ่มของยาปฏิชีวนะ ที่สามารถช่วยลดปริมาณของแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว แต่ไม่แนะนำให้ใช้ยาในปริมาณมากและนานเกินไป เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการดื้อยาได้ - Isotretinoin
เป็นยาที่นิยมใช้ในการควบคุมความมัน ลดการอักเสบของรูขุมขน และต้านเชื้อแบคทีเรีย ใช้รักษาสิวที่มีการอักเสบรุนแรงปานกลางจนถึงรุนแรงมาก และจากผลการสำรวจประมาณ 85% ของผู้ที่ใช้ยาชนิดนี้พบว่า สิวลดลงแต่ให้ผลข้างเคียงที่รุนแรง ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาทุกครั้ง - ยาคุมกำเนิด
ยาคุมกำเนิด เป็นยาที่มีผลต่อระดับฮอร์โมนโดยตรง นิยมใช้รักษาสิวในกลุ่มผู้หญิง มีคุณสมบัติที่ช่วยลดปริมาณของฮอร์โมน Androgen และ Testosterone และออกฤทธิ์ต้านฮอร์โมนเพศชาย ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดสิว แต่เพื่อความปลอดภัย ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ทุกครั้ง
การรักษาสิวที่หลังด้วยหัตถการทางการแพทย์
นอกจากการใช้ยาแล้ว ในบางกรณีอาจจะต้องการทำหัตถการทางการแพทย์ร่วมด้วย เพื่อประสิทธิภาพในการรักษาและให้ผลลัพธ์ที่ดีมากยิ่งขึ้น
- การรักษาสิวที่หลังด้วยเลเซอร์
การใช้เลเซอร์รักษาสิวและรอยสิวที่หลัง เป็นอีกหนึ่งวิธีการที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและน่าพึงพอใจ แต่มีราคาค่อนข้างสูง โดยประเภทของเลเซอร์ที่ใช้ในการรักษาสิวที่หลัง มีดังต่อไปนี้ - เลเซอร์แสงสีแดง สีน้ำเงิน หรือแสงอินฟราเรด
เลเซอร์ประเภทนี้สามารถใช้ในการรักษาสิวได้ แต่มีข้อจำกัดคือไม่สามารถรักษาสิวหัวขาว (Whiteheads) หรือ สิวหัวดำ (Blackheads)ได้ - Photopneumatic therapy
เลเซอร์ประเภทนี้สามารถช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน และยังช่วยรักษาสิวหัวขาว (Whiteheads) และ สิวหัวดำ (Blackheads) ได้ แต่ไม่สามารถรักษาสิวหัวช้างที่มีการอักเสบรุนแรง (Nodulocystic)ได้ - Photodynamic therapy
เลเซอร์ประเภทนี้มีคุณสมบัติในการทำลายเชื้อแบคทีเรีย acne ที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว และยังสามารถรักษาสิวที่มีอาการรุนแรงและรอยสิวได้ แต่มีราคาค่อนข้างแพง และสร้างความระคายเคืองต่อผิวหนังได้มาก
ในการรักษาสิวด้วยเลเซอร์ ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อเลือกเลเซอร์ให้เหมาะกับสภาพปัญหาผิวของแต่ละคนและเลือกทำกับคลินิกที่ได้มาตรฐานโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อความปลอดภัย ไม่เกิดรอยแผลเป็นหรือรอยไหม้ตามมา
- การผลัดเซลล์ผิว
เป็นการผลัดเซลล์ผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA และ Salicylic acid ที่สามารถช่วยละลายการอุดตันของรูขุมขน ทำให้สิวที่หลังแห้งไวขึ้น กดออกมาได้ง่ายขึ้น ทั้งยังช่วยลดรอยดำรอยแดงจากสิวได้ด้วย - การกดสิวที่หลังโดยผู้เชี่ยวชาญ
การกดสิวที่หลัง ควรทำกับผู้เชี่ยวชาญและคลินิกที่ได้คุณภาพมาตรฐานเท่านั้น เพราะจะไม่ก่อให้เกิดการอักเสบ บวมหรือทิ้งรอยแผลเป็นให้รักษาตามมา - รักษาสิวที่แผ่นหลังด้วยการฉายแสง LED
แสง LED เป็นแสงเลเซอร์ที่มีความเข้มข้นต่ำ สามารถนำมาใช้รักษาสิวที่แผ่นหลังได้ โดยมีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องระบุว่าสามารถรักษาได้ลึกถึงระดับเซลล์ผิว ทำให้เซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบลดลง จึงทำให้สิวอักเสบที่มีการบวมแดงลดลงได้ด้วย นอกจากนั้นยังช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้มีการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำให้แผลจากสิวหายเร็วขึ้น ซึ่งต้องทำกับแพทย์เฉพาะทางด้านเลเซอร์เท่านั้น - IPL
เป็นหนึ่งในลำแสงที่มีลักษณะคล้ายเลเซอร์ ช่วยในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย acne ที่ทำให้เกิดสิวอักเสบ ทำให้หัวสิวแห้งลง ช่วยลดเม็ดสี ทำให้รอยดำจางลงได้ และช่วยลดเส้นเลือดฝอย ทำให้รอยแดงจางลง ใช้ในการรักษาสิวอักเสบที่หลัง เพราะสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บจากการเสียดสีของสิวที่หลังกับเสื้อผ้าได้เป็นอย่างดี
การรักษาสิวที่หลังด้วยวิธีธรรมชาติ
นอกการจากการรักษาสิวที่หลังด้วยยาและหัตถการทางการแพทย์แล้ว ยังสามารถรักษาได้ด้วยวิธีการทางธรรมชาติได้หลายวิธี ดังนี้
- ดินสอพองผสมมะนาว
ให้นำดินสอพองผสมกับมะนาว แล้วนำมาพอกไว้ให้ทั่วแผ่นหลัง ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออก ดินสอพองจะช่วยลดการอักเสบของผิว ทำให้สิวยุบและแห้งอย่างรวดเร็ว ส่วนมะนาวจะช่วยผลัดเซลล์ผิวให้ใสขึ้น ช่วยให้ริ้วรอยจางลงได้ ให้ทำเพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง - ว่านหางจระเข้
ให้นำเนื้อวุ่นของว่านหางจระเข้มาทาบริเวณที่เป็นสิว ทิ้งเอาไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างออก สามารถช่วยลดการอักเสบของสิวได้ นอกจากนั้นยังช่วยลดรอยแผลจากสิวและจุดด่างดำได้เป็นอย่างดี - เกลือขัดผิว
ให้นำเกลือที่ใช้ในการสครับผิว มาสครับแผ่นหลังเบาๆ เพื่อช่วยทำความสะอาดรูขุมขน ทั้งยังช่วยลดสิวและทำให้ผิวขาวเนียนใสขึ้น - น้ำส้มสายชูหมักแอ๊ปเปิ้ล หรือแอ๊ปเปิ้ลไซเดอร์
ให้นำสำลีชุบน้ำแอ๊ปเปิ้ลไซเดอร์ เช็ดบริเวณสิวบนแผ่นหลังทุกวันก่อนนอน จะช่วยฆ่าเชื้อ ลดการอักเสบของสิว และทำให้จุดด่างดำจางลงได้ - มะขามเปียกผสมขมิ้น
ให้นำมะขามเปียกผสมขมิ้น ใส่น้ำเปล่าเล็กน้อย แล้วนำมาทาให้ทั่วแผ่นหลังที่เป็นสิว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออก มะขามเปียกจะช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวและช่วยป้องกันการเกิดสิว ทำให้ผิวขาวผ่องขึ้น ส่วนขมิ้นมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียซึ่งเป็นต้นเหตุของสิวบนแผ่นหลัง
การป้องกันไม่ให้เกิดสิวที่หลัง
สิวที่หลังสามารถป้องกันได้ด้วยการระมัดระวังไม่ให้เกิดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดสิว หรือไม่ทำให้อาการรุนแรงมากขึ้นจนยากต่อการรักษา ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวัน ดังนี้
- หมั่นทำความสะอาดแผ่นหลัง
บริเวณแผ่นหลัง เป็นบริเวณที่มีต่อมไขมันมากกว่าส่วนอื่นๆของร่างกาย มีการผลิตน้ำมันออกมาได้มากกว่าบริเวณอื่น ดังนั้นจึงควรทำความสะอาดแผ่นหลังอยู่เสมอ เพื่อชำระล้างน้ำมันส่วนเกิน อันเป็นสาเหตุของการเกิดสิว - หลีกเลี่ยงยาบางชนิดที่ทำให้เกิดสิว
ยาบางชนิด สามารถทำให้เกิดการระคายเคืองและทำให้ฮอร์โมนเพศชายเพิ่มมากขึ้นเช่น Androgens ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้เกิดสิว - ไม่บีบ แกะ แคะ
เมื่อเกิดสิวที่หลัง ต้องหลีกเลี่ยงการบีบ แกะ แคะ กดสิวที่หลังด้วยตัวเอง เพราะเป็นการกระตุ้นให้สิวมีการอักเสบที่รุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากที่มือของเรามีสิ่งสกปรกมากมายเกาะติดอยู่ เมื่อสัมผัสกับสิวที่แผ่นหลัง ทำให้สิวลุกลามได้มากขึ้น อาจยากต่อการรักษา - เลี่ยงการใส่เสื้อผ้าที่รัดรูปมากเกินไป
เนื่องจากอาจจะเพิ่มโอกาสให้เสื้อผ้ามีการเสียดสีกับผิวหนังที่เป็นสิวมากขึ้น จนทำให้เกิดการระคายเคืองและอักเสบตามมา ควรเลือกเสื้อผ้าที่โปร่ง สวมใส่สบาย อากาศถ่ายเทได้สะดวก สำหรับคนที่ชอบออกกำลังกาย เพื่อลดการสะสมของสิ่งสกปรกหรือเชื้อแบคทีเรีย ควรอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายทันที - เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่เหมาะสม
ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวกายที่ปราศจากน้ำมันและไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน นอกจากนั้นพวกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเส้นผมและโลชั่นควรเลือกสูตรที่อ่อนโยน ไม่ทำร้ายผิว - รักษาความสะอาดของสิ่งของที่ใช้
ไม่ว่าจะเป็นเครื่องนอนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม ถือเป็นแหล่งรวมฝุ่นละออง เหงื่อ และสิ่งสกปรกที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวที่หลังได้ ดังนั้นควรหมั่นทำความสะอาด - เลือกรับประทานอาหาร
ควรลดปริมาณการรับประทานอาหารที่สามารถทำให้เกิดสิว เช่น ของมัน ของทอด ของหวาน นม เนยต่างๆ แต่ให้ลองเปลี่ยนมารับประทานผัก ผลไม้ นมถั่วเหลือง เป็นต้น ทั้งยังมีงานวิจัยยืนยันว่าการบริโภคอาหารที่เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดอย่างคาร์โบไฮเดรต ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวหรือทำให้สิวรุนแรงมากขึ้นได้ - ขัดผิวที่หลังอย่างอ่อนโยน
การขัดผิวอย่างอ่อนโยน โดยใช้กรดซาลิซิลิก จะช่วยขจัดสิ่งสกปรกและน้ำมันบนผิว รวมไปถึงลดจำนวนของเซลล์ผิวที่ตายแล้วที่มักไปอุดตันรูขุมขนให้ออกไป แต่ไม่ควรทำแรงหรือบ่อยจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง
“สิวที่หลัง” สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัยและสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง แต่สามารถลดโอกาสในการเกิดสิวที่หลังได้โดยการป้องกันด้วยวิธีการต่างๆพร้อมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง ที่สำคัญควรมีการสังเกตลักษณะของสิวที่เกิดขึ้น เพื่อจะได้รักษาได้อย่างถูกจุดด้วยวิธีการที่ถูกต้องและเหมาะสม โดยไม่ทิ้งรอยดำหรือแผลเป็นให้หนักใจ และถ้าอาการรุนแรงขึ้น ควรรีบพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการรักษาต่อไป เพื่อที่คุณจะสามารถอวดแผ่นหลังเรียบเนียน ไร้จุดด่างดำได้แบบไร้กังวล