แสงแดด ตัวการเกิดฝ้า กระ รับมืออย่างไรให้ถูกวิธี

ฝ้า กระ ปัญหาผิวที่พบได้บ่อยจากทุกเพศทุกวัย มักขึ้นบริเวณใบหน้า ลำคอ และโหนกแก้ม หน้าผาก มีลักษณะเป็นจุดหรือผื่นสีน้ำตาล ดำ หรือน้ำตาลอมเหลือง ฝ้าและกระเกิดจากหลายสาเหตุ หนึ่งในสาเหตุหลักคือ แสงแดด

แสงแดดคืออะไร ?

แสงแดดคือรังสีที่มาจากดวงอาทิตย์ มองเห็นได้ในรูปของแสงที่ส่องแสงลงมาจากท้องฟ้าในระหว่างวัน แสงแดดเป็นแหล่งพลังงานสำคัญที่สนับสนุนการมีชีวิตและความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต นอกจากนี้แสงแดดยังมีผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าฤดูไหนเราก็หลีกเลี่ยงแสงแดดไม่พ้น 

แสงแดดมีประโยชน์ต่อสุขภาพของผิวและร่างกายสำหรับในแง่ของประโยชน์ แสงแดดช่วยในการมองเห็น ช่วยให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย นอกจากนั้นยังเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสังเคราะห์วิตามินดีให้กับร่างกาย แต่การได้รับแสงแดดเกินไปหรือโดยไม่ระมัดระวังอาจทำให้เกิดปัญหาผิวต่าง ๆ ได้อาจทำให้เกิดผิวหนังไหม้แดด มีกระ ฝ้า ผิวหนังแก่ก่อนไว รวมถึงมะเร็งผิวหนัง

ทำไมแสงแดดถึงอันตราย ?

รังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดดเป็นตัวกระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงหน้าร้อน ส่งผลให้ผิวคล้ำขึ้นและเกิดฝ้า กระ ได้ นอกจากนี้การโดนแสงแดดสะสมเป็นเวลานานโดยไม่มีการป้องกันอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนัง หากป้องกันและดูแลผิวพรรณโดยหลีกเลี่ยงแสงแดดและใช้ครีมกันแดดสม่ำเสมอ จะช่วยลดปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้ากระและมะเร็งผิวหนังได้

ในแสงแดดจะประกอบไปด้วยรังสีและแสงหลายชนิด เช่น

  1. แสงที่มองเห็นหรือ “Visible light” เป็นช่วงคลื่นรังสีที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มีพลังงานต่ำ แต่ถ้าได้รับเป็นเวลานานจะทำให้ผิวคล้ำเสีย ทำให้ฝ้าเข้มขึ้น หรือผิวเสื่อมจากแดดได้ เนื่องจากสามารถกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระ
  2. แสงที่มองไม่เห็นหรือ “Invisible light” คือรังสีที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เนื่องจากมีความยาวคลื่นที่เกินนอกขอบของช่วงคลื่นของสีที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ อัลตราไวโอเลต หรือรังสียูวี (UV) แม้ได้รับเพียงเล็กน้อยตอนแดดจัด ก็สามารถทำให้คอลลาเจนเสื่อมสภาพได้ อย่างไรก็ตาม แสงแดดสามารถทำร้ายผิวของเราได้ตลอดปี ไม่ว่าจะเป็นแดดอ่อนหรือแดดจัด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาและความเข้มของรังสียูวีในแสงแดด โดยรังสี UV แบ่งได้เป็น 3 ชนิด คือ
  • รังสียูวีเอ (UVA) รังสีอัลตราไวโอเลตที่ยาวที่สุด ความยาวรังสีสูงถึง 300-400MM ทะลุไปถึงชั้นผิวหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้ได้ แต่หากได้รับรังสี UVA มากๆ จะทำให้สีผิวคล้ำ ขาดความสดใส เกิดอนุมูลอิสระในผิวหนัง ทำลายความยืดหยุ่นของเซลล์ ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น เกิดริ้วรอยก่อนวัย ผิวหนังเสื่อมโทรม เหี่ยวย่น ผิวคล้ำ หน้าหมองคล้ำ เกิดฝ้า หรือ ฝ้าแดด รวมถึงจุดด่างดำ แถมรังสียูวีเอยังสามารถทะลุกระจกเข้ามาทำร้ายชั้นผิวได้อีกด้วย
  • รังสียูวีบี (UVB) คือ รังสีอัลตราไวโอเลตที่มีความยาวคลื่นรองลงมา ความยาวรังสีสูงถึง 290-320MM จะถูกกั้นโดยชั้นบรรยากาศบางส่วน และลงมาถึงผิวโลกประมาณร้อยละ 0.1 ของแสงทั้งหมด ไม่สามารถทะลุสู่ชั้นผิวหนังที่ลึกได้เท่ากับรังสี UVA แต่ก็มีผลทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น เกิดอาการแสบร้อน แดง และไหม้เกรียม ทำให้รู้สึกแสบผิวและเกิดรอยดำจากแดดได้ โดยเฉพาะช่วงเวลาตั้งแต่ 10.00-16.00 น. รังสีนี้จะมีความแรงสูงสุด สามารถปรับสภาพผิวชั้นนอกให้แปรสภาพเป็นภาวะผิวไหม้แดด และบางบริเวณของผิวอาจเกรียมแดดในระยะสั้น หากปล่อยให้รับรังสี UVB ระยะยาวอาจก่อให้เกิดการกระตุ้น DNA ใต้ผิวหนังเปลี่ยนสภาพเซลล์เป็นมะเร็งผิวหนังได้
  • รังสียูวีซี (UVC) เป็นรังสีที่มีช่วงความยาวคลื่นสั้นที่สุด เดิมทีโอโซนจะกรองรังสีนี้ไว้ได้ทั้งหมด แต่ปัจจุบันเนื่องจากมนุษย์ก่อมลพิษจนไปทำลายชั้นโอโซนให้บางลง รังสี UVC จึงทะลุชั้นโอโซนมายังพื้นโลกได้เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ยังมี แสงสีฟ้า (Blue Light or HEVIS light) ซึ่งเป็นแสงที่มีอยู่รอบตัวเราไม่ว่าจะเป็น การใช้งานโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ โดยจะไปทำปฏิกิริยากับผิวด้วยการเข้าไปสร้างสารอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวของเราเสื่อมเร็วมากขึ้น และยังทะลุเข้าชั้นผิวได้ลึกจนถึงชั้นหนังแท้ (Dermis) หรือชั้นที่มีคอลลาเจน อีลาสตินด้วย ซึ่งแสงสีฟ้านี้จะไปกระตุ้นผิวให้เกิดจุดด่างดำ ฝ้า และทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอลง สีผิวไม่สม่ำเสมอ ดังนั้น ไม่ว่าจะทำงานอยู่ในที่ร่ม ในตัวอาคารหรือห้องที่ปิดสนิท แต่คุณก็ยังต้องเผชิญแสง UV จากสิ่งเหล่านี้ จึงควรทาครีมกันแดดเป็นประจำ

  1. แสงอินฟราเรด (infrared) แสงอินฟาเรดหรือแสงที่ให้ความร้อน มีปริมาณ 50% ของแสงแดดทั้งหมด มีพลังงานต่ำกว่าแสงที่ให้ความสว่างจึงมีพลังงานต่ำที่สุด โดย Infrared A สามารถกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระได้ แต่ต้องใช้ปริมาณสูงมาก ทำให้ผิวแก่ก่อนวัย ย่อยสลายคอลลาเจน และเกิดรอยเหี่ยวย่นของผิวหนัง 

ความแตกต่างของรังสี UVA และรังสี UVB

รังสี UVA และ UVB คือ รังสีอัลตาไวโอเลตที่ส่งผลทำให้สุขภาพผิวหมองคล้ำ จนไปถึงก่อให้เกิดโรคผิวหนังต่างๆได้ และ UVA UVB ต่างกันอย่างไร มีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้รังสีสองชนิดนี้มีผลต่อการดำเนินชีวิตของคนในยามกลางวันบ้าง

รังสี UVA : มีอยู่อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน มีความเข้มของรังสีคงที่ตลอดวัน

  • เป็นรังสีที่มีความยาวสูงสุด แต่พลังงานต่ำกว่า UVB สามารถทะลุเข้าถึงชั้นผิวหนังกำพร้าและหนังแท้ได้
  • เป็นรังสีที่โดนทะลุผิวหนังได้ทุกที่ๆมีแสงแดดเข้าถึง ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้กำแพงกระจกบนอาคารส่วนไหน รังสีนี้สามารถทะลุเข้าถึงรูขุมขนของเนื้อผิวได้ในช่วงเวลากลางวัน สามารถทะลุผ่านชั้นเมฆและหมอกควันได้ไม่จำกัด
  • ก่อให้เกิด สภาพผิวหนัง หม่นหมอง ผิวคล้ำ ฝ้ากระจุดด่างดำ บริเวณใบหน้าเหี่ยว ตีนกาขึ้นก่อนวัยอันควร เป็นรังสีที่กระตุ้นเม็ดสีเมลานิน ทำให้ผิวเป็นสีน้ำตาลในระยะสั้น

รังสี UVB : เข้มสุดในช่วง 10.00-16.00 น.

  • เป็นรังสีที่ความยาวรัศมีที่สั้นกว่า UVA แต่เป็นรังสีที่มีพลังงานสูงกว่า สามารถทะลุเข้าถึงผิวหนังชั้นกำพร้าได้เท่านั้น
  • เป็นรังสีที่ไม่สามารถทะลุเข้าผ่านกระจกบนอาคารได้
  • ก่อให้เกิด ผิวไหม้แดด เป็นรอยคล้ำดำบางบริเวณที่ถูกอาบรังสีชนิดมากเกินไปและอาจส่งผล DNA ใต้หนังกำพร้าแปรสภาพเป็นเซลล์มะเร็งผิวหนังในอนาคต

แสงแดดประกอบด้วยรังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet) หรือรังสียูวี (UV) ที่สามารถทำให้คอลลาเจน (เซลล์เนื้อเยื่อของผิวหนัง) เสื่อมสภาพ สารอนุมูลอิสระ ที่เกิดจากร่างกายต่อสู้กับสิ่งระคายเคืองเป็นเวลานาน หากสารตัวนี้หลงเหลืออยู่ในผิวหนัง สามารถทำลายเซลล์รอบๆ ตัว ส่งผลให้เกิดเป็นมะเร็งผิวหนังได้

โรคผิวหนังที่เกิดขึ้นจากแสงแดด

แสงแดดสามารถเป็นสาเหตุของหลายโรคผิวหนัง ดังนี้

  • มะเร็งผิวหนัง (Skin Cancer) : การสัมผัสกับรังสี UV จากแสงแดดเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งผิวหนัง มะเร็งผิวหนังมีหลายรูปแบบรวมถึงโรคมะเร็งผิวหนังชนิด Melanoma (Malignant melanoma) พบน้อยที่สุดในมะเร็งผิวหนัง 3 ชนิดนี้ แต่เป็นอันตรายเนื่องจากแพร่กระจายได้มากที่สุด เกิดจากเซลล์เม็ดสีมีการแบ่งตัวเพิ่มขึ้นผิดปกติ อาจลุกลามไปจุดสำคัญ เช่น สมองได้ และโรคมะเร็งผิวหนังชนิดไม่ใช่เมลาโนมา (Non melanoma skin cancer) ได้แก่ Basal cell Carcinoma (BCC) เป็นมะเร็งผิวหนังที่พบมากที่สุด ลักษณะเป็นก้อนเนื้อนูนสีเดียวกับผิวหนัง หรือ ชมพูใส ผิวมันแผลตรงกลางมีขอบยกนูนโตช้าบางครั้งอาจมีสีดำคล้ายไฝ มักเกิดบริเวณที่ได้รับแสงแดด หรือนอกร่มผ้า, ชนิด Squamous cell carcinoma(SCC) พบอุบัติการณ์น้อยกว่าชนิด BCC 
  • ริ้วรอยก่อนวัย (Early Wrinkles) : การสัมผัสรังสี UV จากแสงแดดเป็นสาเหตุของการเสื่อมสภาพของผิวและการเกิดริ้วรอย นอกจากนี้ยังส่งผลให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำบนใบหน้า
  • ผิวไม้แสงแดด (Sunburn) : ส่วนใหญ่เกิดจากรังสี UVB จากแสงแดดสามารถทำให้ผิวแดง เจ็บและพุพอง อาจไม่เกิดขึ้นทันที ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง เมื่อผิวได้รับการสัมผัสรังสีแดดในระดับเข้มข้นสูงทำให้หน้าหมองคล้ำ
  • สิวผด (Acne Aestivalis /Mallorca Acne) : เกิดขึ้นเมื่อผิวหน้าถูกแสงแดดและแสง UV บวกกับการใช้สกินแคร์หรือเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมบางอย่าง ซึ่งทำให้เกิดการระคายเคืองผิวและเกิดปัญหาสิวตามมา ไม่ว่าจะเป็นสิวผด สิวอุดตัน ผดผื่น ผื่นคัน เป็นต้น
  • อาการแพ้แดดไม่ทราบสาเหตุ (Polymorphous Light Eruption, PMLE) : โรค PMLE เป็นโรคผิวที่มีผลกระทบจากรังสี UVA หรือ UVB โดยอาการแพ้แดดนี้จะมีอาการผิวแดง ผิวแสบคับ ผิวแห้ง ผิวลอกเป็นขุย เป็นปัญหาที่สามารถพบได้บ่อยที่สุด

เพื่อป้องกันการเกิดโรคผิวหนังที่เกิดจากแสงแดด ควรใช้ครีมกันแดดที่มี SPF สูง, สวมเสื้อผ้าที่ปกป้องผิว, ใส่หมวก, และหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดในช่วงเวลาที่รุนแรงสุด เช่นตอนกลางวัน ส่วนในกรณีที่มีประวัติครอบครัวเรื่องมะเร็งผิวหนัง ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและคำแนะนำในการป้องกันโรคผิวหนังในระยะยาว

รับมือ ‘ฝ้าแดด’ ให้ถูกวิธีเห็นผลได้

สำหรับฝ้าแดดนั้น แม้ว่าตัวการหลักที่ทำให้เกิดฝ้าแดดขึ้นคือแสงแดด แต่แสงของ UV ที่มาจากหน้าจอมือถือหรือจอคอมพิวเตอร์ก็สามารถส่งผลได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นการดูแลฝ้าแดดในระยะเริ่มต้น ที่คุณสามารถดูแลได้ด้วยตัวเอง คือ

1.เลี่ยงการเผชิญแสงแดดเป็นเวลานาน

หากจำเป็นต้องออกแดดควรใช้อุปกรณ์ป้องกันแดด ควรสวมหมวก กางร่ม สวมเสื้อผ้าอย่างมิดชิดเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด รวมทั้งหลีกเลี่ยงความร้อนทุกรูปแบบเพราะความร้อนกระตุ้นให้ฝ้าเข้มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด หน้าเตาทำอาหาร 

2.ทาครีมกันแดด 

ทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกไปเผชิญแสงแดดภายนอก ถือเป็นหนึ่งอาวุธสำคัญ ในการปกป้องผิวจากแสงแดด ขณะเดียวกัน แม้จะทาทุกวัน แต่ก็ต้องทาครีมกันแดดให้ถูกวิธี โดยเฉพาะการทาบริเวณใบหน้า ลำคอ และผิวบริเวณที่ไม่มีเสื้อผ้าปกคลุมให้ถูกวิธี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากแสงแดดซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาฝ้า กระแดด จุดด่างดำ หรือมะเร็งผิวหนัง ในภายหลังได้ ครีมกันแดดจึงเป็นตัวช่วยสำคัญต่อคนเป็นฝ้ามาก ๆ เพราะจะช่วยปกป้องผิวไม่ให้เกิดปัญหาลุกลามไปมากกว่านี้

ขอแนะนำ melan 130+ pigment controll ครีมกันแดดที่ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด SPF 50+ กันแดดสูตรช่วยลดเลือน และป้องกันการเกิดจุดด่างดำ ความหมองคล้ำของผิว เนื้อกันแดดสีเบจ ช่วยปกปิดจุดด่างดำ และรอยหมองคล้ำอย่างเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีเนื้อสัมผัสที่บางเบา ช่วยให้ผลิตภัณฑ์เกลี่ยง่าย

3.เลือกผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดเลือนฝ้า

ฝ้าเป็นปัญหาผิวที่รักษาให้หายขาดได้ยาก เนื่องจากมีปัจจัยการเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ ปัจจุบันแนวทางการลดเลือนการเกิดฝ้าได้ดีที่สุดคือการจัดการที่ต้นตอของการเกิดฝ้า ครีมหรือผลิตภัณฑ์ทาฝ้าที่เลือกใช้จึงควรมีประสิทธิภาพในการยับยั้งการสร้างเม็ดสีที่เชลล์เมลาโนไซต์ หรือ เมลานิน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ ยับยั้งการขนส่งเม็ดสีที่ผลิตออกมาสู่ผิวหนังด้านบน ลดการสะสมปริมาณเม็ดสีในผิว ขจัดเม็ดสีด้านบนออกไป ขจัดฝ้ากระจุดด่างดำที่ปรากฏบนผิว

cosmelan pack ผลิตภัณฑ์ช่วยลดเลือนฝ้า กระ และจุดด่างดําได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้รอยดําต่างๆ บนใบหน้าแลดูจางลง ปรับสภาพผิวให้ดูกระจ่างใสขึ้น อีกทั้งยังช่วยป้องกันการเกิดรอยดําขึ้นใหม่ และป้องกันการกลับมาหรือ เกิดรอยดําซํ้า จึงช่วยลดเลือนฝ้า กระ และจุดด่างดําอย่างได้ผล สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ผ่านการทดสอบจากผู้เชียวชาญด้านผิวหนัง จัดจำหน่ายมากกว่า 90 ประเทศทั่วโลก นำเข้าจากประเทศสเปน ปลอดภัยต่อผิวช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้นใน 4 สัปดาห์

เราได้ทราบแล้วว่าแสงแดดและรังสี UV เป็นสาเหตุหลักของการเกิดฝ้าแดด ดังนั้นเพื่อป้องกันและดูแลปัญหาฝ้าแดดอย่างได้ผล จึงควรป้องกันตนเองด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดทุกครั้งไม่ว่าจะออกจากบ้านหรือไม่ก็ตาม เพราะรังสี UV มีทั้งจากแสงแดดและแสงจากหน้าจอ ป้องกันตนเองด้วยเสื้อผ้าที่มิดชิดเพิ่มเติมหากต้องออกแดด และเลือกผลิตภัณฑ์ที่ทรงประสิทธิภาพในการช่วยลดเลือนริ้วรอยอย่างได้ผลจากต้นตอ จากนี้ความกังวลจากปัญหาฝ้าแดดจะลดลงไปได้อย่างแน่นอน