ปัญหาผิวหยาบกร้าน หย่อนคล้อย ไปจนถึงริ้วรอยเหี่ยวย่น เหล่านี้ล้วนเป็นผลจากการที่ผิวของเราขาดน้ำ ทำให้ผิวไม่มีความชุ่มชื้น ปัญหาผิวต่าง ๆ จึงมาเยือน พูดง่าย ๆ ก็คือผิวขาดน้ำเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาผิวเสื่อมสภาพอื่น ๆ ขึ้นมาเลยก็ว่าได้ ดังนั้น เรามาทำความเข้าใจถึงปัญหาผิวขาดน้ำกันให้มากขึ้นดีกว่าว่าเป็นยังไง ส่งผลเสียต่อผิวของเราในรูปแบบไหนได้บ้าง แล้วเราจะมีแนวทางยังไงในการฟื้นฟูผิวให้กลับมาเนียนนุ่มชุ่มชื้น บทความนี้มีคำตอบ
ปัญหาผิวขาดน้ำคืออะไรกันแน่?
ปัญหาผิวขาดน้ำ (dehydrated skin) เกิดมาจากชั้นใต้ผิวของเราขาดน้ำ ทำให้ความชุ่มชื้นใต้ชั้นผิวไม่เพียงพอ ซึ่งปัญหาผิวขาดน้ำนี้มักจะเกิดขึ้นเวลาที่เราดื่มน้ำน้อย พักผ่อนไม่เพียงพอ อดนอนเป็นเวลานาน ผลที่ตามมาก็คือต่อมไขมันใต้ผิวผลิตน้ำมันส่วนเกินออกมาเพื่อทดแทนน้ำที่ขาดหายไป ทำให้ผิวหน้ามันเยิ้มดูโทรมไม่สดใส ผิวหมองคล้ำไม่อิ่มฟู แต่งหน้าไม่ค่อยติดทน และจะก่อให้เกิดปัญหาผิวต่าง ๆ อย่างปัญหาสิว ริ้วรอย และความหย่อนคล้อยตามมาได้ในที่สุด โดยปัญหาผิวขาดน้ำเป็นอาการที่สามารถเกิดได้กับสภาพผิวทุกประเภทไม่ว่าคุณจะผิวแห้ง ผิวมัน ผิวผสม ก็สามารถเกิดปัญหาผิวขาดน้ำได้เหมือนกันหมด
กลไกของปริมาณน้ำในชั้นผิว
ผิวหนังของคนเราแบ่งออกเป็นหลัก ๆ เป็น 2 ชั้น คือ ชั้นหนังกำพร้า (epidermis) และชั้นหนังแท้ (Dermis) โดยชั้นผิวที่เกี่ยวข้องกับกลไกปริมาณน้ำในผิวมากที่สุดก็คือชั้นหนังกำพร้า จากงานวิจัยพบว่า 70% ของน้ำในผิวอยู่ที่ชั้นหนังกำพร้า ซึ่งในชั้นหนังกำพร้าก็จะแบ่งย่อยออกได้อีกหลายชั้นแต่ชั้นที่มีบทบาทมากที่สุดก็คือชั้น Stratum corneum เป็นชั้นผิวที่อยู่ด้านนอกสุด บริเวณผิวชั้นนี้จะมีเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) และเกี่ยวข้องกับกระบวนการระเหยของน้ำออกจากผิว
กลไกการระเหยน้ำออกจากชั้นผิวแบ่งออกได้เป็น 2 กลไก โดยกลไกแรกเกี่ยวข้องกับสาร NMF (Natural Moisturizing Factor) เป็นสารให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเกราะป้องกันผิวในชั้น Stratum corneum ซึ่งมีส่วนสำคัญมากในการช่วยกักเก็บน้ำ ซึ่งประกอบไปด้วยกรดอะมิโน กรดแลคติก เคราติน กรดไขมัน เซราไมด์ และคอเลสเตอรอล เป็นต้น เมื่อเซลล์ผิวขาดสาร NMF ก็จะทำให้ผิวสูญเสียน้ำและความชุ่มชื้นได้ง่ายขึ้น ส่วนกลไกที่สองคือกลไกที่น้ำระเหยออกจากต่อมเหงื่อและรูขุมขนได้โดยตรง ซึ่งน้ำที่ระเหยออกจากรูขุมขนนี้เป็นคนละส่วนกับเหงื่อ
ปัจจัยที่มีผลต่อการระเหยน้ำออกจากชั้นผิว
อย่างที่กล่าวไปว่ากลไกการระเหยน้ำออกจากชั้นผิวนั้นแบ่งออกได้เป็น 2 กลไก คือ การระเหยน้ำออกจากผิวชั้น Stratum corneum และการระเหยน้ำออกจากรูขุมขน ดังนั้น ปัจจัยที่มีผลจึงต้องแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ด้วย ดังนี้
- ปัจจัยที่มีผลต่อการระเหยน้ำออกขากผิวชั้น Stratum corneum
ชั้นผิว Stratum corneum มีโครงสร้างของเกราะป้องกันผิวและสาร NMF ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น หากโครงสร้างเหล่านี้อ่อนแอหรือถูกทำลายก็จะทำให้ผิวกักเก็บน้ำไม่อยู่และสูญเสียความชุ่มชื้นจนเกิดภาวะผิวขาดน้ำขึ้น ซึ่งก็เกิดมาจากปัจจัยเหล่านี้
- อายุ
ยิ่งอายุมากขึ้นเซลล์ผิวก็จะเสื่อมสภาพสาร NMF ก็จะถูกผลิตออกมาน้อยลง เกราะป้องกันผิวอ่อนแอและทำงานได้ลดน้อยลงส่งผลให้ผิวขาดน้ำและความชุ่มชื้น
- แสงแดด
ในแสงแดดจะมีรังสี UV ทั้ง UVA และ UVB ซึ่งจะส่งถ่ายพลังงานทำลายโมเลกุลของสาร NMF ในเกราะป้องกันผิว และยังกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระไปทำลายโครงสร้างผิว ส่งผลให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอ น้ำระเหยออกจากผิวได้ง่ายขึ้น ผิวจึงขาดน้ำและความชุ่มชื้น
- พฤติกรรมทำร้ายผิว
พฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการทำร้ายผิว เช่น สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ การใช้เครื่องสำอางและสกินแคร์ที่ไม่เป็นมิตรกับผิว การสครับผิวบ่อย ๆ รวมไปถึงการใช้โฟมล้างหน้าที่ทำลายค่า PH ผิวที่มักทำให้หน้าสะอาดจนมีเสียงเอี๊ยดอ๊าด เหล่านี้ทำให้ผิวแห้งตึงและสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย
- ปัจจัยที่มีผลต่อการระเหยน้ำออกจากรูขุมขน
ตามสภาวะปกติของผิวจะระเหยน้ำออกจากรูขุมขนในสภาวะที่ไม่มีการหลั่งเหงื่อโดยที่เราไม่รู้สึกตัวซึ่งจะมีปริมาณ 2.25 ไมโครลิตรต่อตารางเมตรต่อวินาที ถ้าหากมีการระเหยในอัตราที่มากกว่านี้ก็จะทำให้ประสบกับปัญหาผิวขาดน้ำ ซึ่งปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการระเหยน้ำออกจากรูขุมขนมี ดังนี้
- อุณหภูมิและความชื้น
เมื่ออุณหภูมิของสภาวะแวดล้อมสูงขึ้น ความชื้นของอากาศสูงขึ้นผิวของเราชุ่มชื้นมากขึ้น เพราะน้ำไม่ระเหยออกมาจากรูขุมขน ต่างจากในที่อุณหภูมิเย็นผิวของเราจะสูญเสียน้ำได้ง่าย สังเกตดูว่าเวลาที่เราอยู่ในห้องแอร์มักจะทำให้ผิวแห้งและขาดความชุ่มชื้นได้ง่าย เช่นเดียวกันกับในฤดูหนาวผิวของเราจะแห้งและขาดน้ำมากกว่าในช่วงฤดูร้อน
- การหลั่งเหงื่อ
เมื่อร่างกายเสียเหงื่อจะยิ่งไปกระตุ้นให้น้ำใต้ชั้นผิวระเหยออกมาปนกับเหงื่อมากขึ้น ดังนั้นหากเราต้องทำกิจกรรมที่ต้องเสียเหงื่อมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายหรือกิจกรรมกลางแจ้งควรหมั่นจิบน้ำบ่อย ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
- โรคผิวหนัง
โรคผิวหนังบางชนิด เช่น โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ โรคดักแด้ สะเก็ดเงิน ฯลฯ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้น้ำระเหยออกจากผิวหนังง่ายขึ้น ผิวจึงขาดน้ำและความชุ่มชื้น
ความเหมือนที่แตกต่างของปัญหาผิวขาดน้ำ VS ผิวแห้ง
ปัญหาผิวขาดน้ำฟังดูเผิน ๆ อาจทำให้เข้าใจได้ว่าคงเหมือนกับปัญหาผิวแห้ง แต่จริง ๆ แล้วเป็นความเข้าใจผิดที่มักทำให้สับสน เพราะปัญหาผิวขาดน้ำนั้นเกิดจากการที่ใช้ใต้ผิวขาดความชุ่มชื้นเพียงระยะเวลาหนึ่งจากสาเหตุปัจจัยต่าง ๆ จนทำให้ไขมันส่วนเกินผลิตออกมามากขึ้น ต่างจากผิวแห้งเป็นสภาพผิวที่มีมาแต่กำเนิด มีสาเหตุจากต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมาน้อยกว่าปกติ ซึ่งจะผลิตไขมันออกมาน้อยไปจนตลอดชีวิตไม่เพิ่มและไม่ลดจึงทำให้ผิวแห้งกร้าน
ธรรมชาติของสภาพผิวที่แห้งก็ยังมีความชุ่มชื้นจากน้ำใต้ผิวอยู่ แต่ถ้ามีปัญหาผิวขาดน้ำร่วมด้วยก็จะทำให้ผิวแห้งมากขึ้นกว่าเดิมเพราะไม่สามารถผลิตน้ำมันส่วนเกินออกมาหล่อเลี้ยงผิวได้ หนักเข้าอาจจะทำให้ผิวแตกและลอกออกเป็นขุย
กล่าวง่าย ๆ เลยก็คือปัญหาผิวขาดน้ำเป็นปัญหาผิวที่เกิดจากความชุ่มชื้นใต้ผิวไม่เพียงพอทำให้ผิวทั้งแห้งและมันในเวลาเดียวกัน ส่วนปัญหาผิวแห้งเกิดจากไขมันผลิตออกมาน้อยลงลักษณะของผิวจึงแห้งแต่ไม่มัน อีกทั้งผิวขาดน้ำจะมีสภาพที่ดูอ่อนล้า โรยรา และไม่สดใสกว่าสภาพผิวแห้งทั่วไป
เช็คอาการสัญญาณของผิวขาดน้ำ
อาการของผิวขาดน้ำที่มักจะเห็นได้ชัดก็คือผิวจะมีความมันเคลือบ แต่ใต้ผิวจะแห้งกร้าน เมื่อสัมผัสแล้วพบว่าผิวไม่นุ่มเนียน นอกจากนั้นผิวยังหมองโทรมมองเห็นเส้นริ้วรอยเล็ก ๆ กระจายตัว ที่สำคัญแต่งหน้าไม่ติด พบปัญหาหน้าเยิ้มเครื่องสำอางหลุดระหว่างวัน ถ้าคุณมีปัญหาเหล่านี้ให้สันนิษฐานไว้เลยว่าเข้าข่ายผิวขาดน้ำ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นปัญหาผิวขาดน้ำที่พบในแต่ละสภาพผิวก็มีความแตกต่างกันไป
- คนผิวมัน
สภาพผิวของคนผิวมันจะผลิตไขมันส่วนเกินออกมามากอยู่แล้วยิ่งถ้าประสบกับปัญหาผิวขาดน้ำร่วมด้วยแล้วละก็จะยิ่งทำให้ผิวยิ่งผลิตไขมันส่วนเกินออกมามากขึ้นกว่าเดิม ลักษณะผิวก็จะมีความมันมากและก็ยังมีความกร้านของผิวจากการขาดน้ำร่วมด้วย
- คนผิวแห้ง
สภาพของคนผิวแห้งจะผลิตไขมันออกมาน้อยอยู่แล้ว ทีนี้พอผิวขาดน้ำก็ไม่มีไขมันผลิตออกมาเหมือนคนผิวมันทำให้ผิวแห้งแสบแดงมากยิ่งขึ้น บางรายอาจอักเสบจนระคายเคืองและแตกลอกออกเป็นขุย
- คนผิวผสม
สภาพผิวผสมบริเวณที่เรียกว่าทีโซน (T- zone) ตรงหน้าผาก จมูก และคาง จะมีความมันแต่บริเวณอื่น ๆ จะแห้ง ดังนั้นเมื่อคนผิวผสมเกิดสภาวะผิวขาดน้ำก็จะมีอาการแบบคนผิวแห้งและผิวมันผสมกัน คือบริเวณที่ผิวมันก็จะมันมากขึ้นกว่าเดิม ส่วนบริเวณที่ผิวแห้งก็จะแห้งจนลอกเป็นขุย
ปัญหาผิวที่เกิดจากผิวขาดน้ำ
- เกิดปัญหาสิวจากการที่ผิวจะผลิตไขมันส่วนเกินออกมามากขึ้นจนอุดตันตามรูขุมขนจนกลายเป็นสิวขึ้นมา
- ผิวสาก หยาบกร้าน และไม่เรียบเนียน
- รูขุมขนกว้างจากการที่ไขมันผลิตออกมามากเกินไป
- ผิวหย่อนคล้อยไม่ยกกระชับ เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น
- ผิวไม่แข็งแรง เพราะเกราะป้องกันผิวอ่อนแอ ทำให้แพ้ระคายเคืองได้ง่าย
- กระบวนการผลัดเซลล์ผิวแปรปรวน ผิวจึงหมองคล้ำและโรยรา
วิธีการฟื้นฟูดูแลผิวจากปัญหาผิวขาดน้ำ
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์สกินแคร์และเครื่องสำอางที่มีสารเคมี ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนปราศจากแอลกอฮอล์ น้ำหอม และพาราเบน เพราะสารเหล่านี้จะทำให้ผิวขาดน้ำ
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่มีเม็ดบีสต์หยาบ เพราะจะทำร้ายเกราะป้องกันผิวทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น และควรหลีกเลี่ยงโฟมล้างหน้าที่ใช้แล้วมีเสียงเอี๊ยด เพราะจะทำให้ผิวแห้งและขาดความชุ่มชื้น
- บำรุงผิวด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์ทันทีหลังจากล้างหน้าเสร็จเพื่อช่วยกักเก็บและเติมเต็มความชุ่มชื้นให้กับผิว
- ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารสกัดที่ช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นให้กับผิว เช่น ไฮยาลูลอนิกแอซิด คอลลาเจน วิตามินอี เป็นต้น
- ทาผลิตภัณฑ์กันแดดเป็นประจำเพื่อป้องกันไม่ให้รังสียูวีมาทำร้ายผิวจนขาดความชุ่มชื้น
- ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 2 ลิตร หรือประมาณ 8 แก้ว เพื่อลดการสูญเสียน้ำจากชั้นผิว
- มาส์กหน้าเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อช่วยปรนนิบัติผิวให้ผ่อนคลาย และช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นให้กับผิว
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะพืชผักและผลไม้ที่มีวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระสูง จะช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง ช่วยลดการสูญเสียน้ำออกจากชั้นผิวได้
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะก่อให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้นในร่างกายซึ่งจะส่งผลร้ายกับผิว ทำให้ผิวเสื่อมสภาพและขาดความชุ่มชื้น
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ จะช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับมาแข็งแรงจากภายใน ลดความเครียดและเหนื่อยล้าของผิวให้กลับมาเปล่งปล่งสุขภาพดี
ปัญหาผิวขาดน้ำเป็นปัญหาผิวที่ไม่อาจละเลยได้ เพราะจะเป็นต้นเหตุให้เกิดปัญหาผิวอื่น ๆ ตามมา แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นปัญหาที่อยากเกินจะรับมือ เพียงแค่เราใส่ใจกับการดูแลผิว หลีกเลี่ยงปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น พร้อมกับมองหาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีคุณภาพมาเป็นตัวช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นให้กับผิวเท่านี้ก็สามารถจัดการกับปัญหาผิวขาดน้ำได้อย่างอยู่หมัดแล้ว