5 ปัญหา หากคุณไม่ทาครีมกันแดด

แสงแดด หนึ่งในสิ่งสำคัญที่ส่งผลต่อการดำรงชีพของสิ่งมีชีวิต เช่น ใช้ในกระบวนการสังเคราะห์แสงของพืชเพื่อใช้ในการสร้างชีวมวล มีส่วนช่วยในการผลิตวิตามินดีในมนุษย์ ใช้เป็นแหล่งสร้างพลังงาน ใช้ให้แสงสว่างเพื่อประโยชน์ต่างๆอีกมากมาย และแน่นอนว่าตามกระบวนการชีวภาพ ทุกสิ่งจะต้องมีความสมดุล มีทั้งส่วนที่เป็นประโยชน์และส่วนที่เป็นโทษหรือผลเสียเช่นกัน ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ว่าทำไมเราต้องทำความรู้จักกับแสงแดด องค์ประกอบ และผลเสีย ว่าแสงแดดทำร้ายผิวหนังของเราได้อย่างไร ?

               หากพูดถึงแสงแดดและวิธีการปกป้องผิวแล้ว หลายๆคนคงจะรู้จักหรือคุ้นเคยกับเครื่องสำอางชนิดหนึ่ง ซึ่งแพร่หลายมาก พบได้แทบทุกร้านค้า นั่นก็คือ ครีมกันแดด ซึ่งครีมกันแดดเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรณรงค์เป็นอย่างมากว่ามีความสำคัญต่อการปกป้องผิว และควรต้องใช้ ในขณะเดียวกันครีมกันแดด ก็เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ใครหลายๆคนละเลย ความสำคัญไป โดยเฉพาะหนุ่มๆทั้งหลาย อาจจะไม่ได้ใส่ใจการทาครีมกันแดดมากนักเท่าสาวๆ และนอกเหนือจากเรื่องการละเลยการทาครีมกันแดดแล้ว ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลเสียได้นั่นก็คือการใช้ครีมกันแดดที่ผิดประเภทและไม่ถูกวิธี หรือ ไม่เพียงพอนั่นเอง วันนี้เราจะไปทำความรู้จักกับโลกของแสงแดด และปัญหาของการละเลยการทาครีมกันแดด รวมทั้งเคล็ดลับการเลือกซื้อและการใช้งานครีมกันแดดแบบที่ถูกต้องกัน

แสงแดดคืออะไร ?

แสงแดดหรือแสงอาทิตย์ เป็นพลังงานรูปแบบหนึ่ง ที่เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน (Nuclear fusion) บนดวงอาทิตย์  เกิดจากการหลอมรวมตัวกันของอะตอมธาตุไฮโดรเจน กลายเป็นอะตอมของธาตุฮีเลียม ซึ่งในการเกิดปฏิกิริยานี้ จะให้พลังงานมหาศาล และพลังงานรูปหนึ่งที่เกิดขึ้นนี้จะแผ่รังสีในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มายังโลกของเรา ที่เราพอสังเกตเห็นได้ในรูปแบบของความร้อน และแสง ที่เราเรียกกันว่า แสงแดด หรือแสงอาทิตย์ นั่นเอง โดยในแสงแดดจะประกอบไปด้วยรังสีและแสงหลายชนิด แบ่งออกเป็น

  • แสงที่มองเห็น (Visible light) มีพลังงานต่ำแต่ถ้าได้รับเป็นเวลานานก็ทำให้ผิวคลำเสีย กระตุ้นให้ฝ้าเข้มขึ้น หรือผิวเสื่อมจากแสงแดดได้
  • แสงที่มองไม่เห็น (Invisible Light) เช่น อัลตราไวโอเลต (Ultraviolet light ;UV) ที่เราต่างคุ้นหูกันดี ซึ่งเป็นรังสีที่มาพร้อมกับแสงแดด และมีอันตราย ควรให้ความสำคัญสูง
  • แสงอินฟราเรด (Infrared) หรือแสงที่ให้ความร้อน มีพลังงานต่ำกว่าแสงที่ให้ความสว่าง ดังนั้น จึงมีพลังงานต่ำที่สุด โดย Infrared A ที่มาพร้อมกับแสงแดด เป็นคลื่นแสงที่ทำให้เกิดผิวแก่ก่อนวัย (photoaging) ย่อยสลายคอลลาเจน (collagen breakdown) และเกิดรอยเหี่ยวย่นของผิวหนัง เพราะสามารถกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระได้ แต่ต้องใช้ปริมาณสูงมาก

รังสี UV มีกี่แบบ

รังสียูวีมีด้วยกัน 3 รูปแบบ คือ อัลตราไวโอเลตเอ (UVA), อัลตราไวโอเลตบี (UVB) และรังสีอัลตราไวโอเลตซี (UVC)

  • รังสียูวีเอ (UVA) คือ รังสีอัลตราไวโอเลตที่ยาวที่สุด ทะลุไปถึงชั้นผิวหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้ได้ แต่หากได้รับรังสี UVA มากๆ จะทำให้สีผิวคล้ำ ขาดความสดใส เกิดอนุมูลอิสระในผิวหนัง ทำลายความยืดหยุ่นของเซลล์ ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น เกิดริ้วรอยก่อนวัย แถมรังสียูวีเอที่มากับแสงแดดนั้น ยังสามารถทะลุกระจกเข้ามาทำร้ายชั้นผิวได้อีกด้วย
  • รังสียูวีบี (UVB) คือ รังสีอัลตราไวโอเลตที่มีความยาวคลื่นรองลงมา จะถูกกั้นโดยชั้นบรรยากาศบางส่วน และลงมาถึงผิวโลกประมาณร้อยละ 0.1 ของแสงแดดทั้งหมด ไม่สามารถทะลุสู่ชั้นผิวหนังที่ลึกได้เท่ากับรังสี UVA แต่ก็มีผลทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น เกิดอาการแสบร้อน แดง และไหม้เกรียม ทำให้รู้สึกแสบผิวและเกิดรอยดำจากแดดได้ โดยเฉพาะช่วงเวลาตั้งแต่ 10.00-14.00 น. รังสีนี้จะมีความแรงสูงสุด
  • รังสียูวีซี (UVC) เป็นรังสีที่มีช่วงความยาวคลื่นสั้นที่สุด เดิมทีโอโซนจะกรองรังสีนี้ไว้ได้ทั้งหมด แต่ปัจจุบันเนื่องจากมนุษย์ก่อมลพิษจนไปทำลายชั้นโอโซนให้บางลง รังสี UVC จากแสงแดดจึงทะลุชั้นโอโซนมายังพื้นโลกได้เพิ่มขึ้น

สรุป ความแตกต่างของรังสี UVA และรังสี UVB

หลายคนอาจจะเริ่มสงสัยว่าจริงๆแล้ว รังสียูวีเอ (UVA) และ รังสียูวีเอ (UVB) แตกต่างกันอย่างไร เราสามารถแยกได้อย่างไรบ้าง เพราะทั้งคู่ต่างมาพร้อมกันในแสงแดด มองก็ไม่เห็นรูปร่าง สัมผัสก็ไม่ได้ และนี่คือหลักเกณฑ์ที่ใช้แยกประเภทของรังสีทั้ง 2 ประเภทนี้

รังสี UVA ในแสงแดด :

  • รังสี UVA เป็นรังสีที่มีความยาว 320-400 นาโนเมตร มีพลังงานต่ำกว่า รังสี UVB สามารถทะลุเข้าถึงชั้นผิวหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้ได้
  • รังสี UVA เป็นรังสีที่มีความทะลุทะลวงสูง สามารถทะลุผ่านชั้นเมฆและหมอกควันได้ไม่จำกัด และที่สำคัญคือทะลุผ่านกระจกได้ ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้กำแพงกระจกบนอาคารส่วนไหนก็ตาม
  • รังสี UVA มีอยู่ตลอดทั้งวัน แต่ไม่มีความสามารถในการเผาไหม้

รังสี UVB ในแสงแดด :

  • รังสี UVB เป็นรังสีที่มีความยาว 290-320 นาโนเมตร มีพลังงานสูงกว่า UVA สามารถทะลุเข้าถึงผิวหนังชั้นกำพร้าได้เท่านั้น
  • รังสี UVB เป็นรังสีที่ไม่สามารถทะลุเข้าผ่านกระจกบนอาคารได้ มีความสามารถในการทะลุทะลวงต่ำ
  • รังสี UVB จะเข้มสูงสุดในช่วง 10.00-16.00 น.และมีความสามารถในการเผาไหม้

รังสี UV ทำร้ายผิวอย่างไร ?

  • รังสียูวีเอ (UVA) สามารถทะลุไปถึงชั้นผิวหนังกำพร้า และชั้นหนังแท้ได้ ในระยะยาวเชื่อกันว่าหากได้รับรังสี UVA มากๆ จะทำให้เกิดอนุมูลอิสระในผิวหนัง ทำลายความยืดหยุ่นของเซลล์ ส่งผลให้ผิวหนังเหี่ยวย่น เกิดริ้วรอยก่อนวัย สีผิวคล้ำเข้ม เป็นฝ้า กระ จุดด่างดำ ขาดความสดใส รวมทั้งใบหน้าเหี่ยว มีรอยตีนกาขึ้นก่อนวัยอันควร
  • รังสียูวีบี (UVB) ไม่สามารถทะลุสู่ชั้นผิวหนังที่ลึกได้ แต่สามารถทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น เกิดอาการแสบร้อน แดง และไหม้เกรียม หรือภาวะผิวไหม้แดด เป็นรอยคล้ำดำบางบริเวณที่ถูกอาบรังสีชนิดมากเกินไปและอาจส่งผล DNA ใต้หนังกำพร้าแปรสภาพเป็นเซลล์มะเร็งผิวหนังในอนาคต
  • รังสียูวีซี (UVC) อาจจะพบเจอได้น้อย แต่ในปัจจุบันนี้เราพบว่า รังสี UVC ก็สามารถทะลุชั้นโอโซนมายังพื้นโลกได้มากขึ้น โดยนอกเหนือจากธรรมชาติแล้ว รังสี UVC อาจจะเกิดจากการผลิตของมนุษย์ได้ เช่น เครื่องมือฆ่าเชื้อโรค เป็นต้น โดยรังสีชนิดนี้จะส่งผลให้ เกิดผิวหนังอักเสบ ผื่นแดง ผิวไหม้ มีการระคายเคืองเกิดขึ้น และในระยะยาวอาจจะเป็นมะเร็งผิวหนังได้เช่นเดียวกัน

และทั้งหมดนี้คือ องค์ประกอบของแสงแดด และภัยร้ายจากแสงแดดที่ทำลายผิวพรรณ ซึ่งจากคำแนะนำโดยแพทย์ผิวหนัง ระบุว่า ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วง 10.00 น. ถึง 16.00 น. ซึ่งเป็นช่างที่มีความเข้มข้นของรังสี UV สูง รวมทั้งการพกร่ม สวมใส่เสื้อผ้าที่มิดชิด หากต้องออกแดด และที่สำคัญคือ ต้องมีการทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอและถูกต้อง เพื่อป้องกันปัญหาผิวที่อาจเกิดจากแสงแดดได้ แต่ หากเราลืมทาหรือไม่ใส่ใจในการทาครีมกันแดดแล้ว จะเกิดผลเสียอะไรบ้าง ?

อันตรายและผลเสีย จากการละเลยการทาครีมกันแดด

ฝ้า จุดด่างดำ จากการไม่ทาครีมกันแดด – ฝ้า จุดด่างดำ ถือเป็นปัญหาใหญ่สำหรับปัญหาผิวหน้า เพราะจะส่งผลโดยตรงต่อความมั่นใจ ฝ้าอาจเกิดจากรังสี UVA ที่มาพร้อมกับแสงแดดเข้าไปทำร้ายผิวหน้าถึงภายใน เมื่อผิวหน้าขาดการป้องกันที่มากพอ ไม่มีตัวช่วย เช่น ครีมกันแดด รังสี UV จากแสงแดด จะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ที่สร้างเม็ดสีให้มีการทำงานมากกว่าปกติ ผลิตเม็ดสีเมลานินเพิ่ม ซึ่งส่งผลให้สีผิวของเราคล้ำขึ้น เห็นจุดด่างดำชัดเจน มีฝ้าปรากฎบนใบหน้านั่นเรานั่นเอง

ริ้วรอย หน้าแก่ก่อนวัย จากการไม่ทาครีมกันแดด – ไม่ใช่แค่กาลเวลาที่ส่งผลต่อริ้วรอยบนใบหน้าของเรา แต่แสงแดดและรังสี UV ทั้ง UVA และ UVB ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้หน้าดูแก่และมีริ้วรอยได้เช่นเดียวกัน ลองสังเกตง่าย ๆ ตรงผิวหลังมือของเรา หรือผิวส่วนที่โดนแสงแดดประจำ จะหยาบกร้านและเหี่ยวง่ายกว่าผิวใต้ร่มผ้า นั่นเพราะรังสี UV ทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินที่ช่วยเรื่องความกระชับผิว ผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้น ดังนั้นหากโดนแสงแดดมาก ๆ และไม่ได้ทากันแดดเลยก็จะทำให้ผิวของเราหย่อนคล้อย มีริ้วรอย และ ผิวแก่ก่อนวัยได้นั่นเอง

ผิวไหม้ อักเสบ บวม แดง จากการไม่ทาครีมกันแดด – นอกจากปัญหาผิวที่เกิดจากรังสี UVA ในแสงแดดแล้ว คู่หูอย่าง UVB ก็ร้ายกาจไม่แพ้กัน เพราะรังสีชนิดนี้ทำให้เกิดความร้อนและการเผาไหม้ หากปล่อยให้ผิวสัมผัสแสงแดดเป็นเวลานาน ผิวจะเกิดอาการแสบร้อน บวมแดง หนักเข้าก็เกิดผิวไหม้และหลุดลอกเป็นแผ่นได้ ดังนั้นการทาครีมกันแดดจึงเปรียบเสมือนการสร้างเกราะป้องกัน ไม่ให้ผิวหนังโดนทำร้าย เพราะเมื่อเซลล์ผิวถูกทำลายแล้ว บอกเลยว่าเป็นเรื่องยากถ้าอยากให้กลับมาสู่สภาพเดิม และต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูมากพอสมควร

ผิวคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ จากการไม่ทาครีมกันแดด – หากเราโดนแสงแดดมากเป็นเวลานาน ๆ โดยที่ผิวไร้การปกป้องจากครีมกันแดด จะมีผลทำให้ผิวของเราโดนทำร้ายจากแสงแดด สามารถสังเกตเห็นได้ง่าย ๆ ว่าผิวของเราจะมีความคล้ำลงอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากผิวหนังของเราต้องทำการปกป้องตนเอง ด้วยการช่วยกันผลิตเม็ดสีเมลานินเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้สีผิวของเราคล้ำขึ้น เห็นจุดด่างดำชัดเจน และสิ่งที่ตามมาติด ๆ ก็คือสีผิวไม่สม่ำเสมอกันด้วย ใครไม่กลัวดำก็ต้องคิดดี ๆ หากจะออกไปสัมผัสแสงแดดโดยไม่ทาครีมกันแดด

เสี่ยงมะเร็งผิวหนัง หากไม่ทาครีมกันแดด – อีกหนึ่งปัญหาร้ายแรงที่ไม่ควรมองข้าม นั่นคือ การโดนแสงแดดสะสมเป็นระยะเวลานาน ๆ โดยไม่มีการป้องกันจากครีมกันแดด  รังสี UV จะเข้าทำลาย DNA (Genotoxic) จนทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้ เพราะในแสงแดดมีสารกระตุ้นมะเร็งอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อได้รับแสงแดดจัดโดยตรงเป็นเวลานาน ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งผิวหนังมากขึ้น ดังนั้นการทาครีมกันแดดก็เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งผิวหนังได้อีกทางหนึ่ง

แต่ละปัญหา อันตรายที่อาจเกิดกับผิวเราได้ หากสัมผัสแสงแดด โดยปราศจากการป้องกัน น่ากลัวไม่ใช่น้อยเลย เมื่อเราทราบแล้ว กควรต้องใส่ใจการทาครีมกันแดดสม่ำเสมอ และไม่เพียงแค่นั้น ต้องเลือกให้ถูกต้องและทาครีมกันแดดอย่างถูกวิธี

เคล็ดลับการเลือกซื้อ และ การใช้งาน ครีมกันแดดที่ถูกต้อง

ครีมกันแดดมี 3 ประเภท คือ

  • ครีมกันแดดที่ใช้คุณลักษณะทางเคมี (Chemical Sunscreen) เน้นการดูดซับรังสียูวี การปกป้องจะดีกว่าครีมกันแดดที่ใช้คุณลักษณะทางกายภาพ แต่อาจเสี่ยงต่อการแพ้บนผิวหนังได้
  • ครีมกันแดดที่ใช้คุณลักษณะทางกายภาพ (Physical Sunscreen) ใช้คุณสมบัติทางฟิสิกส์ของสารออกฤทธิ์ สามารถสะท้อนรังสียูวี ทั้ง UVA และ UVB ได้ด้วยตัวอนุภาคของมันเอง
  • ครีมกันแดดที่ใช้คุณลักษณะผสมผสาน (Chemical-Physical Sunscreen) ใช้ทั้ง 2 แบบผสมผสานกันในสูตรการผลิต ทั้งแบบเคมีและแบบกายภาพ

การเลือกซื้อครีมกันแดด ตามที่แพทย์ผิวหนังแนะนำ ให้เลือกซื้อโดยการพิจารณา 2 ส่วนนั่นคือ ค่า SPF และค่า PA โดยค่า SPF (Sun Protection Factor) เป็นการบ่งบอกว่าครีมกันแดดนั้นป้องกัน UVB ได้กี่เท่า แสดงความยาวนานของการป้องกัน UVB ก่อนที่จะทำให้ผิวหนังเริ่มเกิดอาการแดงร้อน โดยแพทย์แนะนำ ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่าป้องกัน SPF อย่างน้อย 50+ และค่า PA (Protection Grade of UVA) เป็นการบ่งบอกว่าครีมกันแดดนั้นป้องกัน UVA ได้ดีเท่าไร โดยมีระดับระบุตั้งแต่ +, ++, +++ และ ++++ (หนึ่งบวก, สองบวก, สามบวก, สี่บวก) หมายถึงครีมกันแดดนั้นมีประสิทธิภาพในการป้องกัน UVA ได้ 2-4 เท่า, 4-8 เท่า, 8-16 เท่า และ มากกว่า 16 เท่า ตามลำดับ โดยแพทย์แนะนำว่าควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่าป้องกัน PA++++ (สี่บวก)

วิธีการทาครีมกันแดดที่ถูกต้อง คือ การบีบครีมกันแดด ความยาวไม่น้อยกว่า  2 ข้อนิ้ว (ประมาณ 2 มิลลิกรัมหรือ 2 ซีซี) สำหรับครีมกันแดดชนิดเนื้อครีม แต่หากเป็นครีมกันแดดชนิดน้ำหรือสเปรย์ อาจจะต้องใช้ปริมาณมากกว่านี้ และควรทาครีมกันแดดก่อนออกแดดประมาณ 15-30 นาที หลังจากที่ออกแดดแล้ว ควรทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากวันนั้นแสงแดดจัดมาก

Mesoprotech ครีมกันแดดจากสเปน พร้อมด้วยค่าปกป้องสูง

ไม่ควรพลาดกับสุดยอดครีมกันแดดจาก mesoestetic เวชสำอางแบรนด์ดังจากสเปน เพื่อการปกป้องผิวสวยได้ทุกองศา ท้าลุยทุกแสงแดด ด้วย mesoprotech melan 130 pigment control ครีมกันแดดเนื้อสีเบจ ที่ช่วยปกป้องผิวจากแสงและยูวีตัวร้าย สูตรช่วยลดเลือน และป้องกันการเกิดจุดด่างดำ เนื้อสัมผัสที่บางเบา เกลี่ยง่าย และยังช่วยปกปิดรอยหมองคล้ำอย่างเป็นธรรมชาติ ใครที่มีปัญหาฝ้า จุดด่างดำบนใบหน้า ไม่ควรพลาด

ด้วยคุณสมบัติ

  • ครีมกันแดด ชนิด Hybrid sunscreen
  • ค่าการปกป้องผิวสูง (SPF50+ PA++++  PPD67)
  • ครอบคลุมทุกสเปรตรัมของแสง ที่ทำร้ายผิว (Spectrum UVA,UVB,HEV,IR)
  • ส่วนผสมพิเศษ เพื่อการดูแลปกป้องผิว mesoprotech complex, Azeloglicina, Sunflower seed oil
  • เหมาะกับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผิวที่มีปัญหา ฝ้า กระ จุดด่างดำ
  • กันน้ำ ปราศจากพาราเบน และ ผ่านการทดสอบโดยผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง

เมื่อรู้อย่างนี้แล้วว่าแสงแดดเป็นภัยร้ายหากเผยผิวโดยปราศจากการปกป้อง เราจึงควรใส่ใจการทาครีมกันแดดให้มากขึ้น ไม่ละเลย เพราะครีมกันแดดสามารถปกป้องผิวเราจากแสงแดดได้ โดยเฉพาะประเทศไทย ที่มีสภาวะของแสงแดดที่ค่อนข้างเข้มจัดตลอดทั้งปี เราจึงควรให้ความสำคัญและปกป้องผิวพรรณของเราด้วยการทาครีมกันแดดสม่ำเสมอและทาอย่างถูกต้อง เพื่อลดโอกาสในเกิดปัญหา ผิวเสีย รอยดำคล้ำ ฝ้ากระ รอยตีนกา รวมทั้งปัญหาผิวแก่ก่อนวัยอันควร พกครีมกันแดดไว้ อุ่นใจกว่า