เมื่อพูดถึงเรื่องสิว เป็นปัญหาผิวหนังที่พบบ่อยที่สุดปัญหาหนึ่ง แต่เป็นปัญหาที่ส่งผลต่อสภาพจิตใจได้อย่างมากต่อคนไข้ การรักษาก็มีหลายวิธีทั้งยาทา กินยา ทำทรีตเมนต์ ทำผลัดผิวด้วยกรดผลไม้ เลเซอร์ต่างๆ มากมายจนบางครั้งอาจทำให้สับสน แต่ว่าวิธีไหนล่ะที่จะเป็นวิธีการรักษาที่ดีที่สุดต่อคนไข้เอง จากประสบการณ์ทำให้หมอเกิดความคิดของ “การรักษาสิวแบบยั่งยืน” คือ เราควรรักษาโดยไม่ใช้ยาหรือสารเคมีที่ส่งผลให้ผิวหน้าบางแห้ง แดง ระคายเคืองง่าย เพราะในระยะยาวจะส่งผลให้สิวกลับแย่ลง ผิวหน้าบาง แดง ระคายเคือง ไวต่อแสง ฯลฯ แต่ต้องเน้นหลักการฟื้นฟูบำรุงให้ผิวแข็งแรง ไม่ใช่การขัดผิวลอกผิวหรือการทำทรีตเมนต์ แต่การรักษาควรรักษาที่สาเหตุ เช่น ต่อมไขมันและลดการเกิดสิวอุดตันด้วยเทคโนโลยีที่ดีที่สุด เพื่อให้เกิดผลการรักษาที่ดีที่สุดต่อคนไข้ และให้คำแนะนำคนไข้สามารถดูแลผิวเป็นเพื่อคงสภาพความแข็งแรง อ่อนเยาว์ของผิวในระยะยาวต่อไปโดยด้วยตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ
สาเหตุการเกิดสิว เกิดจากอะไร?
กระบวนการการเกิดสิวนั้นค่อนข้างซับซ้อน สาเหตุการเกิดสิวจึงมีหลายปัจจัยประกอบกัน ซึ่งเมื่อเป็นสิว ปัจจัยสาเหตุการเกิดสิวดังกล่าวอาจเกิดขึ้นเพียงแค่อย่างเดียว หรือเกิดจากหลายๆอย่างร่วมกันก็ได้ โดยสิวนั้นเกิดจากปัจจัยของการเกิดสิว 4 ปัจจัย ดังนี้
- เซลล์ในรูขุมขนเพิ่มจำนวนเซลล์มากเกินไป เซลล์ที่อยู่ในรูขุมขนที่เรียกว่าเซลล์ keratinocyte จะผลัดตัวออกมาและหลุดออกจากรูขุมขนเป็นปกติเมื่อหมดอายุไข แต่ถ้า keratinocyte เพิ่มจำนวนเซลล์มากเกินไป จนเซลล์ตายและหลุดออกมามากกว่าปกติ อาจทำให้เซลล์ที่ต้องถูกผลัดออกนั้นเกาะตัวและสะสมกันอยู่ภายในรูขุมขน เมื่อกลุ่มเซลล์ keratinocyte เกาะตัวรวมกันขวางรูขุมขนอยู่ จะทำให้สิ่งที่สร้างจากส่วนต่างๆ ในรูขุมขนหรือสิ่งที่มีอยู่ในรูขุมขนอยู่แล้ว อย่างเคราติน น้ำมันจากต่อมไขมัน และแบคทีเรียสะสมจนเกาะตัวกันเป็นก้อน ทำให้ปากรูขุมขนหรือรูขุมขนส่วนบนขยายออก เกิดเป็นสิวอุดตันที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า หรือ “microcomedones” เมื่อเคราติน น้ำมันจากต่อมไขมัน และแบคทีเรียสะสมรวมตัวกันเรื่อยๆ microcomedones จะใหญ่ขึ้นกลายเป็น comedones หรือที่เรียกว่า “สิวอุดตัน” นั่นเอง
- ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป ปกติแล้วต่อม มีหน้าที่ผลิตน้ำมัน ออกมาเคลือบผิวหนังไว้ เป็นเกราะป้องกันผิวหนังและช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น แต่หากต่อมไขมันผลิต sebum มากเกินไป จะทำให้เกิดสิวได้ใน Sebum ประกอบด้วยไขมันหลายตัว โดยจะมีไตรกลีเซอไรด์ เป็นหลัก ซึ่งไตรกลีเซอร์ไรด์บนผิว จะถูกแบคทีเรีย P.acne ย่อยให้กลายเป็นกรดไขมันอิสระ กรดไขมันอิสระดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมให้สภาพแวดล้อมของผิวคนเราเหมาะกับการอยู่อาศัยของแบคทีเรีย P.acne มากขึ้น เมื่อสภาพแวดล้อมเหมาะสม P.acne จะขยายตัวอย่างรวดเร็ว และทำให้เกิดการกระตุ้นการอักเสบขึ้น เป็นสาเหตุให้เกิดสิวอุดตัน และสิวอักเสบได้ นอกจากนี้ การที่ sebum เพิ่มมากขึ้นยังทำให้กรดไลโนเลอิกปริมาณลดลง ส่งผลให้เกิดสิวได้มากกว่าเดิมด้วยต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ สาเหตุหนึ่งที่สำคัญคือการกระตุ้นจากฮอร์โมนในกลุ่มฮอร์โมนแอนโดรเจน ฮอร์โมนแอนโดรเจนนอกจากจะทำให้ Keratinocyte เพิ่มจำนวนแล้ว ยังทำให้เซลล์ต่อม แบ่งตัวมากขึ้นเช่นกัน “sebocyte” เป็นเซลล์ที่อยู่ในต่อมไขมัน ทำหน้าที่ผลิต sebum และส่งออกมานอกผิวผ่านรูขุมขน เมื่อ sebocyte มีจำนวนเพิ่มขึ้น sebum ก็จะยิ่งถูกผลิตปริมาณมากยิ่งขึ้น ในที่สุดแล้วจะทำให้ผิวหนังอักเสบและเกิดเป็นสิวนั่นเอง
- เชื้อแบคทีเรีย P.acne หรือชื่อใหม่เรียกกันว่า C.acne เป็นแบคทีเรียที่พบได้เป็นปกติบนผิวหนัง ในรูขุมขน และในต่อมไขมันของมนุษย์ P.acne เป็นแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวได้หากมีจำนวนมากเกินไป ในอดีตการแพทย์เชื่อว่า P.acne เป็นปัจจัยหลัก และปัจจัยสำคัญที่สุดของการเกิดสิว ซึ่งในปัจจุบันที่มีการศึกษา ค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับสิวมากขึ้น ทำให้พบว่า P.acne เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่สามารถทำให้เกิดสิวโดยการกระตุ้นให้ผิวหนังอักเสบได้จากหลายๆทาง หากมีปริมาณเชื้อโรคมากเกินไป หรือไม่สมดุลกับเชื้อโรคประจำถิ่นตัวอื่นๆ อย่างที่พูดถึงไปในหัวข้อที่แล้ว ว่า P.acne สามารถย่อยสลายไตรกลีเซอไรด์ให้กลายเป็นกรดไขมันอิสระจนทำให้เกิดการอักเสบได้ แต่นอกจากปัจจัยดังกล่าวแล้ว P.acne ยังสามารถทำให้เกิดการอักเสบได้อีก แบคทีเรีย P.acne นี้ แม้จะเป็นเชื้อโรคประจำถิ่น อาศัยอยู่บนผิวหนังของคนเราตามปกติ แต่ก็เป็นเชื้อโรคที่เป็นสิ่งแปลกปลอม เมื่อเข้าสู่ร่างกายผ่านทางผิวหนัง หรือการเป็นสิวอุดตันที่ผนังรูขุมขนแตกออก ร่างกายจะพยายามต่อต้าน P.acne โดยระบบภูมิคุ้มกัน ด้วยการหลั่งสารต่างๆออกมาและทำให้เกิดการอักเสบ โดยปกติแล้วร่างกายของเราจะจดจำ antibody ของแบคทีเรีย P.acne ได้ เนื่องจากเป็นเชื้อโรคที่มีโอกาสเข้าสู่ร่างกายได้บ่อย เมื่อ P.acne เข้าสู่ร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันจะตอบสนองอย่างรวดเร็ว ทำให้อักเสบได้ง่าย นอกจาก antibody ของ P.acne แล้ว ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายยังตอบสนองด้วยวิธีต่างๆอีกมากมาย เช่นหลั่งสาร Proinflammatory Cytokines, กำจัดแบคทีเรียด้วยเม็ดเลือดขาวชนิดต่างๆ, สร้าง antimicrobial peptides, histone H4, และ cathelicidin ที่มีผลทำให้ผิวหนังอักเสบเพิ่มขึ้น ที่ผนังเซลล์ของแบคทีเรีย P.acne เองก็ยังมี carbohydrate antigen อยู่ด้วย ยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายสร้าง antibody ออกมามากกว่าเดิม ดังนั้นผู้ที่เป็นสิวจึงมักพบว่ามีจำนวนแบคทีเรีย P.acne มากกว่าผู้ที่ไม่ได้เป็นสิวในช่วงอายุเดียวกัน สภาพแวดล้อมคล้ายกัน แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้มีงานวิจัยยืนยันว่ายิ่งมีเชื้อจำนวนมาก จะทำให้สิวอักเสบรุนแรงมากขึ้นได้จริงหรือไม่ ด้วยเหตุผลเหล่านี้ การมีอยู่ของ P.acne จึงมีผลอย่างมากกับการทำให้ผิวหนังอักเสบจนเกิดเป็นสิว หรือมีโอกาสทำให้เกิดสิวอักเสบหลังจากเป็นสิวอุดตันนั่นเอง
- การอักเสบ และการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน การอักเสบเกิดจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันจะตอบสนองด้วยการอักเสบ เพื่อป้องกัน และกำจัดสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้นออกไปจากร่างกาย ถ้าการอักเสบเกิดขึ้นที่ผิวหนังจะทำให้รู้สึกปวด ร้อน ผิวหนังบวม บริเวณที่อักเสบเห็นเป็นสีชมพูหรือสีแดง จากการมีเลือดคั่ง เนื่องจากสารต่างๆและเซลล์เม็ดเลือดขาวเดินทางมาที่บริเวณที่อักเสบผ่านทางระบบเลือด เมื่อแบคทีเรียประจำถิ่นที่อยู่บนผิวหนังเข้าสู่ร่างกาย จะทำให้เกิดการอักเสบขึ้น ไม่ใช่แค่ P.acne ตัวเดียวเท่านั้น แบคทีเรียตัวอื่นๆก็สามารถทำให้เกิดการอักเสบได้ทั้งสิ้น แล้วแบคทีเรียดังกล่าวเข้าสู่ร่างกายได้อย่างไร? เมื่อ Keratinocyte อุดตันที่รูขุมขนจนเกิดเป็น Microcomedone เคราติน น้ำมันจากต่อมไขมัน และแบคทีเรียจะสะสมรวมกันเกิดเป็นถุง cyst เมื่อถุงนี้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ หรือโดนรบกวนจนผนังรูขุมขนแตกออก จะทำให้แบคทีเรียที่อยู่บริเวณ cystic space เข้าสู่ร่างกายบริเวณเนื้อเยื่อผิวหนัง ร่างกายก็จะตอบสนองโดยการอักเสบเพื่อกำจัดแบคทีเรียดังกล่าวออกไป
การแพทย์ในอดีตเข้าใจว่า การอักเสบจะเกิดขึ้นหลังสิวอุดตันแตกออกเท่านั้น แต่ในปัจจุบันจากการตรวจชิ้นเนื้อของผู้ที่เป็นสิวง่าย พบว่าผิวหนังอักเสบก่อนเป็นสิวอุดตัน และหลังเป็นสิวอุดตันพบว่าผิวหนังอักเสบเพิ่มมากขึ้น จากงานวิจัยนี้ แสดงให้เห็นว่าการอักเสบสามารถเกิดก่อนสิวอุดตันและเกิดหลังสิวอุดตันได้เช่นกัน และยังทำให้เห็นว่าการอักเสบกับสิวมีอิทธิพลที่ทำให้เกิดอีกอย่างหนึ่งขึ้นได้เช่นเดียวกัน
aox ferulic ผลิตภัณฑ์ ลดสิว ทำให้หน้าสวย เผยผิวเรียบเนียน
สิวเป็นสภาพผิวทั่วไปที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนนับล้านทั่วโลก อาจทำให้หงุดหงิดและทำให้ร่างกายอ่อนแอ ทำให้เกิดความทุกข์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ โชคดีที่มีผลิตภัณฑ์ รักษาสิวมากมายในท้องตลาด ซึ่งแต่ละผลิตภัณฑ์อ้างว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับผิวกระจ่างใส หนึ่งในการรักษาที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือ aox Ferulic Acne Treatment เนื่องด้วยเรื่องของประสิทธิภาพและการใช้ aox ferulic ดูแลผิวให้ห่างไกลเรื่องสิว ได้เป็นอย่างดี
- ผลิตภัณฑ์ aox ferulic เป็นการรักษาสิวแบบปฏิวัติที่รวมพลังของสารต้านอนุมูลอิสระและ กรดเฟอรูลิกเพื่อต่อสู้กับสิวที่ต้นเหตุ สารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซีและอี เป็นที่รู้จักจากความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายและปกป้องผิวจากความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่น
- ในทางกลับกันกรดเฟอรูลิกเป็นสารต้านการอักเสบที่มีศักยภาพซึ่งช่วยลดรอยแดงและการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับสิว ส่วนผสมเหล่านี้ทำงานร่วมกันเพื่อมอบวิธีแก้ปัญหาที่ครอบคลุมสำหรับผิวที่เป็นสิวง่าย การศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า aox ferulic มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาสิว ในการทดลองทางคลินิกที่ดำเนินการกับกลุ่มบุคคลที่เป็นสิวปานกลางถึงรุนแรง พบว่า aox ferulic ลดรอยสิวได้ถึง 50% ภายในเวลาเพียงสี่สัปดาห์ของการใช้
- และนอกจากนั้นจากรายงานการศึกษายังแสดงให้เห็นถึงการลดลงของรอยแดงและการอักเสบอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งช่วยยืนยันประสิทธิภาพของการรักษานี้เพิ่มเติม ความคิดเห็นของลูกค้าและคำรับรองสนับสนุนเพิ่มเติมถึงประสิทธิภาพของ aox ferulic ผู้ใช้หลายคนรายงานว่าอาการสิวดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังจากใช้ aox ferulic ในการดูแลผิว
- aox ferulic ผู้ใช้ต่างก็ออกมาชื่นชมความสามารถในการลดสิว ลดขนาดรูขุมขน และปรับปรุงพื้นผิวโดยรวม บางคนถึงกับอ้างว่า ได้เปลี่ยนผิวของพวกเขาไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้พวกเขามีความมั่นใจและความนับถือตนเองที่เพิ่งค้นพบ เมื่อเทียบกับการรักษาสิวยอดนิยมอื่น ๆ
- aox ferulic มีความโดดเด่นในด้านประสิทธิภาพ ในขณะที่การรักษาบางอย่างมุ่งเน้นไปที่การทำให้รอยสิวแห้งเท่านั้น aox ferulic จัดการกับการอักเสบ ความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน และการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย aox Ferulic นำเสนอวิธีแก้ปัญหาแบบองค์รวมที่ส่งเสริมสุขภาพผิวในระยะยาว
สิ่งสำคัญคือต้องปฏิบัติตามแนวทางการใช้และการใช้งาน aox Ferulic ที่เหมาะสม
ก่อนใช้ aox ferulic ให้ทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาดก่อนทำการรักษา เพื่อให้แน่ใจว่าส่วนผสมที่ใช้งานสามารถซึมผ่านผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากนั้นควรใช้ aox Ferulic จำนวนเล็กน้อยให้ทั่วใบหน้าโดยเน้นบริเวณที่เป็นสิวง่าย นวดเบาๆ ให้ผลิตภัณฑ์ซึมซาบเข้าสู่ผิว เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรใช้ aox Ferulic วันละ 2 ครั้ง ในตอนเช้าและตอนเย็น ความสม่ำเสมอคือกุญแจสำคัญ เนื่องจากการใช้เป็นประจำจะช่วยให้ส่วนผสมทำงานได้อย่างต่อเนื่องและจัดการกับปัญหาสิวเมื่อเวลาผ่านไป อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าผิวของทุกคนแตกต่างกัน และบางคนอาจรู้สึกระคายเคืองเล็กน้อยหรือแห้งในช่วงแรก หากสิ่งนี้เกิดขึ้น แนะนำให้ลดความถี่ในการทาหรือปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม