เจาะลึกปัญหา ‘ฝ้า’ พร้อมวิธีการรักษาอย่างปลอดภัย เพื่อผิวกระจ่างใสอ่อนวัยกว่าเดิม
“ฝ้า” ปัญหาผิวกวนใจของใครหลาย ๆ คน ยิ่งอายุที่มากขึ้นปัญหาฝ้าก็ตามมาเป็นเงาตามตัว วันนี้เราก็เลยมีสาระดี ๆ เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับฝ้ามาฝาก ทั้งสาเหตุการเกิดฝ้า การป้องกัน รวมไปถึงวิธีการรักษาฝ้า เพื่อให้คุณมีผิวที่กลับมาสุขภาพดี อ่อนวัย และกระจ่างใสขึ้นกว่าเดิม
ฝ้าคืออะไร?
ฝ้า (Melasma) เป็นหนึ่งในปัญหาความผิดปกติของผิวที่มีลักษณะของรอยปื้นสีคล้ำตั้งแต่น้ำตาลอ่อน ๆ ไปจนถึงดำเข้ม เกิดขึ้นได้กับทุกส่วนบนใบหน้าและตามผิวหนังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย แต่ส่วนใหญ่ที่พบบ่อย ๆ มักจะเกิดที่บริเวณหน้าผาก จมูก โหนกแก้มไล่ขึ้นไปถึงบริเวณขมับทั้งสองข้าง รวมไปถึงบริเวณคางและริมฝีปาก
ปัญหาฝ้าบนใบหน้าเป็นผลมาจากเม็ดสีผิวหรือเมลานิน (Melanin) ที่ถูกผลิตขึ้นมามากเกินไป ก็คือว่าโดยปกติใต้ผิวหนังของเราจะมีเซลล์ที่ชื่อว่าเซลล์เมลาโนไซต์ (Melanocyte) ทำหน้าที่ผลิตเม็ดสีเมลานินขึ้นมาปกป้องผิว ช่วยดูดซับรังสียูวีไม่ให้ทำร้ายผิว ซึ่งนอกจากเม็ดสีเมลานินจะอยู่ตามผิวหนังแล้วยังพบที่เส้นผม และขนตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอีกด้วย โดยคนผิวเข้มตามชาติพันธุ์จะมีปริมาณเม็ดสีเมลานินมากกว่าคนผิวขาว
เมลานินแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ ยูเมลานิน (Eumelanin) เม็ดสีคล้ำโทนน้ำตาลค่อนไปทางเข้มมักพบในกลุ่มคนแอฟริกันและคนเอเชีย และฟีโอเมลานิน (Pheomelanin) เม็ดสีแดงอมเหลืองมักพบในกลุ่มคนยุโรป ซึ่งถ้าหากเกิดความผิดปกติขึ้นกับเซลล์เมลาโนไซต์ที่สร้างเมลานินมากจนผิดปกติก็จะทำให้เกิดปัญหาผิวต่าง ๆ ตามมา เช่น ไฝ ชี้แมลงวัน รวมไปถึงปัญหาฝ้าและกระด้วย
ชนิดและประเภทของฝ้า
ฝ้าที่เกิดขึ้นบนใบหน้าของเรานั้นสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท หลัก ๆ ดังนี้
- 1. ฝ้าตื้น เป็นความผิดปกติของเมลานินที่มากเกินไปในผิวชั้นบนหรือหนังกำพร้า (Epidermis) ขอบสีของฝ้าจะเป็นสีน้ำตาลออกไปทางคล้ำขอบชัด
- 2. ฝ้าลึก เป็นความผิดปกติของเมลานินที่มากกเกินในผิวชั้นหนังแท้ (Dermis) ซึ่งอยู่ลึกลงไปทำให้ตัวฝ้ามีลักษณะเป็นปื้นไม่เห็นขอบชัดเจน มีสีน้ำตาลเทาหรือสีม่วงอมน้ำเงิน ฝ้าชนิดนี้จะรักษาให้หายได้ยากกว่าฝ้าตื้น
แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเรามักจะมีฝ้าทั้งสองชนิดเกิดขึ้นผสมกันทั้งในระดับฝ้าตื้นบนชั้นหนังกำพร้าและฝ้าลึกในชั้นหนังแท้ สังเกตได้จากบริเวณที่เกิดปัญหาฝ้ามักจะมีปื้นสีเข้มตรงกลางแล้วขอบ ๆ มักจะเป็นจุดบาง ๆ โดยตรงกลางสีเข้ม ๆ มักจะเป็นฝ้าลึก ส่วนบริเวณขอบจาง ๆ มักจะเป็นฝ้าตื้น ซึ่งวิธีแยกฝ้าแต่ละชนิดจะทำได้ด้วยเครื่องมือพิเศษที่เรียกว่า Wood’s lamp เป็นเครื่องมือทดสอบสุขภาพผิวรวมไปถึงรอยโรคและความผิดปกติต่าง ๆ บนผิวหนังด้วยการฉายแสงสีฟ้าลงไปบนผิวก็จะช่วยวินิจฉัยชนิดของฝ้าได้อย่างตรงจุดและแม่นยำ
ฝ้า กระ และจุดด่างดำ ต่างกันยังไง
ฝ้า กระ และจุดด่างดำเป็นปัญหาผิวที่คล้ายกันมาก จนบางทีเราก็สับสนคิดว่าเป็นปัญหาเดียวกัน แต่จริง ๆ แล้วมีความแตกต่างกันอยู่ โดยที่ฝ้านั้นจะมีลักษณะเป็นปื้นดังได้กล่าวไปในตอนต้น ส่วนกระ (Freckle) นั้นจะเป็นจุดกลมมีสีน้ำตาลขนาดเล็กเกิดได้กับทุกส่วนบนใบหน้าแต่จะไม่เป็นปื้นเหมือนฝ้า ส่วนจุดด่างดำนั้นเป็นปัญหาผิวที่ไม่สม่ำเสมอทำให้เกิดจุดดำเข้มกว่าผิวบริเวณรอบ ๆ ซึ่งมักเกิดจากการอักเสบของผิว เช่น รอยแดงรอยดำจากสิว เป็นต้น
สาเหตุการเกิดฝ้า
ปัญหาฝ้าบนใบหน้าเกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งแบ่งได้ 2 ปัจจัย ดังนี้
- ปัจจัยภายนอก
- แสงแดด เป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ ของการเกิดฝ้าเลยทีเดียว เพราะมีรังสี UVA และ UVB ซึ่งไปกระตุ้นเซลล์เมลาโนไซต์ให้ผลิตเม็ดสีเมลานินมากขึ้น ทำให้เกิดปัญหาฝ้าตามมา
- แสงจากหน้าจอ นอกจากแสงแดดแล้วแสงจากหน้าจอทั้งสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ แท็ปเลต โทรทัศน์ รวมไปถึงแสงจากหลอดไฟก็เป็นตัวกระตุ้นให้เม็ดสีเมลานินทำงานผิดปกติจนเกิดเป็นปัญหาฝ้าตามมาได้
- ความร้อน เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ก่อให้เกิดฝ้า ความร้อนจะก่อให้เกิดอนุมูลอิสระทำให้เซลล์ผิวถูกทำร้าย ตัวอนุมูลอิสระนี่แหละที่จะไปกระตุ้นให้เม็ดสีเมลานินทำงานเพิ่มขึ้น ยิ่งโดนความร้อนสะสมเป็นเวลานาน ๆ ยิ่งทำให้ฝ้าเข้มขึ้น สังเกตจากคนที่ต้องทำงานอยู่กับความร้อนอย่างคนที่ต้องทำอาหารอยู่หน้าเตาสัมผัสความร้อนตลอดเวลาโอกาสจะเกิดฝ้าก็สูงขึ้นตามด้วย
- การแพ้สารเคมีในเครื่องสำอาง การแพ้เครื่องสำอางและสกินแคร์ที่มีสารอันตรายต่อผิวพวกสารปรอท ไฮโดรควิโนน กรดเรทิโนอิก ฯลฯ ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการเกิดฝ้า ซึ่งสารเหล่านี้เมื่อใช้ไปนานเข้าจะทำให้ผิวบางแสบแดง เนื้อเยื้อผิวเกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดฝ้าถาวรขึ้น และสารเหล่านี้อาจถูกดูดซึมผ่านผิวหนังเข้าสู่กระแสเลือดอาจก่อให้เกิดพิษในร่างกาย และยังกลายเป็นสารก่อมะเร็งได้ด้วย
- ปัจจัยภายใน
- ฮอร์โมน ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอรโรน (progesterone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงมีส่วนทำให้ผิวไวต่อแสงแดดและความร้อน ส่งผลให้เม็ดสีเมลานินใต้ชั้นผิวทำงานมากเกินปกติ ด้วยเหตุนี้ผู้หญิงจึงมีโอกาสเป็นฝ้าง่ายกว่าผู้ชาย สถาบันโรคผิวหนังแห่งสหรัฐอเมริกา (the American Academy of Dermatology) พบว่า 90% ของคนเป็นฝ้าคือผู้หญิง โดยเฉพาะหญิงวัยกลางคนวัย 30-40 ปี
- ยาคุมกำเนิด การใช้ยาคุมกำเนิดติดต่อกันเป็นเวลานานก็ทำให้เกิดฝ้าได้ เพราะในยาคุมกำเนิดนั้นมีส่วนผสมของฮอร์โมนเพศหญิงอยู่ ซึ่งจะกระตุ้นให้เม็ดสีเมลานินทำงานผิดปกติจนเกิดฝ้าตามมา
- การตั้งครรภ์ ในช่วงตั้งครรภ์ฮอร์โมนเพศหญิงจะสวิงไม่ปกติส่งผลให้ไปกระตุ้นให้เม็ดสีเมลานินทำงานผิดปกติตามไปด้วย จึงเกิดเป็นปัญหาฝ้าขึ้นในช่วงระหว่างตั้งครรภ์ ยิ่งถ้าโดนแดดและความร้อนร่วมด้วยก็จะยิ่งทวีคูณความหนาของฝ้ามากขึ้นไปอีก
- กรรมพันธุ์ กรรมพันธุ์มีส่วนทำให้เกิดฝ้า 50% เลยทีเดียว ครอบครัวไหนมีพันธุกรรมผิวไวต่อแสงหรือเม็ดสีเมลานินทำงานผิดปกติ บุคคลในครอบครัวก็จะมีโอกาสเกิดฝ้าได้สูง เช่นเดียวกับคนที่มีผิวคล้ำก็จะมีแนวโน้มเกิดฝ้าได้ง่ายกว่าคนผิวขาวหรือผิวสองสี
- โรคบางชนิด โรคไทรอยด์ ความเครียดสะสม การขาดวิตามินบี 12 รวมไปถึงโรคตับก็จะพบการขึ้นผื่นและปื้นของฝ้าได้ ถ้าเป็นกรณีนี้จะต้องพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยสาเหตุและหาแนวทางรักษาต่อไป
วิธีป้องกันฝ้า
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับความร้อนนาน ๆ รวมไปถึงหลีกเลี่ยงการออกแดดช่วง 10.00 -16.00 น. เพราะเป็นช่วงที่แดดแรง มีปริมาณของรังสียูวีสูง ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรสวมหมวกและเสื้อแขนยาวปกปิดผิวหนังให้มิดชิด หรือไม่ก็กางร่มกันยูวี
- ทาผลิตภัณฑ์กันแดดไม่ว่าจะเป็นครีมกันแดด เซรั่มกันแดด หรือสเปรย์กันแดดที่มีส่วนผสมของค่าป้องกันแดดและรังสียูวี หรือค่า SPF (Sunburn Protection Factor) ตั้งแต่ 15 ขึ้นไป โดยค่า SPF15 เหมาะกับคนที่อยู่ในร่มไม่ออกแดดจัด ส่วนค่า SPF 15 – 30 เหมาะกับคนต้องออกกิจกรรมกลางแจ้ง
- หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางและสกินแคร์ที่อาจก่อให้เกิดการแพ้หรือมีสารอันตราย
- หยุดยาที่เป็นสาเหตุของฝ้า เช่น ฮอร์โมนทดแทน ยาคุมกำเนิด เป็นต้น
วิธีรักษาฝ้า
หากเกิดปัญหาฝ้าบนใบหน้าแล้ววิธีการดูแลรักษาให้ฝ้าจางลง และผิวกลับมากระจ่างใสสุขภาพดีอีกครั้งมีดังนี้
- ทาผลิตภัณฑ์กันแดด
ทากันแดดเพื่อป้องกันการเกิดฝ้าใหม่ ไม่ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีเฉพาะค่า SPF เพียงอย่างเดียว เพราะจะกันได้แค่รังสี UVB ควรจะเลือกผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่า PA ที่ช่วยป้องกันรังสี UVA ด้วย ยิ่งค่า PA มีเครื่องหมายบวก (+) มากเท่าใดยิ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันสูง
วิธีการทาผลิตภัณฑ์กันแดดอย่างมีประสิทธิภาพนั้นจะต้องใช้ในปริมาณ 2 ข้อนิ้วมือ สำหรับทาใบหน้าและลำคอ ควรทาก่อนออกไปโดนแดดอย่างน้อย 15 -30 นาที และควรหมั่นทาซ้ำระหว่างวันทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง เพื่อให้คงประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันแสงแดดและรังสียูวี
- ทาสกินแคร์รักษาฝ้า
ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มครีมทาฝ้า หรือไวท์เทนนิ่ง แนะนำว่าให้มองหาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินซี อัลฟ่าอาบูติน ฯลฯ ก็จะช่วยปรับสภาพผิวให้กระจ่างใส ลดเลือนฝ้าให้จางลงได้
- สครับผิว
การสครับผิวเป็นการเร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วให้หลุดออกอย่างอ่อนโยน เซลล์ผิวเก่าที่เป้นฝ้าก็จะค่อย ๆ หลุดออกและจางลง เผยผิวใหม่ที่กระจ่างใสสุขภาพดีกว่าเดิม ทั้งนี้ ควรเลือกใช้สครับที่ไม่ทำร้ายผิว ไม่บาดผิวจนอักเสบแสบแดง ไม่เช่นนั้นอาจกระตุ้นให้ผิวบางและไวกว่าแสง แล้วจะก่อให้เกิดฝ้าใหม่ได้ง่าย
- ทรีทเมนต์ผลัดเซลล์ผิว
การใช้ทรีทเมนต์จากกรดผลไม้อ่อน ๆ อย่าง AHA และ BHA เป็นอีกหนึ่งวิธีการรักษาฝ้า เพราะกรดผลไม้เหล่านี้จะเข้าไปลอกเซลล์ผิวเก่าที่เป็นฝ้าให้หลุดลอกออกไปอย่างอ่อนโยน แต่ผลค้างเคียงคือความรู้สึกแสบและคันยิบ ๆ ระหว่างทำ บางคนอาจจะแพ้ ดังนั้น จึงควรอยู่ในการดูแลของผู้เชี่ยวชาญ
- ยารักษาฝ้า
ยากลุ่มที่ใช้รักษาฝ้านั้นจะเป็นพวก glycolic acid หรือ kojic acid และ corticosteroid เป็นต้น ซึ่งการใช้ยารักษาฝ้าควรอยู่ในดุลพินิจและการควบคุมของแพทย์ผิวหนังเท่านั้น ไม่ควรหาซื้อยามาใช้เองโดยเด็ดขาด
- เลเซอร์
การทำเลเซอร์เป็นวิธีการรักษาฝ้าที่เป็นที่นิยมสูงมาก เพราะเห็นผลเร็ว แต่ต้องอาศัยการรักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลักการก็คือยิ่งแสงเลเซอร์เข้าไปแตกตัวให้เม็ดสีเมลานินกระจายตัว ทำให้ผิวบริเวณที่เป็นฝ้าจากลง นอกจากนั้นยังมีวิธีการส่งกระแสไฟฟ้าหรือคลื่นความถี่ต่ำอย่าง Rejuvenation และ Ultralift เพื่อผลักสารบำรุงเข้าสู่ผิว ช่วยดูแลรักษาให้รอยฝ้าดูจางลง
ปัญหาฝ้าบนใบหน้าเป็นเป็นหาผิวที่รักษาให้หายอยากมากต้องใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะดีขึ้น ที่สำคัญไม่มีวิธีไหนการันตีได้ว่าฝ้าจะหายขาดได้ 100% โดยไม่กลับมาเป็นอีก เราทำได้เพียงแค่ป้องกันไม่ให้เกิดฝ้าบนใบหน้าด้วยการหลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจทำให้เกิดฝ้า หลัก ๆ เลยคือการทากันแดดปกป้องผิวไม่ให้ถูกแสงยูวีทำร้าย เพียงเท่านี้ก็จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา ป้องกันผิวถูกทำร้าย ให้ผิวอ่อนวัยสุขภาพดีบอกลาฝ้าไปได้เลย