“บลูเบอร์รี่” ( Blueberry) หนึ่งในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ที่หลายคนรู้จักกันดี ซึ่งนิยมนำมารับประทานแบบผลสด หรือสามารถแปรรูปเป็นอาหาร ขนม และเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพต่างๆได้ นอกจากนั้น ยังถูกนับเป็นผลไม้ที่ให้คุณค่าทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและรักษาโรคมากมาย เนื่องจากอุดมไปด้วยสารอาหาร วิตามิน แร่ธาตุต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและมีฤทธิ์ในการรักษา ไม่เพียงเท่านั้น บลูเบอร์รี่ยังถูกนำมาสกัดเข้มข้นเพื่อใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เพื่อการฟื้นบำรุงผิวให้ดูกระจ่างใสพร้อมช่วยลดเลือนริ้วรอยก่อนวัยได้อีกด้วย
รู้จักบลูเบอร์รี่ (blueberry)
บลูเบอร์รี่ (blueberry) จัดเป็นพืชที่อยู่ในตระกูลเบอร์รี่ เป็นพืชล้มลุก หรือไม้ยืนต้นก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละสายพันธุ์ โดยมีถิ่นกำเนิดมาจากทวีปอเมริกา โดยเฉพาะในประเทศแคนาดาและสหรัฐอเมริกา แต่ต่อมาในช่วง ค.ศ.1930 ได้มีการแพร่พันธุ์ออกไปยังประเทศต่างๆที่อยู่ในทวีปยุโรป ในส่วนของแถบเอเชีย พบว่ามีการปลูกบลูเบอร์รี่ในเขตประเทศอบอุ่นและเขตหนาว เช่น ในประเทศจีน ญี่ปุ่นและเกาหลี เป็นต้น โดยบลูเบอร์รี่ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Vaccinium spp. มีชื่อสามัญคือ Blueberry ในวงศ์ ERICACEAE ชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Cyanococcus อยู่ในสกุล Vaccinium โดยมีส่วนประกอบต่างๆดังต่อไปนี้
- ลำต้น
บลูเบอร์รี่ มีลำต้นหลายขนาดด้วยกัน ตั้งแต่10 เซนติเมตร จนถึง 10 เมตร มีทั้งประเภทที่ผลัดใบและไม่ผลัดใบ - ใบ
ลักษณะของใบบลูเบอร์รี่ ส่วนใหญ่มี 2 ลักษณะคือเป็นรูปไข่และรูปหอก กว้างประมาณ 5-3.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 1-8 เซนติเมตร - ดอก
ดอกของบลูเบอร์รี่เป็นรูประฆังสีขาว สีชมพู หรือสีแดง แล้วแต่สายพันธุ์ โดยดอกจะออกเป็นช่อในบริเวณซอกใบ ซอกกิ่ง และปลายยอด ก้านช่อดอกยาว ใน 1 ช่อ มีดอกย่อยข้างในอีก 5-10 ดอก โดยดอกย่อยดังกล่าว มีลักษณะรูปทรงระฆังคว่ำ มีกลีบเลี้ยงสีเขียว - ผล
ผลของบลูเบอร์รี่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5-16 มิลลิเมตร ที่ปลายผลมีวงแหวนเล็ก ๆ คล้ายกับมุงกุฎ ผลอ่อนจะมีสีเขียวจางๆ เมื่อผลแก่ขึ้นก็จะมีสีแดงม่วง และเมื่อสุกผลของบลูเบอร์รี่ก็จะมีสีคราม และมีรสชาติหวานหรือหวานอมเปรี้ยวเมื่อสุกเต็มที่ ส่วนเมล็ดที่ฝังอยู่ในเนื้อจะมีลักษณะแข็ง ทรงรีเล็กๆสีน้ำตาล
การขยายพันธุ์บลูเบอร์รี่
ในการขยายพันธุ์บลูเบอร์รี่ จะใช้วิธีเพาะเมล็ดและการปักชำ เป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ดีในเขตหนาว ถึงแม้จะไม่เกิดผลดีมากนักในประเทศที่อยู่ในเขตร้อน แต่ทุกวันนี้ก็ได้มีการผสมสายพันธุ์ใหม่ๆให้สามารถปลูกได้ในเขตร้อนบ้างแล้ว อย่างเช่นสายพันธุ์ Southern Highbush ซึ่งเป็นพันธุ์ผสมระหว่าง Vaccinium Corymbosum กับบลูเบอร์รี่ท้องถิ่นของฟลอริด้า V.darrowii มีลักษณะเด่นคือ เป็นสายพันธุ์ที่ไม่ต้องการความเย็นของอากาศมากในการเจริญเติบโต สามารถปลูกในเขตร้อนได้
คุณค่าทางโภชนาการของบลูเบอร์รี่
บลูเบอร์รี่ ถือเป็นผลไม้ที่ให้คุณประโยชน์และคุณค่ามหาศาลกับร่างกาย มีผลทั้งในแง่ของการรักษาและการดูแลเรื่องผิวพรรณ จึงถูกนำมาใช้ในวงการเครื่องสำอางอยู่ไม่น้อย ในบลูเบอร์รี่สดปริมาณ 100 กรัม จะมีน้ำเป็นส่วนประกอบ 84% และให้พลังงาน 57 แคลอรี่ นอกจากนั้น ผลไม้จิ๋วชนิดนี้ยังอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ฟอสฟอรัส และไฟเบอร์ และนี่คือคุณค่าทางโภชนาการอื่นๆของบลูเบอร์รี่ที่ให้ประโยชน์ดีๆกับร่างกายอย่างน่าอัศจรรย์
- พลังงาน 57 กิโลแคลอรี่
- คาร์โบไฮเดรต 49 กรัม
- น้ำตาล 96 กรัม
- ใยอาหาร 4 กรัม
- ไขมัน 33 กรัม
- โปรตีน 74 กรัม
- น้ำ 21 กรัม
- วิตามินเอ 54 หน่วยสากล
- วิตามินบี 1 ปริมาณ 037 มิลลิกรัม
- วิตามินบี 2 ปริมาณ 041 มิลลิกรัม
- วิตามินบี 3 ปริมาณ 418 มิลลิกรัม
- วิตามินบี 6 ปริมาณ 052 มิลลิกรัม
- วิตามินบี 9 ปริมาณ 6 ไมโครกรัม
- วิตามินซี ปริมาณ7 มิลลิกรัม
- วิตามินอี ปริมาณ57 มิลลิกรัม
- วิตามินเค ปริมาณ 3 ไมโครกรัม
- แคลเซี่ยม 6 มิลลิกรัม
- ธาตุเหล็ก 28 มิลลิกรัม
- แมกนีเซียม 6 มิลลิกรัม
- ฟอสฟอรัส 12 มิลลิกรัม
- โพแทสเซียม 77 มิลลิกรัม
- โซเดียม 1 มิลลิกรัม
- สังกะสี 16 มิลลิกรัม
ประโยชน์ของบลูเบอร์รี่
โดยทั่วไป บลูเบอร์รี่มักถูกนำไปประกอบอาหารมากมายหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็นบลูเบอร์รี่ชีสเค้ก บลูเบอร์รี่นมสด บลูเบอร์รี่มัฟฟิน เป็นต้น นอกจากนั้น บลูเบอร์รี่ ยังมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายที่มีส่วนช่วยในการบำรุงรักษา และในปัจจุบัน ได้มีการนำสารสกัดจากบลูเบอร์รี่มาใช้ในวงการความงามและวงการเครื่องสำอางกันอย่างแพร่หลายอีกด้วย
ประโยชน์ทางการรักษาโรค
เนื่องจากในปัจจุบัน ได้มีผลจากการวิจัยหลายฉบับ ที่ระบุว่าในบลูเบอร์รี่ มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และได้ถูกนำมาใช้ทางด้านการแพทย์ เพื่อการรักษาและฟื้นบำรุงดังต่อไปนี้
- ช่วยลดความดันโลหิต
ในภาวะที่ความดันเลือดสูงกว่าระดับปกติ ที่มีค่าความดันตั้งแต่ 140/90 มิลลิเมตรปรอท อาจนำมาซึ่งภาวะแทรกซ้อนและโรคภัยไข้เจ็บต่างๆตามมาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ เบาหวาน เส้นเลือดในสมองตีบ แตกหรืออุดตัน ทั้งยังเสี่ยงต่อการเป็นอัมพฤกษ์และอัมพาตตามมาด้วย ซึ่งแน่นอนว่าผู้ป่วยอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการบริโภคอาหารร่วมด้วย โดยหันมารับประทานอาหารประเภทผักและผลไม้ที่มีกากใยมากขึ้น รวมถึงการรับประทานบลูเบอร์รี่ ซึ่งมีผลการวิจัยว่ามีส่วนช่วยลดความดันได้ดี โดยมีผลรับรองจากงานวิจัย ที่ได้ทดสอบกับผู้หญิงที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือนในช่วงก่อนเกิดภาวะความดันโลหิตสูงและช่วงความดันโลหิตสูงระยะที่ 1 ให้รับประทานผงบลูเบอร์รี่หรือบลูเบอร์รี่แช่แข็งเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ พบว่าสามารถช่วยลดระดับความดันโลหิตและลดการแข็งตัวของหลอดเลือดแดงได้ ซึ่งสารอาหารจากบลูเบอร์รี่ จะช่วยเพิ่มปริมาณการผลิตสารไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide) ให้กับร่างกาย ช่วยขยายหลอดเลือดและเส้นเลือด ส่งผลให้เลือดไหลเวียนได้ดีมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกันกับการทดลองที่ให้ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนและผู้ชายรวม 25 คน รับประทานบลูเบอร์รี่ติดต่อกัน 6 สัปดาห์ พบว่าสามารถช่วยลดระดับความดันโลหิตได้ดีขึ้นด้วย แต่อย่างไรก็ตาม งานวิจัยข้างต้น เป็นเพียงการศึกษากับคนกลุ่มเล็ก ดังนั้นจึงควรมีการทดลองในกลุ่มที่หลากหลายและนำผลลัพธ์ที่ได้มาใช้ในการรักษาผู้ป่วยในโรคนี้อย่างจริงจัง ก็จะทำให้ผลการวิจัยมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
- ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เป็นภาวะที่ผนังหลอดเลือดแดงตีบลง ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจได้น้อยลงหรือไม่มีเลย ส่งผลให้การทำงานของกล้ามเนื้อมีความผิดปกติ ซึ่งอาจแสดงออกมาด้วยการเจ็บหน้าอกหรืออาจจะรุนแรงถึงขั้นกล้ามเนื้อหัวใจตาย เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่สามารถทำให้อาการทวีความรุนแรงขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะเป็น การสูบบุหรี่ ความเครียดสะสม เป็นต้น ทั้งนี้ได้มีการศึกษาในหนูทดลอง โดยให้รับประทานอาหารที่มีบลูเบอร์รี่ แล้วพบว่าอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้ และนอกจากนั้น ได้มีการติดตามผลการรับประทานอาหารของผู้หญิงวัยกลางคนจำนวน 93,600 คนในทุก ๆ 4 ปี เป็นระยะเวลา 18 ปี พบว่าผู้หญิงที่รับประทานอาหารประเภทผัก ผลไม้ที่มีส่วนประกอบของสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งเป็นสารจำพวกฟลาโวนอยด์ที่มีสีแดงอมม่วง พบได้มากในบลูเบอร์รี่ มีประโยชน์คือช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง ช่วยในการไหลเวียนของเลือด ทั้งยังช่วยให้การทำงานของกระบวนการเมตาบอลิซึ่มของเซลล์เรตินาดีขึ้นได้ด้วย ผู้ที่รับประทานเป็นประจำ มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้น้อยกว่ากลุ่มอื่น แม้จะมีผลการศึกษาในการทดลองกับสัตว์ แต่อาจจะยังไม่เพียงพอถึงประสิทธิภาพของการรับประทานบลูเบอร์รี่เพื่อยังผลในการรักษาหรือลดความเสี่ยงในการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดในมนุษย์ได้ ดังนั้น จึงควรมีการวิจัยและศึกษาเพิ่มเติม เพื่อนำผลลัพธ์ที่ได้มาใช้ในการพัฒนาเพื่อนำประโยชน์จากสารสกัดบลุเบอร์รี่มาใช้ในการรักษาโรคทางการแพทย์ต่อไปอย่างเกิดผล
- ช่วยในการบำรุงสมอง
เนื่องจากสารบลูเบอร์รี่มีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย และหนึ่งในนั้นคือสารฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ที่มีงานวิจัยบางส่วนพบว่ามีสรรพคุณในการบำรุงหัวใจและสมองได้ เนื่องจากเมื่อคนเราอายุมากขึ้นจนถึงวัยชรา การทำงานของอวัยวะหรือระบบต่างๆในร่างกายก็จะเริ่มเสื่อมถอยลงตามลำดับ รวมถึงระบบสมองด้วย ซึ่งเราสามารถพบโรคที่เกี่ยวข้องกับความจำหรือโรคสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ได้มากในกลุ่มผู้สูงอายุ ได้มีการวิจัยโดยใช้แบบสอบถามเพื่อสำรวจความเสื่อมถอยในการทำงานของระบบสมองหลังการรับประทานสารฟลาโวนอยด์และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ อย่างสตรอเบอร์รี่และบลูเบอร์รี่ ในกลุ่มผู้หญิงที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป จำนวน 16,010 คน เป็นเวลา 4 ปี พบว่าการรับประทานอาหารที่มีสารสารฟลาโวนอยด์จำนวนมาก อาจช่วยลดความเสื่อมถอยของการทำงานในระบบสมองของผู้สูงอายุได้ ส่วนอีกหนึ่งงานวิจัยก็ได้ทำการทดลองกับผู้สูงอายุที่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องความจำในระยะเริ่มต้น โดยให้ดื่มน้ำบลูเบอร์รี่ เป็นเวลาต่อเนื่องกัน12 สัปดาห์ แล้วพบว่า อาจมีส่วนช่วยบำรุงการทำงานในระบบความจำของผู้สูงอายุได้ด้วย นอกจากนั้น ยังมีรายงานว่า ผศ.โรเบิร์ต คริโคเรียน แห่งศูนย์สุขภาพ มหาวิทยาลัยซินซินเนติในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ทดลองให้ผู้สูงอายุที่มีอาการหลงๆลืมๆ ให้ดื่มน้ำคั้นสดของบลูเบอร์รี่วันละ 2 แก้ว เป็นระยะเวลา 3 เดือนติดต่อกัน แล้วพบว่าผู้ป่วยเหล่านั้นมีความทรงจำที่ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม อาจจะต้องรอผลการวิจัยเพิ่มเติม เพื่อที่จะเป็นข้อมูลและหลักฐานที่ชัดเจนมากขึ้น และสามารถนำไปต่อยอดในการพัฒนาหรือทำผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่จะช่วยเรื่องระบบสมองต่อไป
- ช่วยป้องกันหวัด
โดยสรรพคุณของผลไม้ในตระกูลเบอร์รี่ รวมถึงบลูเบอร์รี่ เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง จึงสามารถช่วยป้องกันโรคหวัดได้ เมื่อรับประทานอย่างต่อเนื่องและเป็นประจำ
- ช่วยลดการระคายเคืองในระบบทางเดินปัสสาวะ รวมถึง
ในระบบปัสสาวะ มีแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่เรียกว่าอีโคไลที่ติดอยู่ที่ผนังท่อทางเดินปัสสาวะ ที่สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อ ส่งผลให้เกิดการอักเสบและรู้สึกแสบในขณะปัสสาวะ ในบลูเบอร์รี่มีสารชนิดหนึ่งที่ช่วยให้แบคทีเรียชนิดนี้หยุดการเจริญเติบโต พร้อมทั้งช่วยล้างแบคทีเรียออกจากระบบทางเดินปัสสาวะ ทั้งยังช่วยป้องกันนิ่วในกระเพาะปัสสาวะได้ด้วยเช่นกัน
- ช่วยล้างสารพิษในร่างกาย
ทำให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า อีกทั้งบลูเบอร์รี่ ยังเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด ที่สามารถช่วยซ่อมแซมเซลล์ต่างๆในร่างกายให้ทำงานได้ดีขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น ยังช่วยรักษาบาดแผล ลดการเป็นโรคเลือดออกตามไรฟันได้ด้วย
- ช่วยลดอาการบาดเจ็บในร่างกาย
การออกกำลังกายอย่างหนักหน่วง อาจส่งผลต่อระบบกล้ามเนื้อและทำให้เกิดอาการอ่อนแรงขึ้นได้ เนื่องจากมีการอักเสบและมีสารอนุมูลอิสระมากจนเกินไป บลูเบอร์รี่ในรูปแบบของอาหารเสริม สามารถช่วยลดความเสียหายของกล้ามเนื้อได้ถึงระดับโมเลกุล ทั้งยังช่วยอาการของโรคเก๊าท์และอาการปวดตามข้อได้ด้วย
- ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง
ชีวิตเราในแต่ละวัน ล้วนเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับความเสียหายของ DNA อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากความเสียหายดังกล่าวจะทำให้เราดูแก่ลงแล้ว ยังสามารถก่อให้เกิดโรคร้ายอย่างมะเร็งได้ด้วย เนื่องจากบลูเบอร์รี่ มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงสามารถลดความเสียหายของ DNA ที่เกิดจากสารอนุมูลอิสระได้ จากข้อมูลของ USDA หรือ สถาบันวิจัยโภชนาการทางด้านสรีระศาสตร์ ได้ระบุว่าบลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุด ซึ่งผลจากการทดสอบค่าที่เรียกว่า “ORAC” (Oxygen Radical Absorbance Capacity) พบว่าผลสดของลูเบอร์รี่จะมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าผลไม้สดและผักชนิดอื่น และสามารถป้องกันความเสี่ยงของโรคหรืออาการที่เกิดจากความเสียหายของ DNA อย่างมะเร็งได้ นอกจากนั้นในบลูเบอร์รี่ ยังมีสารที่เรียกว่า Pterostilbene ที่สามารถช่วยรักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และตับ พร้อมทั้งยังมีกรด Ellagicที่ทำงานควบคู่กับสารแอนโทไซยานิน และสารต้านอนุมูลอิสระ ที่สามารถช่วยป้องกันมะเร็ง ซึ่งจากผลการวิจัยของ Journal of Agricultural and Food Chemistry พบว่าบลุเบอร์รี่มีสารที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ และช่วยฆ่าเซลล์มะเร็งได้ด้วย
- ช่วยเรื่องระบบการมองเห็น
ด้วยเหตุที่บลูเบอร์รี่มีสารแอนโทไซยานิน ซึ่งสามารถช่วยป้องกันอาการอ่อนล้าจากการใช้สายตาอย่างหนัก ให้สามารถทำงานได้ดีขึ้นโดยเฉพาะในที่มืด นอกจากนั้น ยังสามารถช่วยป้องกันต้อกระจก ต้อหิน ต้อลม ช่วยลดความดันในลูกตา ทั้งยังช่วยลดความเจ็บปวดจากการบวมในลูกตาได้ดีอีกด้วย โดยมีข้อมูลจาก Archives of Ophthalmology ได้ระบุเอาไว้ว่า หากรับประทานบลูเบอร์รี่วันละ 3 ถ้วย จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคตาในวัยผู้ใหญ่ได้
- ช่วยการทำงานของระบบภายในร่างกาย
เรียกได้ว่า สารแอนโทไซยาโนไซด์ (Anthocyanosides) ที่อยู่ในบลูเบอร์รี่นั้น เป็นสารที่มีคุณสมบัติเทียบเท่ากับสารไบโอฟลาโวนอยด์ ที่ช่วยทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง และช่วยต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนั้นแล้ว ยังช่วยในเรื่องการทำงานของไต พร้อมทั้งช่วยรักษาผู้ที่มีเส้นเลือดฝอยเปราะในอวัยวะที่ทำหน้าที่กรองของเสีย นอกจากนั้นแล้วสารแอนโทไซยาโนไซด์ (Anthocyanosides) ยังเป็นสารชนิดหนึ่งของสารที่เรียกว่าไมร์ทิลลิน (Myrtliiln) ซึ่งเป็นสารสีน้ำเงิน มีคุณสมบัติเด่นในเรื่องการต้านเชื้อแบคทีเรียในร่างกาย
- ช่วยระบบการย่อยอาหาร
การรับประทานบลุเบอร์รี่เป็นประจำ สามารถช่วยในเรื่องระบบการย่อยอาหาร ป้องกันโรคท้องผูกและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เนื่องจากบลุเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง ทำให้ระบบการขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น โดยเฉพาะท่านที่ทานเนื้อสัตว์เป็นประจำ อาจทำให้เกิดอาการจุกเสียด แนะนำให้ทานเครื่องดื่มที่มีบลูเบอร์รี่เป็นส่วนประกอบหลัก เช่นสมูทตี้ สารที่อยู่ในบลูเบอร์รี่ที่เรียกว่า Actinide จะช่วยย่อยโปรตีน ทำให้ระบบการย่อยและการขับถ่ายดีขึ้นได้
- ช่วยลดไขมัน ลดคอเลสเตอรอล
เนื่องจากบลูเบอร์รี่ เป็นผลไม้ที่มีแคลลอรี่ต่ำ จึงไม่ส่งผลให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้นนัก นอกจากนั้นยังมีเส้นใยอาหารที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็วและอิ่มนานกว่าเดิม ช่วยในการลดน้ำหนักของสาวๆได้เป็นอย่างดี ไม่เพียงเท่านั้น บลูเบอร์รี่ ยังสามารถช่วยลดไขมันหน้าท้องและลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้ ซึ่งได้มีการทดลอง โดยการผสมผงบลูเบอร์รี่ลงไปในอาหารให้หนูกิน เป็นเวลา 90 วัน พบว่าไขมันหน้าท้องของหนูลดลง แถมระดับไตรกลีเซอไรด์ยังลดลงอีกด้วย นอกจากนั้นแล้ว ในบลูเบอร์รี่ยังมีสารเพคตินที่ช่วยลดระดับของคอเลสเตอรอล ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วยเช่นกัน
- ช่วยต้านเบาหวาน
บลูเบอร์รี่ เป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลธรรมชาติในระดับปานกลางและมีสารที่เรียกว่า Anthocyanins ซึ่งมีผลดีต่อความไวต่ออินซูลินและการเผาผลาญกลูโคสในร่างกาย มีฤทธิ์ต้านเบาหวาน ซึ่งพบสารนี้ทั้งในน้ำบลูเบอร์รี่สดและในสารสกัดบลูเบอร์รี่ จากการศึกษาในกลุ่มคนอ้วน 32 คน ที่มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน โดยให้คนกลุ่มนี้ลองดื่มสมูทตี้บลูเบอร์รี่สองแก้วต่อวัน พบว่าความไวต่ออินซูลินดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งมีผลช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเมตาบอลิคอและเบาหวานได้เป็นอย่างดี
- การรักษาด้านอื่นๆ
ส่วนคุณสมบัติอื่นๆของบลูเบอร์รี่ ที่มีผลต่อการป้องกันและการรักษาความผิดปกติต่างๆของร่างกาย มีดังนี้ ป้องกันโรคไทฟอยด์ ระบบหายใจผิดปกติ โรคเริม แผลในปาก อาจมีส่วนช่วยเสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศของผู้ชายสูงวัย ช่วยป้องกันเส้นเลือดขอด ลดอาการบวม ช่วยป้องกันการเสื่อมของร่างกายและชะลอความแก่ชรา เป็นต้น
ประโยชน์ทางด้านความงาม
ไม่เพียงสรรพคุณที่มีส่วนช่วยในการป้องกันและรักษาโรคเท่านั้น แต่บลูเบอร์รี่ ยังเป็นเสมือนอาหารเสริมชั้นดีสำหรับท่านที่ใส่ใจเรื่องโภชนาการและอาหารผิวอีกด้วย และด้วยเหตุนี้ จึงได้ถูกนำมาใช้ในวงการความงามและใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางหลายประเภท เพื่อฟื้นฟูบำรุงผิวให้มีสุขภาพดี ซึ่งเป็นที่ใฝ่ฝันของใครหลายๆคน
- ช่วยต่อสู้กับริ้วรอยก่อนวัย
เป็นเรื่องปกติ ที่เมื่ออายุมากขึ้น ย่อมทำให้ความสามารถในการต่อสู้กับสารอนุมูลอิสระของร่างกายลดน้อยลง ทำให้ระดับอนุมูลอิสระในร่างกายสูงขึ้น จนสามารถทำลายเซลล์ในร่างกายของเราได้ โดยมีปัจจัยกระตุ้นทั้งรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จากดวงอาทิตย์ ฝุ่นละอองและมลภาวะต่างๆ รวมถึงพฤติกรรมการรับประทานอาหารไม่ถูกต้อง ก็สามารถทำให้เกิดอนุมูลอิสระให้กับผิวได้ นั่นจึงทำให้ผิวอ่อนแอและเกิดปัญหาผิวมากมายตามมา ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอยหรือผิวหย่อนคล้อย เป็นต้น ในบลูเบอร์รี่ มีสารประกอบจากพืชที่มีชื่อเรียกว่าแอนโธไซยานินสูง ซึ่งมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระเข้มข้นที่สูง มีสรรพคุณที่ช่วยลดการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้เป็นอย่างดี
- ช่วยปรับการไหลเวียนของเลือดทำให้ผิวสุขภาพดีขึ้น
บลูเบอร์รี่ มีส่วนช่วยให้สุขภาพของหัวใจและการไหลเวียนโลหิตดีขึ้น โดยจะกระตุ้นให้หัวใจสูบฉีดเลือดออกไปทั่วร่างกายเพื่อส่งออกซิเจนและสารอาหารไปยังเซลล์ต่างๆ ไม่เพียงเท่านั้น ยังสามารถกำจัดของเสียออกจากเซลล์ผิวของเราได้อีกด้วย เพราะในแต่ละวัน ผิวของคนเราจะต้องเผชิญกับมลภาวะและสิ่งแวดล้อมภายนอกที่ทำให้เกิดความเสื่อมถอยของเซลล์ผิว ด้วยเหตุนี้ผิวจึงต้องการสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายและออกซิเจนเพื่อการรักษาและซ่อมแซมผิวให้ดีขึ้น ดังนั้นการรับประทานบลูเบอร์รี่ในปริมาณ 1 ถ้วย (148 กรัม) ต่อวัน จึงเป็นการช่วยให้ร่างกายสามารถส่งสารอาหารและออกซิเจนไปยังผิวหนังและเซลล์อื่นๆทั่วร่างกาย เป็นการช่วยผลัดเซลล์ให้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ผิวได้รับการฟื้นฟูและสุขภาพดีขึ้นตามมา ส่งผลให้ผิวสดใส เปล่งปลั่งและมีเลือดฝาด
- ช่วยเพิ่มคอลลาเจนให้กับผิว
เนื่องจากในบลูเบอร์รี่ มีสารแอนโธไซยานินในปริมาณสูง ซึ่งมีส่วนช่วยในการสังเคราะห์คอลลาเจน ทั้งยังช่วยลดการสลายตัวของคอลลาเจน พร้อมทั้งช่วยเพิ่มการผลิตคอลลาเจน โดยมีการทดลองในหนู พบว่าหนูที่กินอาหารที่มีส่วนผสมของบลูเบอร์รี่สูง มีการผลิตคอลลาเจนที่กระดูกมากกว่า และนอกจากนั้นยังพบว่าบลูเบอร์รี่ 1 ถ้วย(148 กรัม) ให้ปริมาณวิตามินซีถึง16%และ19% ของความต้องการต่อวันสำหรับผู้ชายและผู้หญิงตามลำดับ ซึ่งในส่วนของวิตามินซีนั้นสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้กับเซลล์ผิว ทำให้ผิวแข็งแรงและมีสุขภาพดี ไม่เพียงเท่านั้น ยังทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติที่ช่วยปกป้องคอลลาเจนในผิวของคนเราได้อีกด้วย ทำให้ผิวเต่งตึง อ่อนกว่าวัย ช่วยลดการอักเสบของผิว ป้องกันไม่ให้ผิวเกิดการสูญเสียน้ำ จึงทำให้ผิวดูชุ่มชื้นอยู่เสมอ
- ช่วยยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีผิว (Inhibition of Melanin Formation)
ช่วยลดเลือนความหมองคล้ำ ทำให้ฝ้ากระ จุดด่างดำแลดูจางลง ส่งผลให้ผิวขาวกระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
ด้วยเหตุนี้ สารสกัดจากบลูเบอร์รี่ จึงนิยมนำมาประยุกต์ใช้ในเครื่องสำอางประเภทดูแลผิวหรือสกินแคร์ (skin care) ไม่ว่าจะเป็นครีม โลชั่น ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มผิวขาวกระจ่างใส (Whitening) และผลิตภัณฑ์กลุ่มต้านอนุมูลอิสระ (Anti – Oxidation) ที่สามารถช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยนั่นเอง couperend cream จาก mesoestetic เป็นครีมบำรุงสำหรับผิวที่แพ้ง่าย ซึ่งมีอาการแดง อักเสบ จากเส้นเลือดที่เปราะบาง ผิวขาดความแข็งแรง มีรอยแดงเป็นปื้น รวมถึงผิวที่มีแนวโน้มของการเป็นโรคผิวหนังอักเสบโรซาเซียด้วย โดยมีส่วนผสมที่สำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อการฟื้นบำรุงผิว ไม่ว่าจะเป็น
- Prebiotic (heptapeptide-4)
เป็นเปปไทด์ ที่เป็นอาหารของแบคทีเรียชนิดดี สามารถช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์บนผิวหนัง พร้อมทั้งช่วยปรับปรุงระบบการป้องกันของผิวหนังและช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงมากขึ้น - Tetrapeptide 2
มีคุณสมบัติสำคัญในการเป็นสารแอนติออกซิแดนซ์ ที่ช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระที่เกิดจากสภาพแวดล้อมภายนอก แสงแดด รังสียูวี และมลภาวะต่างๆด้วย - Melilotus extract
สารสกัดเมลิโลตัส ซึ่งเป็นพืชในตระกูลถั่ว มีส่วนช่วยในการปลอบประโลมผิว พร้อมทั้งช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวอีกด้วย - Ruscus ectract(Ruscus aculeatus root extract)
เป็นสารสกัดจากรากของต้น Butcher’s Broom ที่สามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและช่วยปกป้องผิวจากสภาวะแวดล้อม ที่ทำให้ผิวมีอาการแดง - Hesperidina
ช่วยในการปลอบประโลมผิว ช่วยลดการระคายเคืองของผิว - Aescin
สารสกัดจากเกาลัดม้ายุโรป ช่วยลดอาการแดงที่เกิดจากการอักเสบของผิว - Extract of Centella asiatica
ช่วยฟื้นบำรุงผิวที่อ่อนแอให้กลับมานุ่มชุ่มชื้น พร้อมทั้งช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะภายนอก ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง - Naringenin chaloone
ประกอบไปด้วยสารโพลีฟีนอลที่พบตามธรรมชาติในเปลือกส้มและผิวมะเขือเทศ ที่มีสรรพคุณช่วยปลอบประโลมผิวและปกป้องผิวจากมลภาวะที่ทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองและแพ้ง่าย - Squalane
เป็นสารอาหารบำรุงผิว ช่วยให้ผิวเรียบเนียน แลดูสุขภาพดี พร้อมทั้งช่วยฟื้นบำรุงเกราะปกป้องผิวให้แข็งแรงมากขึ้น - Panthenol(pro-vitamin B5)
ช่วยปลอบประโลมผิว และช่วยปกป้องผิวจากอาการระคายเคือง - Myrtillus extract หรือ blueberry ectract
เป็นสารสกัดจากบลูเบอร์รี่ที่เรารู้จักกันดี อุดมไปด้วยสารแอนติออกซิแดนซ์ ช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระที่ทำให้เซลล์ผิวเสื่อมหรือหย่อนคล้อยลง นอกจากนั้นในสารสกัดบลูเบอร์รี่ ยังมีวิตามินซี ที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินให้กับเซลล์ผิว ทำให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื้น อ่อนกว่าวัยและกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ
ไม่เพียงส่วนผสมเกรดเอ ระดับพรีเมี่ยมเท่านั้น แต่couperend cream ยังได้ผ่านการทดสอบโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง รับรองได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยน เหมาะกับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผิวบอบบางหรือแพ้ง่าย โดยไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคือง
รูปแบบและขนาดวิธีใช้บลูเบอร์รี่
ในการรับประทานบลูเบอร์รี่ให้ได้รับประโยชน์สูงสุด แนะนำให้รับประทานเป็นผลสดมากกว่าการแปรรูป เนื่องจากมีสารออกฤทธิ์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอย่างครบถ้วน โดยไม่ทำให้สารต่างๆสลายไปเพราะความร้อน แต่ในปัจจุบันด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย ได้มีการสกัดเอาสารอาหารที่เป็นประโยชน์เหล่านั้นออกมา โดยยังคงคุณค่าของสารอาหารอย่างครบถ้วนในรูปของผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
ข้อควรระวังในการบริโภคบลูเบอร์รี่
แม้ผลของบลูเบอร์รี่หรือสารสกัดจากบลูเบอร์รี่จะมีคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย แต่ก็ควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากจนเกินไป เพราะอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ ต่อไปนี้คือข้อควรระวังในการบริโภคบลูเบอร์รี่
- สำหรับผู้ที่จะต้องเข้าห้องผ่าตัด ให้งดรับประทานบลูเบอร์รี่ก่อนเข้ารับการผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพราะอาจส่งผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดทั้งระว่างการผ่าตัดและหลังการผ่าตัด
- ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน แนะนำให้ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดอยู่เสมอเมื่อรับประทานบลูเบอร์รี่โดยตรงหรืออาหาร เครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของบลูเบอร์รี่ เนื่องจากอาจจะส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยลดลงได้ ส่วนผู้ที่กำลังใช้ยารักษาโรคเกี่ยวกับเบาหวาน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง เนื่องจากสารที่อยู่ในบลูเบอร์รี่อาจทำปฏิกิริยากับยารักษาโรคเบาหวานบางชนิด อย่างเช่นยาไกลเมพิไรด์ (Glimepiride) ยาไพโอกลิตาโซน (Pioglitazone) ยาโทลบูตาไมด์ (Tolbutamide) และยาโรซิกลิทาโซน (Rosiglitazone) เป็นต้น
- ไม่แนะนำให้รับประทานใบของต้นบลูเบอร์รี่ เพราะยังไม่มีข้อมูลหรืองานวิจัยระบุว่าสามารถรับประทานได้
- สำหรับผู้ป่วยที่กำลังรับประทานยาที่เกี่ยวข้องกับยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่นยา warfarin แนะนำให้หลีกเลี่ยงการรับประทานบลูเบอร์รี่ เนื่องด้วยในผลของบลูเบอร์รี่มีวิตามินเค (K) ที่สูง ซึ่งวิตามินชนิดนี้ทำให้เลือดแข็งตัว อาจทำให้เกิดการต้านฤทธิ์กัน ทำให้ประสิทธิภาพของยาเพื่อการรักษาลดลง รวมถึงผู้ป่วยที่เป็นโรค G6PD ก็ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานบลูเบอร์รี่ด้วย เพราะอาจส่งผลให้เม็ดเลือดแดงแตกได้ง่าย
ด้วยคุณค่าทางโภชนาการ มีสารอาหารที่ครบถ้วนและเป็นประโยชน์ต่อร่างกายของบลูเบอร์รี่ ทำให้ถูกนำมาใช้ในการป้องกันและรักษาโรคอย่างกว้างขวางในวงการแพทย์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ควรคำนึงถึงปริมาณการใช้ที่พอเหมาะเพื่อความปลอดภัยและควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้งโดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่นเดียวกันกับวงการความงาม ที่ในปัจจุบันได้มีการนำเอาสารสกัดจากบลูเบอร์รี่มาใช้เป็นส่วนผสมในครีมหรือโลชั่น ผลิตภัณฑ์ประเภทสกินแคร์กันอย่างแพร่หลาย โดยมีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูสภาพผิวและป้องกันริ้วรอยก่อนวัย ดังนั้น ควรมีการเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ส่วนผสมที่ลงตัว เหมาะกับสภาพผิว และสามารถแก้ปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนและเกิดประสิทธิภาพสูงสุดนั่นเอง