เนื่องด้วยอายุที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นน้อยลง เกิดริ้วรอยแห่งวัย ผิวขาดความชุ่มชื้น ผิวมีความหย่อนคล้อย รวมถึงปัญหาผิวอื่นๆตามมาอีกมากมาย ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้หลายคนหันมาใช้ตัวช่วยเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆบนใบหน้าอย่าง “ฟิลเลอร์” (Filler) โดยมีเป้าหมายเพื่อความสวยงามและเสริมสร้างความมั่นใจในการดำเนินชีวิต ซึ่งเป็นหัตถการที่ใช้เวลาไม่นาน ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น เห็นผลได้ทันที สามารถเติมและปรับแต่งได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ฟิลเลอร์ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในวงการความสวยความงาม
ฟิลเลอร์คืออะไร?
ฟิลเลอร์ (Filler) เป็นสารเติมเต็มที่ใช้เพื่อฉีดเข้าไปตามจุดต่างๆบนผิวหน้า ไม่ว่าจะเป็นปาก ใต้ตา ร่องแก้ม หน้าผาก หรือขมับ เนื่องจากเมื่อวัยเพิ่มมากขึ้น ปริมาณคอลลาเจน อีลาสตินและไฮยาลูรอนตามธรรมชาติจะลดน้อยลง ในส่วนของเส้นเอ็นยึดผิว (Retaining ligaments) ก็หย่อนคล้อยลงด้วย ผิวหนังในชั้น SMAS ก็ไม่เหมือนเดิม ทำให้เกิดปัญหาผิวต่างๆตามมา ดังนั้นฟิลเลอร์จึงถูกนำมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยฟิลเลอร์ที่ใช้ในประเทศไทย เรียกได้ว่าเป็นสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) ที่เลียนแบบสารที่มีอยู่ตามธรรมชาติใต้ชั้นผิว ซึ่งแน่นอนว่าสารตัวนี้มีคุณสมบัติช่วยกักเก็บน้ำและความชุ่มชื้น (Hydration) ช่วยเติมเต็มชั้นผิวหนัง เพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิว พร้อมทั้งช่วยทดแทนคอลลาเจนและไฮยาลูรอนที่สูญเสียไปได้ด้วย ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น (Increase Elasticity) เต่งตึง เรียบเนียน กระชับ เปล่งปลั่ง ทั้งยังช่วยลดเลือนริ้วรอยได้ด้วย ไม่เพียงเท่านั้น การฉีดฟิลเลอร์ยังช่วยยกกระชับใบหน้า พร้อมทั้งปรับรูปหน้าให้ดูสมส่วนมากขึ้น โดยฟิลเลอร์สามารถสลายได้เอง ไม่ตกค้างในร่างกาย จึงถูกนำมาใช้ในวงการความงามกันอยู่ไม่น้อย ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ แพทย์จะต้องประเมินผิวหน้าหรือปัญหาที่ต้องการแก้ไขก่อน เพื่อเลือกปริมาณ วิธีการฉีด และยี่ห้อของฟิลเลอร์ให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาของแต่ละคน เพื่อผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจและมีความปลอดภัยทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว นอกจากนั้น ยังสามารถฉีดฟิลเลอร์ร่วมกับหัตถการอื่นๆเพื่อการดูแลผิวหน้าได้มากขึ้นอีกระดับด้วย เช่นโบท็อกซ์ (Botox) , Hifu Ulthera ,ร้อยไหม และ Thermage เป็นต้น
ประโยชน์ของฟิลเลอร์
โดยทั่วไป ฟิลเลอร์ มักถูกนำมาใช้ในเรื่องของความงาม เพื่อการปรับปรุงผิวหน้า พร้อมแก้ปัญหาผิวในช่วงที่อายุของผิวเสื่อมลงตามวัย ดังนั้นจึงมีการนำฟิลเลอร์มาใช้เพื่อเป็นสารเติมเต็มโดยต้องการแก้ไขในส่วนที่บกพร่อง ของผิว ซึ่งประโยชน์ของฟิลเลอร์มีหลายประการ ดังต่อไปนี้
- ช่วยลดเลือนริ้วรอยต่างๆที่เกิดขึ้นตามวัย พร้อมชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคต
- ช่วยเติมเต็มร่องลึกตามจุดต่างๆบนใบหน้า และเสริมในชั้นผิวหนังและใต้ผิวหนัง
- ช่วยปรับรูปหน้าให้มีความสมมาตร มีสัดส่วนอย่างเป็นธรรมชาติ เช่น ช่วยปรับให้คางดูยาวขึ้น แก้ปัญหาคางตัดหรือคางสั้น คางถอย ทำให้หน้าดูเรียวยาวขึ้น นอกจากนั้นยังช่วยเสริมจมูก ช่วยปรับรูปปากให้เป็นทรงกระจับได้ด้วย
- ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น ทำให้ผิวมีน้ำหล่อเลี้ยงมากขึ้น
- ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
- สามารถฉีดฟิลเลอร์ที่มือ เพื่อแก้ปัญหามือแห้ง มือเหี่ยวย่นได้
- ช่วยทำให้หน้าเรียบตึง และดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ
ฟิลเลอร์ มีกี่ประเภท
โดยหลักๆแล้ว ฟิลเลอร์จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังต่อไปนี้
- ฟิลเลอร์ประเภทชั่วคราว (Temporary Filler)
ฟิลเลอร์ประเภทชั่วคราว เป็นฟิลเลอร์ที่สามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติและมีความปลอดภัยสูง เป็นสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid (HA) ไฮยาลูรอนหรือกรดไฮยาลูรอนิค สามารถอยู่ได้ประมาณ 6-24 เดือน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์ เมื่อฟิลเลอร์สลายตัวก็สามารถเติมได้ใหม่ นับได้ว่าเป็นประเภทของฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน ทั้งยังเป็นฟิลเลอร์ประเภทเดียวที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาในไทย - ฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร (Semi Permanent Filler)
ฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร เป็นฟิลเลอร์ที่ไม่สามารถสลายได้หมด 100% อยู่ได้นานประมาณ 2-5 ปี มีความปลอดภัยน้อยกว่าฟิลเลอร์แบบชั่วคราว เนื่องจากเมื่อฉีดไปนานๆเข้า อาจทำให้เกิดปัญหาฟิลเลอร์จับตัวกันเป็นก้อนหรือเกิดการอักเสบตามมา ตัวอย่างของฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร เช่น สารแคลเซียม ไฮดรอกซีอะพาไทต์ (Calcium Hydroxyapatite) สาร PLLA (Poly-L-lactic acid) และ สาร Polyalkylimide เป็นต้น ส่วนใหญ่มีใช้ในต่างประเทศ แต่สำหรับประเทศไทยยังไม่ผ่านองค์การอาหารและยา - ฟิลเลอร์แบบถาวร(Permanent Filler)
ฟิลเลอร์แบบถาวร เป็นฟิลเลอร์ประเภทที่ไม่สามารถย่อยสลายได้เลย หลังจากที่ฉีดเข้าไปในผิวแล้ว จะไม่สามารถดูดซึมได้ ทำให้มีการตกค้างอยู่ที่ชั้นผิว ไม่นิยมนำมาฉีดบริเวณใบหน้า เนื่องจากอาจส่งผลข้างเคียงได้ในระยะยาว เป็นฟิลเลอร์ที่ไม่ผ่านองค์การอาหารและยาของไทย โดยมีสารเติมเต็มประเภทซิลิโคนเหลว พาราฟิน Calcium Hydroxylapatite และ สาร PMMA (Polymethyl-methacrylate microspheres) เป็นส่วนประกอบ ฉีดแล้วอาจเสี่ยงต่อการแข็งเป็นก้อน ฟิลเลอร์ไหลย้อยผิดรูป หรือกลายเป็นพังผืด ต้องผ่าหรือขูดออกเท่านั้น ไม่มียาสำหรับฉีดสลาย
สารเติมเต็มที่อยู่ใน ฟิลเลอร์
ในฟิลเลอร์มีสารเติมเต็มอยู่หลายชนิดตามประเภทของฟิลเลอร์ในรูปแบบต่างๆ ดังต่อไปนี้
- ไฮยาลูรอนหรือกรดไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic Acid)
ไฮยาลูรอนหรือกรดไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic Acid) หรือที่เรียกกันว่า HA เป็นสารเติมเต็มที่จัดอยู่ในกลุ่มฟิลเลอร์แบบชั่วคราว ที่สามารถย่อยสลายเองได้ โดยสารชนิดนี้จะจับตัวกับน้ำและพองขึ้นเป็นเจล จึงมีคุณสมบัติสำคัญคือช่วยให้ผิวหนังเต่งตึง ดูชุ่มชื้น สุขภาพดี - Poly-L-lactic acid (PLLA)
สารเติมเต็มที่เรียกว่า Poly-L-lactic acid หรือ PLLA จัดอยู่ในกลุ่มฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร ที่สามารถย่อยสบายได้เองตามธรรมชาติ แต่ไม่100 % สามารถอยู่ได้นาน 2-5 ปี นิยมนำไปใช้ในทางการแพทย์ เช่นใช้เป็นไหมละลาย และตะปูเกลียวยึดกระดูก เป็นต้น - Calcium Hydroxyapatite
Calcium Hydroxyapatite หรือ สารแคลเซียม ไฮดรอกซีอะพาไทต์ เป็นสารเติมเต็มที่จัดอยู่ในกลุ่มฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร ที่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติแต่ก็ยังมีสารที่ตกค้างอยู่ในชั้นผิว ซึ่งหากทิ้งไว้นานหลายปี อาจก่อให้เกิดอันตรายจากสารตกค้างได้ จะต้องขูดออก สารเติมเต็มชนิดนี้มักถูกนำมาใช้เติมหน้าอกและสะโพก - Polyalkylimide
Polyalkylimide เป็นพลาสติกสังเคราะห์ ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มสารเติมเต็มฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร ที่สามารถย่อยสลายได้เอง แต่ไม่ 100% มักถูกนำมาใช้สำหรับคนที่มีรอยย่นลึก เช่นร่องจมูก หรือรักษารอยแผลเป็น หากต้องการนำฟิลเลอร์ออก ต้องใช้วิธีขูดออกเท่านั้น - โพลีเมธิลเมธาไครเลต (Polymethyl-methacrylate microspheres (PMMA))
สารเติมเต็มโพลีเมธิลเมธาไครเลต หรือ PMMA เป็นพลาสติกสังเคราะห์ ที่อยู่ในฟิลเลอร์แบบถาวร ที่ไม่สามารถย่อยสบายได้เองตามธรรมชาติ มีลักษณะเป็นเม็ดกลมเรียบ มีขนาดเล็กมาก โดยส่วนใหญ่ใช้เป็นวัสดุสำหรับผลิตเครื่องมือทางการแพทย์ เช่น เลนส์แก้วตาเทียม (Intraocular Lens : IOL) และ Bone Cement เป็นต้น
สารเติมเต็มในฟิลเลอร์มีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง?
สารเติมเต็มต่างๆที่อยู่ในฟิลเลอร์มีคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่างกันเพื่อเอื้อต่อการปรับหรือแก้ไขจุดบกพร่องต่างๆบนใบหน้าดังต่อไปนี้
- มีความแข็ง(Elasticity)
ฟิลเลอร์ที่มีค่าความแข็งสูง จะเหมาะกับการฉีดเพื่อช่วยปรับโครงหน้าในชั้นกระดูกหรือใช้ในการฉีดยกผิวในชั้นลึก เนื่องจากมีความทนทานต่อแรงกดในแนวตั้ง จึงนิยมนำไปฉีดบริเวณคาง จมูก หรือฉีดเพื่อดึงหน้า ปรับโครงสร้างของหน้าให้ดูสมมาตรขึ้นนั่นเอง - มีความยืดหยุ่น(Flexibility)
ฟิลเลอร์ที่มีค่าความยืดหยุ่นสูง มักจะทนต่อการขยับหรือเคลื่อนไหวบนใบหน้า รวมถึงทนต่อแรงบิดในแนวนอน ดังนั้นจึงเหมาะแก่การนำไปฉีดผิวในบริเวณที่มีการขยับบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นมุมปาก ร่องแก้ม รวมถึงการนำไปใช้แก้ปัญหาแก้มตอบด้วย - มีการกระจายตัว(Tissue Integration)
โดยทั่วไป ฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติการกระจายตัว มักจะเหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้ง ผิวบาง แต่เมื่อฉีดฟิลเลอร์ที่มีการกระจายตัวที่ดีเข้าไป จะเรียบเนียนไปกับผิว ไม่จับตัวเป็นก้อน - มีค่าการอุ้มน้ำ(Water holding)
ฟิลเลอร์ที่มีค่าการอุ้มน้ำสูง เมื่อฉีดเข้าไปในผิวหนังแล้วจะทำให้ผิวฟู ดังนั้นจึงนิยมนำมาฉีดบริเวณร่องแก้ม และขมับ แต่ไม่เหมาะที่จะนำมาฉีดใต้ตา เพราะจะทำให้มองเห็นความบวมได้ชัดเจนขึ้น - จำนวนการเชื่อมพันธะ (Crosslink)
ฟิลเลอร์ที่มีจำนวนพันธะมาก จะมีการสลายตัวได้ช้าลง จะอยู่ได้นานยิ่งขึ้น นอกจากนั้นยังอุ้มน้ำน้อยลง ทำให้ผิวฟูน้อยลงด้วย ส่วนใหญ่จะมีค่าการกระจายตัวในระดับปานกลาง จึงมักถูกนำมาฉีดในบริเวณที่มีการขยับอยู่บ่อยๆ - ขนาดเม็ดของฟิลเลอร์ (Particle size)
ฟิลเลอร์ที่มีขนาดเม็ดใหญ่ จะอยู่ได้นานมากขึ้น มีค่าความแข็งสูง มีการกระจายตัวต่ำ ไม่ทนต่อแรงบิดในแนวนอน ดังนั้น หากนำมาฉีดในบริเวณที่มีการขยับตัวอยู่บ่อยๆ จะอยู่ได้ไม่นาน แต่ฟิลเลอร์ในลักษณะนี้ จะเหมาะกับการยกหน้าในผิวชั้นลึก
เนื้อ ฟิลเลอร์ มีกี่แบบ?
เนื่องจากฟิลเลอร์มีหลายยี่ห้อ หลายรุ่น ใช้เทคโนโลยีการผลิตที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นจึงส่งผลให้ลักษณะและคุณสมบัติแตกต่างกันด้วย ซึ่งในส่วนของเนื้อฟิลเลอร์นั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม ดังต่อไปนี้
- ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง
ฟิลเลอร์เนื้อแข็งจะมีลักษณะพิเศษคือเป็นเนื้อเจล เป็นกลุ่มเป็นก้อนกันมากกว่าฟิลเลอร์เนื้ออื่นๆ เมื่อบีบออกมา จะมองเห็นเป็นเส้นได้อย่างชัดเจน โดยเนื้อฟิลเลอร์ประเภทนี้จะมีความแข็งแรง และคงตัวได้ดี จึงนิยมนำมาใช้ยกผิวในชั้นกระดูก - ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม
ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม จะมีลักษณะเป็นเนื้อเจลคล้ายเยลลี่ ไม่จับตัวเป็นก้อน เนื้อไม่เหลว ไม่เป็นน้ำ เนื้อฟิลเลอร์จะนิ่ม เหมาะที่จะนำมาฉีดในชั้นไขมัน - ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด
ฟิลเลอร์เนื้ละเอียด มีลักษณะเป็นเนื้อเจล มีความบางเบาคล้ายน้ำ เนื้อเหลว เหมาะสำหรับนำมาฉีดในผิวชั้นตื้น หรือเก็บรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของปัญหาผิว นอกจากนั้นยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวแห้งได้ดี
ฟิลเลอร์ เหมาะกับใครบ้าง?
ฟิลเลอร์ เป็นสารเติมเต็มที่ได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลาย ในกลุ่มผู้ที่มีปัญหาในเรื่องผิวพรรณและโครงสร้างใบหน้าต่างๆดังต่อไปนี้
- ผู้ที่ต้องการลดริ้วรอยร่องลึกบนผิวในบริเวณต่างๆทั่วใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นรอบดวงตา มุมปาก หรือรอยย่นที่หน้าผาก
- ผู้ที่ต้องการแก้ไขส่วนต่างๆบนใบหน้า เช่น เติมริมฝีปาก ปรับริมฝีปากให้ดูอวบอิ่ม ร่องแก้มหรือจะทำให้แก้มดูตอบลงก็ได้ นอกจากนั้นยังช่วยแก้ไขรูปหน้าให้ดูสมมาตรและสมดุลกันอีกด้วย
- ผู้ที่ต้องการบำรุงผิวหน้า ทำให้หน้าสดใส เปล่งปลั่ง ดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ
- ผู้ที่ต้องการกระชับรูขุมขน หรือช่วยรักษาหลุมสิวบนใบหน้า เป็นต้น
ใช้ฟิลเลอร์กับส่วนไหนของร่างกายได้บ้าง
ส่วนใหญ่ฟิลเลอร์จะถูกนำมาใช้ฉีดในบริเวณส่วนต่างๆทั่วใบหน้า เพื่อแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นได้อย่างตรงจุด ไม่ว่าจะเป็น
- ฟิลเลอร์ที่หน้าผาก
การฉีดฟิลเลอร์ที่หน้าผาก เป็นหนึ่งวิธีที่สามารถแก้ปัญหาหน้าผากยุบ แบน ให้นูนสวย มีมิติได้สัดส่วนที่สอดรับกับส่วนอื่นๆของใบหน้า ทั้งยังช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยย่นที่เกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้นบริเวณหน้าผาก นอกจากนั้นคนยังนิยมฉีดฟิลเลอร์ที่หน้าผากเพื่อเสริมโหงวเฮ้งอีกด้วย - ฟิลเลอร์ที่ใต้ตา
เนื่องจากเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้แนวกระดูกที่เบ้าตาและไขมันใต้ตาทรุดตัวลง ทำให้บริเวณใต้ตาเกิดความหย่อนคล้อย มีริ้วรอย ตาคล้ำตาลึกโบ๋ มีถุงใต้ตา ดังนั้นการเติมฟิลเลอร์ที่ใต้ตา จึงสามารถช่วยแก้ปัญหาต่างๆเหล่านี้ ทำให้ผิวรอบดวงตากลับมาสดใส ดูอ่อนเยาว์ มีความชุ่มชื้นและเต่งตึงมากขึ้น - ฟิลเลอร์ที่คาง
การเติมฟิลเลอร์ที่คาง สามารถช่วยปรับรูปทรงของคางได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาคางสั้น ค้างเบี้ยว คางตัด คางบุ๋ม ทั้งยังช่วยปรับรูปหน้าให้เรียวมากยิ่งขึ้นด้วย - ฟิลเลอร์ร่องแก้ม
ปัญหาร่องแก้มเกิดขึ้นได้ในหลายลักษณะและหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นผิวหย่อนพับลงจนเกิดเป็นร่องแก้ม ไขมันและกระดูกบริเวณร่องแก้มฝ่อตัวลงตามวัย การยุบตัวของกระดูกบนใบหน้า รวมถึงการแสดงออกทางสีหน้ามากๆ ก็มีส่วนทำให้แก้มเกิดรอยยับมากขึ้นได้ การมีร่องแก้มลึก ทำให้หน้าดูแก่กว่าวัย การฉีดฟิลเลอร์เป็นการช่วยทำให้ร่องแก้มดูตื้นขึ้นและหน้าแลดูอ่อนวัยขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด รวมถึงช่วยแก้ปัญหาผิวแห้ง ชั้นผิวบางลง ซึ่งหลังทำสามารถเห็นผลได้ทันที - ฟิลเลอร์แก้มตอบ
แก้มตอบ ทำให้หน้าดูมีอายุ ดูโทรม ทำให้มองเห็นโหนกแก้มได้ชัดเจนมากขึ้น การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบเป็นการช่วยปรับใบหน้าให้ได้รูปมากขึ้น ทำให้ใบหน้าส่วนล่าง รวมถึงกระเปาะแก้มดูยกกระชับมากขึ้น ช่วยลดความเด่นของกระดูกโหนกแก้ม ทำให้หน้าดูมีมิติ - ฟิลเลอร์ยกกระชับช่วงหน้าแก้มหรือที่เรียกกันว่าฟิลเลอร์แก้มส้ม ช่วยให้ช่วงหน้าแก้มมีมิติ ได้สัดส่วน ทั้งยังมีส่วนช่วยยกกระชับใบหน้าขึ้นมาได้ พร้อมทั้งช่วงลดร่องใต้ตา ถุงใต้ตาและร่องแก้มให้ดูตื้นขึ้นอีกด้วย
- ฟิลเลอร์จมูก
เป็นการฉีดฟิลเลอร์เพื่อช่วยปรับสันจมูกโด่งและเป็นทรงสวยขึ้น ทั้งยังช่วยยกปลายจมูกให้เชิดขึ้นมาได้ แต่ไม่สามารถทำให้จมูกดูคมชัดได้เท่ากับการทำศัลยกรรม การฉีดฟิลเลอร์จมูกจะเหมาะกับคนที่มีฐานจมูกอยู่บ้างแล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การฉีดฟิลเลอร์จมูกไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ตั้งใจจะผ่าตัดศัลยกรรมเสริมจมูกในอนาคต เพราะอาจมีปัญหาเกี่ยวกับการยึดเกาะของแท่งซิลิโคน และถ้าในกรณีที่ฉีดฟิลเลอร์จมูกไปแล้วและต้องการผ่าตัดเสริมจมูก ก็จะต้องขูดฟิลเลอร์ที่กระดูกตามแนวที่จะวางซิลิโคนออกก่อน เพื่อให้ซิลิโคนสามารถยึดเกาะกับแนวกระดูกได้ดีมากขึ้น ไม่พียงเท่านั้น การฉีดฟิลเลอร์จมูกหรือการเติมฟิลเลอร์ปลายจมูก ต้องทำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ไม่เช่นนั้นอาจจะมีความเสี่ยงสูงที่ฟิลเลอร์จะเข้าเส้นเลือดและเข้าตาได้ - ฟิลเลอร์ปาก
การฉีดฟิลเลอร์ปาก เป็นการช่วยแก้ปัญหาริมฝีปากบาง ปากไม่ได้รูป ปากไม่เท่ากัน ริ้วรอยที่ริมฝีปาก ขอบปากคล้ำ ปากแห้ง ตกร่อง มุมปากตก รวมทั้งช่วยปรับขนาดโครงสร้างปากให้เป็นรูปทรงที่สวยงามได้ เช่น ปรับรูปปากให้เป็นทรงกระจับตามเทรนด์ ทั้งยังสามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ริมฝีปากได้อีกด้วย - ฟิลเลอร์ร่องน้ำหมาก
ร่องน้ำหมาก เป็นริ้วรอยร่องลึกที่อยู่บริเวณมุมปาก การเติมฟิลเลอร์ทำให้ร่องน้ำหมากดูตื้นขึ้น ทั้งยังสามารถช่วยยกมุมปากที่ดูตกให้ยกขึ้น ทำให้หน้าไม่ดุ แต่มีข้อแนะนำคือ ควรเติมฟิลเลอร์ร่องน้ำหมากหลังจากที่ยกกระชับช่วงแก้มในบริเวณอื่นๆ เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีและเป็นธรรมชาติมากขึ้น - ฟิลเลอร์กรอบหน้า
การเติมฟิลเลอร์กรอบหน้า(Jawline filler) สามารถช่วยปรับแนวกระดูกสันกรามให้คมชัดขึ้น ช่วยยกกระชับผิวช่วงแก้มล่างที่หย่อนคล้อยให้เห็นกรอบหน้าชัดขึ้น ช่วยปรับรูปหน้าให้ดูสมส่วนขึ้น แก้ปัญหากรอบหน้าไม่ชัด มีสันกราม แก้มหย่อนคล้อยได้ดี โดยเริ่มตั้งแต่ด้านหน้าของใบหู แนวขากรรไกรล่าง ไปจนถึงปลายคาง ทำให้หน้าดูยกกระชับ มีมิติมากขึ้น - ฟิลเลอร์ที่ขมับ
การฉีดฟิลเลอร์ที่ขมับ เป็นการช่วยปรับโครงหน้าให้ดูสมดุลและสมส่วนมากขึ้น ทั้งยังช่วยแก้ปัญหาขมับตอบ ขมับลึกได้ ผลพลอยได้จากการฟิลเลอร์ขมับคือช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยที่หางตา ทำให้ผิวบริเวณดวงตาชุ่มชื้นและเต่งตึงขึ้น - ฟิลเลอร์หน้าใส
หรือที่หลายคนเรียกว่าฟิลเลอร์งานผิวหรือ HA Skin Booster เป็นการฉีดฟิลเลอร์เพื่อช่วยปรับสภาพผิวให้ดีมากขึ้น ช่วยฟื้นฟูให้ผิวดูชุ่มชื้น สุขภาพดี ช่วยแก้ปัญหาผิวแห้งกร้าน ให้มีความเนียนนุ่ม ผิวฉ่ำวาว อิ่มน้ำ ช่วยทำให้รูขุมขนเล็กลง
ใช้ ฟิลเลอร์ ปริมาณเท่าไรให้เหมาะสมในแต่ละจุด
เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นบนผิวหน้าในแต่ละจุด มีความแตกต่างกัน ดังนั้นการเติมฟิลเลอร์ในแต่ละบริเวณของผิวหน้าจึงใช้ในปริมาณที่แตกต่างกันด้วย โดยเบื้องต้นจะมีรายละเอียดการใช้ดังต่อไปนี้
- ฟิลเลอร์ขมับ ใช้ในปริมาณ 1-3 cc
- ฟิลเลอร์แก้มส้ม ใช้ในปริมาณ 1-2 cc
- ฟิลเลอร์แก้มตอบ ใช้ในปริมาณ 1-2 cc
- ฟิลเลอร์คาง ใช้ในปริมาณ 1-3 cc
- ฟิลเลอร์ใต้ตา ใช้ในปริมาณ 1-3 cc
- ฟิลเลอร์ร่องแก้ม ใช้ในปริมาณ 2-4 cc
- ฟิลเลอร์ปาก ใช้ในปริมาณ 1-2 cc
เลือกฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี?
การเลือกฟิลเลอร์ให้เข้ากับสภาพผิวและปัญหาก็เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ตรงจุดมากขึ้น เนื่องจากฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่นเหมาะกับปัญหาและการฉีดในแต่ละจุดที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่สำคัญคือต้องเลือกฟิลเลอร์ของแท้และเลือกฉีดในสถานเสริมความงามที่ได้มาตรฐานและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยม มาจาก 4 ประเทศ ได้แก่ อเมริกา สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส เกาหลี และฟิลเลอร์น้องใหม่อย่างmesofiller จากสเปน ซึ่งฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อมีรายละเอียดดังนี้
- ฟิลเลอร์ Juvederm (อเมริกา)
คุณสมบัติที่โดดเด่นของฟิลเลอร์อเมริกาคือเป็นฟิลเลอร์ที่มีเทคโนโลยี hylacross เนื้อฟิลเลอร์มีความยืดหยุ่นสูง ทนต่อการขยับหรือเคลื่อนไหวของใบหน้า มีเนื้อเรียบเนียน โดยมีรุ่นต่างๆดังนี้- Juvederm Ultra Plus อยู่ได้นาน 12 เดือน
- Juvederm Voluma อยู่ได้นาน 18 เดือน
- Juvederm Volift อยู่ได้นาน 12 เดือน
- Juvederm Volite อยู่ได้นาน 8-12 เดือน
- Juvederm Volbella อยู่ได้นาน 12 เดือน
- Juvederm Volux อยู่ได้นาน 18-24 เดือน
- ฟิลเลอร์ Restylane (สวีเดน)
นับเป็นฟิลเลอร์ยี่ห้อที่คลาสสิค เพราะผลิตมานานโดยบริษัท Galdermaของสวีเดน มีความโดดเด่นคือใช้เทคโนโลยี NASHA techology และ OBT technology ที่มีความคงตัว ยืดหยุ่นสูง ทั้งยังให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว โดยมีรุ่นต่างๆ ดังนี้- Restylane Defyne อยู่ได้นาน 18 เดือน
- Restylane Vital Light อยู่ได้นาน 6-12 เดือน
- Restylane Perlane Lyft อยู่ได้นาน 12 เดือน
- Restylane Volyme อยู่ได้นาน 18 เดือน
- Restylane Vital อยู่ได้นาน 12 เดือน
- Restylane Classic อยู่ได้นาน 12 เดือน
- Restylane Refyne อยู่ได้นาน 12 เดือน
- Restylane Kysse อยู่ได้นาน 12 เดือน
- ฟิลเลอร์ Belotero (สวิตเซอร์แลนด์)
อีกหนึ่งฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมคือ ฟิลเลอร์ Belotero จากนำเข้าโดยบริษัท เมิร์ซ เฮลธ์แคร์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาทั้งของสหรัฐอเมริกา ยุโรปและไทย มีความโดดเด่นคือใช้เทคโนโลยี CPM Technology ในการผลิต มีคุณสมบัติที่ช่วยในเรื่องความยืดหยุ่น ไม่เกาะกันเป็นก้อน โดยมีรุ่นต่างๆดังนี้- Belotero Intense อยู่ได้นาน 18 เดือน
- Belotero Volume อยู่ได้นาน 18 เดือน
- Belotero Revive อยู่ได้นาน 6-9 เดือน
- ฟิลเลอร์ Perfectha (ฝรั่งเศส)
นับว่าเป็นฟิลเลอร์น้องใหม่ แต่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในแถบเอเชีย นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย บริษัท Interpharma ประเทศไทย โดยมีรุ่นต่างๆดังต่อไปนี้- Perfectha Subskin เป็นฟีลเลอร์ที่เน้นการแก้ไขโครงสร้างของผิวชั้นลึก อยู่ได้นาน 12-18 เดือน
- Perfectha Deep ช่วยเติมเต็มได้ตั้งแต่ชั้นลึกถึงใต้ชั้นหนังแท้ อยู่ได้นาน 12 เดือน
- Perfectha Derm ช่วยรักษาริ้วรอยทั้งในระดับลึกและร่องระดับตื้น นิยมนำมาฉีดบริเวณริมฝีปากเพื่อยกมุมปาก รวมถึงใช้แก้ไขรอยขมวดคิ้วตรงกลางเพื่อแก้ไขร่องลึก อยู่ได้นาน 6-12 เดือน
- Perfectha Fine lines ฟิลเลอร์รุ่นนี้ จะมีเนื้อเป็นน้ำ มีคุณสมบัติช่วยรักษาริ้วรอยตื้นๆ เช่นรอยยับรอบดวงตาและริมฝีปาก อยู่ได้นาน 4-6 เดือน
- Perfectha Complement มีลักษณะเป็นเนื้อเจล นิยมนำมาใช้แก้ไขปัญหาผิวบริเวณใต้ตา อยู่ได้นาน 6 เดือน
- ฟิลเลอร์ Flore Max
เป็นฟิลเลอร์สัญชาติเกาหลี ที่นำเข้าโดยบริษัท บอน-ซอง จำกัด (Bon-Song Thailand) โดยมีจุดเด่นอยู่ที่การนำเทคโนโลยี HCCL™ (Highly Completed Cross-Linking)มาใช้ เป็นฟิลเลอร์เนื้อเจล คงรูปได้ดี ไม่ไหลไปยังส่วนต่างๆบนผิวหน้า และสลายตัวได้ช้า - mesofiller
ฟิลเลอร์สัญชาติสเปน ที่กำลังได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลายในเวลานี้ ด้วยเทคโนโลยีdensiMatrix® ด้วยกระบวนการ Cross – linking process ที่ทำให้ผสานเป็นเนื้อเดียวกัน ทั้งยังสามารถเชื่อมโยงสายโมเลกุลได้อย่างสมบูรณ์โดยปราศจาก Free HA มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากมีกระบวนการปรับเปลี่ยนที่มีประสิทธิภาพ ทั้งในส่วนที่เป็นตัวแปรควบคุม ค่าความเป็นด่างและอุณหภูมิ สายโมเลกุลที่สูงมีค่าความเข้มข้นของ BDDEต่ำ(มีค่าBBDE คงเหลือน้อยกว่า0.05 ppm) ที่สำคัญผ่านกระบวนการทำให้มีความบริสุทธิ์แตกต่างจากฟิลเลอร์อื่นๆ นอกจากนั้นยังมีอนุภาคเล็ก ทำให้มีความเป็นเนื้อเดียวกันสูง โดยมีขนาดอนุภาคเฉลี่ยน้อยกว่า400 um (ไมครอน) สามารถแทรกตัวเข้ากับเนื้อเยื่อได้ดี ช่วยให้อาการบวมลดลงหลังจากฉีดไปแล้ว 24 ชั่วโมง ลดความเสี่ยงของอาการบวม โดยเฉพาะในเนื้อเยื่อที่มีความบางมาก เช่นรอบดวงตาส่วนล่างและบริเวณหน้าผาก ไม่เพียงเท่านั้น ยังช่วยกระตุ้นกลไกการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ พร้อมทั้งให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน 9-12 เดือน โดยไม่จับตัวเป็นก้อน สามารถปรับใช้ได้หลากหลาย ทั้งช่วยยกกระชับหางตา ปรับทรงจมูก ติ่งหู ความคมชัดของแก้ม เติมปากให้อวบอิ่ม เติมเต็มริมฝีปาก ความคมชัดของใบหน้ารูปไข่ ความคมชัดของกราม ริ้วรอยบริเวณหน้าผาก ร่องลึกที่คิ้ว ถุงใต้ตาและรอบดวงตา ริ้วรอยรอบปาก รวมถึงริ้วรอยร่องแก้ม โดยให้ผลลัพธ์ได้ทันทีและเป็นผลลัพธ์ที่เฉพาะตัว ช่วยปรับปรุงแก้ไขริ้วรอย ยกกระชับเพื่อแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยของผิว โดยที่ไม่ต้องผ่าตัด ช่วยแก้ปัญหาความไม่สมบูรณ์ของผิว ทั้งแผลเป็นและรอยคล้ำใต้ตา mesofiller มีให้เลือก 3 รูปแบบขึ้นอยู่กับปริมาณความเข้มข้นของ HA ที่แตกต่างกัน เพื่อนำไปใช้ในส่วนต่างๆของผิวหน้า ที่จะสามารถช่วยแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดและให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ
ข้อควรพิจารณาก่อนฉีดฟิลเลอร์
ก่อนฉีดฟิลเลอร์ มีข้อควรพิจารณาดังต่อไปนี้
- เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลจากสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ และมีความน่าเชื่อถือ สะอาด ปลอดภัยทั้งสถานที่และอุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้ในการทำหัตถการ พร้อมทั้งมีบริการในกรณีฉุกเฉิน เช่น คนไข้แพ้ยา หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆเป็นต้น
- เลือกฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ที่มีใบรองรับมาตรฐานจากแพทยสภา เป็นแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านผิวหนังและศัลยกรรมโดยตรง รวมถึงมีการประเมินผิวหน้าก่อนฉีดเพื่อที่จะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด ไม่ฉีดฟิลเลอร์กับหมอเถื่อนหรือหมอกระเป๋า
- ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์กับสถานเสริมความงามหรือคลินิกที่ มีการติดตามผล พร้อมทั้งให้คำแนะนำในเรื่องการปฏิบัติตัวทั้งก่อนและหลังฉีด ทั้งยังสามารถขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญได้
- เลือกคลิกนิกที่มีการแสดงค่ารักษาพยาบาล และค่าหัตถการที่ชัดเจน และสามารถสอบถามอัตราค่ารักษาได้อย่างเปิดเผย
- เลือกใช้ฟิลเลอร์แท้เท่านั้น เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนและเพื่อความปลอดภัย
- ดูรีวิวจากผู้ใช้บริการจริงในแหล่งอ้างอิงที่เป็นกลาง เพื่อสร้างความมั่นใจในการใช้และตัดสินใจเลือกฟิลเลอร์
- ศึกษาข้อมูลที่ถูกต้องและทำความเข้าใจเกี่ยวกับฟิลเลอร์ ว่าเป็นสารที่ไม่สามารถอยู่ได้ถาวรตลอดไป และไม่เหมาะกับการฉีดในหลายตำแหน่งในร่างกาย เช่น หน้าอก หรือสะโพก เนื่องจากต้องใช้ฟิลเลอร์ในปริมาณที่มากหลายร้อยซีซี แนะนำว่าถ้าอยากแก้ไขในส่วนนี้ให้ใช้การผ่าตัดจะดีกว่า
ขั้นตอนการฉีด ฟิลเลอร์
ในการฉีดฟิลเลอร์ในส่วนต่างๆของผิวหน้า มีขั้นตอนดังต่อไปนี้
- เข้ารับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อขอคำปรึกษา ประเมินผิวหน้า เพื่อเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุด พร้อมทั้งสอบถามข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับฟิลเลอร์
- เมื่อประเมินผิวหน้าแล้ว แพทย์จะเป็นผู้แนะนำยี่ห้อ ชนิด รุ่นของฟิลเลอร์ให้เหมาะสมกับจุดที่ต้องการแก้ไข
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นฟิลเลอร์แท้
- ทำความสะอาดใบหน้าเมื่อจะต้องฉีดฟิลเลอร์ กรณีที่แต่งหน้ามา ให้เช็ดเครื่องสำอางออก เพื่อความสะอาด ปราศจากสิ่งสกปรกที่จะปนเปื้อนเข้าไป
- ทายาชาและประคบน้ำแข็งก่อนฉีดฟิลเลอร์ เพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บจากการฉีดด้วยเข็ม
- หลังฉีดฟิลเลอร์ แพทย์มักจะแนะนำวิธีการดูแลตัวเองหลังฉีด ดังนั้นควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและช่วยให้ฟิลเลอร์อยู่ได้นานขึ้น
- โดยปกติหลังฉีดฟิลเลอร์ จะมีการนัดเพื่อติดตามผลทุกเคส
ก่อนฉีดฟิลเลอร์ควรเตรียมตัวอย่างไร
ก่อนฉีดฟิลเลอร์ มีวีการเตรียมตัวเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีและมีความปลอดภัย ดังต่อไปนี้
- ควรงดยาแก้ปวดที่อยู่ในกลุ่ม ยาแอสไพริน NSAIDs เช่น Ibuprofen, Diclofenac, Ponstan รวมถึงยาละลายลิ่มเลือด ก่อนฉีดฟิลเลอร์ประมาณ 1 สัปดาห์ เนื่องจากยาดังกล่าวอาจทำให้ผิวบวมและช้ำง่ายขึ้น
- งดวิตามินประเภท St. Johns Wort, Ginkgo biloba, Primrose oil, Garlic, Ginseng, และ Vitamin E เนื่องจากวิตามินเหล่านี้ สามารถไปกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ทำให้เลือดแข็งตัวช้าในระหว่างฉีดฟิลเลอร์ อาจทำให้เกิดอาการช้ำหลังฉีดได้ง่าย
- งดสกินแคร์หรือยาที่เกี่ยวข้องกับการผลัดเซลล์ผิว ไม่ว่าจะเป็น Retinoids, Retinol, Glycolic Acid ประมาณ 3 วันก่อนฉีดฟิลเลอร์
- งดการผลัดเซลล์ผิวด้วยการโกนขนในบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์
- หัตถการต่างๆบนใบหน้า เช่น นวดหน้า หรือทำเลเซอร์ต่างๆ ควรทำมาก่อนฉีดฟิลเลอร์ล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วัน
- งดดื่มแอลกอฮอล์ก่อนฉีดฟิลเลอร์ 24 ชั่วโมง
- หากมีโรคประจำตัวหรือมียาที่รับประทานเป็นประจำ ควรแจ้งแพทย์ให้ทราบล่วงหน้า
- หากบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์มีปัญหาเกี่ยวกับผิวหนัง เช่น ผิวหนังอักเสบหรือมีการติดเชื้อ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อน
- ควรงดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด เช่น ออกกำลังกายอย่างหนัก การอบตัว เข้าห้องซาวน่า เป็นต้น
- เข้ามาขอคำปรึกษาจากแพทย์ที่คลินิก เนื่องจากอาจมีบางกรณีที่แพทย์จะให้รับประทานยาห้ามเลือดหรือฉีดยาลดอาการบวมก่อน เพื่อลดความเสี่ยงในการบวมช้ำ รวมถึงการอักเสบและการติดเชื้อ
หลังฉีดฟิลเลอร์ควรดูแลตัวเองอย่างไร
หลังฉีดฟิลเลอร์อาจมีอาการหรือผลข้างเคียงบางอย่างเกิดขึ้น ดังนั้นจึงมีข้อแนะนำดังต่อไปนี้
- อาจมีอาการปวด บวมแดง ระบม เขียวช้ำหรือคันในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ในระยะยะแรก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นควรเลี่ยงการแกะเกาหรือนวดคลึง หลังจากฉีดฟิลเลอร์ 24 ชั่วโมงแล้วยังมีอาการปวด ให้รับประทานยาพาราเซตามอลเพื่อลดอาการปวดลงได้ อาจมีอาการระบมจากเข็มบ้าง แต่อาการต่างๆจะค่อยๆดีขึ้นภายใน 7-14 วัน และหลังจากนั้นฟิลเลอร์จะเริ่มเข้าที่
- หลังจากที่ฉีดฟิลลอร์เสร็จ ควรรับประทานยาฆ่าเชื้อทันที
- ให้ประคบเย็นตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเบามือ ไม่ควรกดเต็มแรง
- ควรล้างหน้าด้วยสบู่อ่อนๆ เนื่องจากรอยเข็มฟิลเลอร์โดนน้ำได้ไม่เกิน 15 นาที แต่หลังจากนั้นก็สามารถโดนน้ำได้ปกติและสามารถทาครีมทับรอยเข็มได้เลยหลังจากที่ผ่านไป 48 ชั่วโมง นอกจากนั้นควรงดการนวด ถู หรือสครับใบหน้าแรงๆ เพื่อให้ฟิลเลอร์ได้มีเวลาเซ็ทตัว
- หลังจากฉีดฟิลเลอร์ ไม่ควรให้บริเวณใบหน้าสัมผัสกับความร้อนโดยตรง ทั้งจากการอาบน้ำหรือการใช้ไดร์เป่าผม ควรนอนในห้องที่มีอุณหภูมิประมาณ 18-23 องศาเซลเซียส โดยให้นอนหัวสูงกว่าหน้าอกในช่วงแรก และไม่ควรนอนตะแคงใน 2-3 วันหลังจากฉีด ควรหาหมอนข้างมากันซ้าย-ขวาใน 2-3 คืนแรก เพื่อป้องกันการกดทับหน้า พร้อมงดเลเซอร์ร้อนที่ผิวชั้นลึก อย่างน้อยเป็นเวลา 1 เดือน
- หลังจากที่ฉีดฟิลเลอร์ หากรู้สึกว่าฟิลเลอร์เป็นก้อน ห้ามนวด คลึงหรือปั้นผิวในบริเวณนั้นเด็ดขาด ไม่ควรขยับหน้ามากไป โดยเฉพาะในช่วง 3 วันแรก เพราะจะทำให้ฟิลเลอร์เสียรูปได้
- งดการออกกำลังกายหนักๆ เพราะอาจจะทำให้ฟิลเลอร์เสียรูปทรงจากการเคลื่อนไหวที่รุนแรง
- งดดื่มแอลกอฮอลล์อย่างน้อย2-3 วันหลังจากฉีดฟิลเลอร์
- งดการเท้าคางทันที ในกรณีที่ฉีดฟิลเลอร์คาง
อาการข้างเคียงจากการฉีดฟิลเลอร์มีอะไรบ้าง
แน่นอนว่าหลังจากฉีดฟิลเลอร์ อาจมีอาการบวมเข็มหรือบวมยาชา แต่อาการต่างๆเหล่านี้จะค่อยๆดีขึ้นและหายไปเองภายใน7-14 วัน จากนั้นฟิลเลอร์จะค่อยๆเข้าที่ 100% ในเวลา2 – 4 สัปดาห์ แต่ในบางกรณีก็สามารถเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ โดยขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อของฟิลเลอร์ ประเภทของฟิลเลอร์ ฟิลเลอร์ที่ใช้เป็นของแท้หรือของปลอม องศาที่ถูกต้องในการฉีด รวมถึงความชำนาญของแพทย์ อาจทำให้เกิดอาการผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้น ดังต่อไปนี้
- ภาวะแทรกซ้อนระหว่างการฉีด
ระหว่างการฉีดฟิลเลอร์อาจมีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ เช่น ภาวะฟกช้ำ ที่เกิดจากเข็มผ่านเส้นเลือด หรือเกิดเส้นเลือดอุดตัน ที่สามารถนำไปสู่ภาวะเนื้อตาย อาจเข้าไปสู่เส้นเลือดที่เลี้ยงดวงตา ทำให้ตาบอดได้ - ภาวะแทรกซ้อนในระยะแรก
ในระยะแรกหลังจากฉีดฟิลเลอร์ อาจมีอาหารปวด บวมแดง นูน เป็นก้อน และมีการติดเชื้อแบบเฉียบพลันได้ - ภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว
ภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว อาจทำให้เกิดตุ่ม เป็นก้อน มีอาการบวมใต้ผิวหนังหลังจากที่มีการติดเชื้อหรือมีอาการแพ้ รวมถึงอาจมีหนองหรือน้ำเหลืองซึมออกมาจาการฉีดฟิลเลอร์แบบถาวรได้ด้วย
ในหลายกรณีที่เราพบได้ในปัจจุบัน คืออาการที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากการใช้ฟิลเลอร์ปลอม ส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างรุนแรงขึ้นมาได้ เช่น ทำให้เกิดภาวะเส้นเลือดแตกหรืออุดตัน ทำให้เป็นอัมพฤกษ์อัมพาตได้ และถ้าหากว่าสารจากฟิลเลอร์ปลอมเข้าไปในกระแสเลือดสู่สมอง อาจเกิดอากการแพ้จนถึงขั้นเสียชีวิตได้ด้วยเช่นกัน
ข้อดีของการฉีด ฟิลเลอร์
เมื่อเทียบกับหัตถการประเภทอื่นๆ การฉีดฟิลเลอร์มีข้อดีหรือลักษณะเด่นดังต่อไปนี้
- เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยชะลอวัย โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องเสี่ยงในการวางยาสลบ ไม่มีแผลหรือรอยแผลเป็น เห็นผลได้ทันที โดยไม่ต้องพักฟื้น
- เป็นวิธีที่ปลอดภัยและได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย แต่ต้องมั่นใจว่าฟิลเลอร์ที่ใช้เป็นของแท้ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของไทย ที่มีความปลอดภัยสูง สลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่ตกค้างในร่างกาย
- เป็นหัตถการที่สามารถเติมได้เรื่อยๆตามต้องการ สามารถปรับแต่งได้ หรือถ้าไม่ชอบก็สามารถฉีดสลายออกได้ด้วยเช่นกัน
- สามารถแก้ไขเฉพาะจุดให้ได้ผลที่แม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นร่องแก้ม ใต้ตาหรือคาง เป็นต้น
ฉีดฟิลเลอร์นานเท่าไรจึงจะเห็นผล?
โดยปกติ การใช้สารเติมเต็มประเภทฟิลเลอร์ จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนทันที โดยไม่ต้องพักฟื้น หลังฉีดอาจจะมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้นบ้าง แต่ผลลัพธ์ที่ชัดเจนจะอยู่ที่ประมาณ2-3 สัปดาห์หลังจากฉีด
การฉีดฟิลเลอร์อันตรายหรือไม่?
ฟิลเลอร์ชนิด Hyaluronic Acid ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของไทย นับว่ามีความปลอดภัยมาก เนื่องจากเป็นการเลียนแบบสารที่มีในร่างกายของคนเราและสามารถสลายไปได้เองตามธรรมชาติ โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายกับร่างกาย ยกเว้นฟิลเลอร์ที่เป็นของปลอม ที่สามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆขึ้นจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ นอกจากนั้นแล้ว เพื่อความปลอดภัย ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ที่มีความชำนาญและมีประสบการณ์ในการฉีด ซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับเทคนิคการฉีด เทคนิคการใช้องศาหรือทิศทางของเข็มที่ถูกต้อง เนื่องจากจะช่วยป้องกันไม่ให้ฉีดเข้าเส้นเลือดจนเกิดเป็นภาวะเลือดคั่ง (Hematoma) นั่นเอง
ฉีดฟิลเลอร์แต่ละจุดต้องใช้กี่CC?
ในการระบุว่าแต่ละจุด ต้องใช้ฟิลเลอร์กี่ CC นั้น แพทย์จะเป็นผู้ประเมินผิวหน้าของแต่ละคนให้ หากในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการยุบตัวของกระดูก ก็อาจจะใช้ปริมาณฟิลเลอร์มากขึ้น อีกทั้งการฉีดฟิลเลอร์ไม่จำเป็นต้องฉีดครั้งเดียวแต่สามารถเติมได้หลายครั้งตามความต้องการและความพึงพอใจ ซึ่งโดยทั่วไป มีปริมาณCC ที่ใช้ในแต่ละจุดดังนี้
- ฟิลเลอร์ขมับ ใช้ปริมาณ 2-4 CC
- ฟิลเลอร์แก้มส้ม ใช้ปริมาณ 1-2 CC
- ฟิลเลอร์ปาก ใช้ปริมาณ 1-2 CC
- ฟิลเลอร์คาง ใช้ปริมาณ 1-2 CC
- ฟิลเลอร์ร่องแก้ม ใช้ปริมาณ 1-3 CC
- ฟิลเลอร์ใต้ตา ใช้ปริมาณ 2-4 CC
- ฟิลเลอร์หน้าผาก ใช้ปริมาณ 3-5 CC
ราคาในการฉีดฟิลเลอร์
การฉีดฟิลเลอร์ในแต่ละจุดมีราคาที่แตกต่างกัน ซึ่งรวมไปถึงเรื่องของยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์ ชื่อเสียงของคลิกนิก และความเชี่ยวชาญของแพทย์ โดยเฉลี่ยแล้วการฉีดฟิลเลอร์ต่อ 1 cc มีราคาโดยประมาณ ดังต่อไปนี้
- ฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาประมาณ 8,000 บาทขึ้นไป
- ฟิลเลอร์ปาก ราคาประมาณ 13,000 บาทขึ้นไป
- ฟิลเลอร์คาง ราคาประมาณ 9,900 บาทขึ้นไป
- ฟิลเลอร์ร่องแก้ม ราคาประมาณ 9,900 บาทขึ้นไป
- ฟิลเลอร์ขมับ ราคาประมาณ 11,000 บาทขึ้นไป
- ฟิลเลอร์หน้าผาก ราคาประมาณ 14,000 บาทขึ้นไป
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับฟิลเลอร์
นอกจากรายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับฟิลเลอร์ที่กล่าวไป ยังมีเรื่องน่ารู้อีกมากมายเกี่ยวกับฟิลเตอร์ดังต่อไปนี้
ฟิลเลอร์อยู่ได้นานแค่ไหน?
โดยปกติฟิลเลอร์จะอยู่ได้นานประมาณ 6-24 เดือน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ รุ่นฟิลเลอร์ที่ฉีด ตำแหน่งที่ฉีด วิธีการฉีด ความชำนาญของแพทย์ รวมไปถึงการดูแลตนเองหลังฉีดฟิลเลอร์ด้วย
ฉีดฟิลเลอร์แล้วจะเป็นสิวไหม?
ปกติการฉีดผิวด้วยฟิลเลอร์แท้ จะไม่มีอาการข้างเคียงที่ทำให้เกิดสิวขึ้นได้ แต่ถ้าหากฉีดแล้วเกิดสิว อาจเนื่องมาจากสภาพปกติของผิวหรือเกิดจากปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม หรือเกิดอาการแพ้ฟิลเลอร์ เช่นเป็นผื่น บวม แดง ผิวหนังอักเสบ ถ้าในกรณีเช่นนี้ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาด่วน
ฉีดฟิลเลอร์เพื่อรักษาหลุมสิวได้หรือไม่?
การใช้ฟิลเลอร์ฉีดหลุมสิวเป็นหนึ่งวิธีที่ใช้ในการรักษาหลุมสิวให้ตื้นขึ้นได้ โดยใช้ สารเติมเต็มชนิด Hyarulonic Acid ฉีดเข้าไป ช่วยให้ผิวเรียบเนียน ผิวอิ่มฟู เต่งตึง โดยไม่ทิ้งรอยดำหรือรอยแผลเป็นแต่เนื่องจากฟิลเลอร์จะค่อยๆสลายไป ไม่ได้อยู่ถาวร ระยะยาว ดังนั้นจึงควรมาเติมทุกๆ6-8 เดือน เรียกได้ว่าเป็นการรักษาระยะสั้น
ฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน เกิดจากอะไร?
ฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน โดยมากมักเกิดบริเวณร่องแก้มและใต้ตา เกิดจากหลายปัจจัย ทั้งปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ เทคนิคการฉีด ลักษณะของผิวและกล้ามเนื้อในบริเวณที่ฉีด แต่สิ่งที่เป็นสาเหตุหลักคือแพทย์ที่ทำหัตถการขาดประสบการณ์และไม่มีเทคนิคการฉีดที่เหมาะสมในแต่ละจุดของใบหน้า รวมถึงฉีดฟิลเลอร์ในระดับที่ตื้นเกินไป จึงทำให้เกิดเป็นก้อน
ฟิลเลอร์แท้ ฟิลเลอร์ปลอม สังเกตอย่างไร?
วิธีการสังเกตง่ายๆคือให้ดูเลขที่ทะเบียน อย. เอกสารกำกับภาษาไทย รวมถึงเลขของล็อตการผลิตที่กล่อง เป็นต้น
สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ได้ไหม?
ในกรณีที่ฉีดฟิลเลอร์มาแล้วไม่สวย จับตัวเป็นก้อน หรือไม่พอใจในรูปทรง สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ได้ แต่ต้องมั่นใจว่าฟิลเลอร์ที่ฉีดเป็นชนิด Hyaluronic Acid เท่านั้น โดยจะฉีดเอนไซม์ยาไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase : HYAL) ในบริเวณที่ต้องการจะแก้ไข ซึ่งเอนไซม์ดังกล่าว จะช่วยย่อยสลายกรดไฮยาลูโรนิก ก่อนฉีดสลายฟิลเลอร์ แพทย์จะตรวจสอบข้อมูลของคนไข้ก่อน เช่น ใช้ฟิลเลอร์ยี่ห้อไหน รุ่นอะไร เป็นฟิลเลอร์แท้หรือไม่ ฉีดในตำแหน่งใด และมีระยะเวลาในการฉีดมานานแค่ไหน เป็นต้น
กรณีไหนที่ต้องใช้วิธีขูดฟิลเลอร์
กรณีที่ฉีดฟิลเลอร์แล้วมีอาการบวม แดง อักเสบ ซึ่งส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการใช้ฟิลเลอร์ปลอมมาฉีด หรือใช้เนื้อฟิลเลอร์ที่ไม่สามารถย่อยสลายไปได้เอง ทำให้เกิดเป็นก้อนแข็ง ฟิลเลอร์ไหลย้อย วิธีแก้ไขคือต้องขูดฟิลเลอร์ออกหรือต้องผ่าตัดเท่านั้น
“ฟิลเลอร์” เป็นสารเติมเต็มที่ถูกนำมาใช้ในหัตถการทางการแพทย์ เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องตามจุดต่างๆบนใบหน้า ให้ดูสมส่วน ยกกระชับ รวมถึงเพิ่มความชุ่มชื้น เรียกได้ว่าเป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับวงการความงามเลยก็ว่าได้ สิ่งสำคัญที่ควรทำก่อนฉีดฟิลเลอร์คือจะต้องทำความเข้าใจกับธรรมชาติของฟิลเลอร์ เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจที่ถูกต้องและเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ ควรเลือกฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐานและได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาเท่านั้น ควบคู่กับการเลือกคลินิกความงามที่ได้มาตรฐาน มีแพทย์ผู้ชำนาญการที่จะช่วยประเมินผิวหน้าได้อย่างถูกต้องและเลือกใช้วิธีการฉีดที่เหมาะสมตรงจุดที่ต้องการและตอบโจทย์ได้อย่างแท้จริงด้วย ยุคนี้เลือกที่จะสวยอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเลือกที่จะปลอดภัยควบคู่กันด้วย!