“ผิวหน้า” เป็นสิ่งที่ผู้หญิงเราให้ความใส่ใจเป็นอันดับแรก เพราะเป็นเสมือนหน้าต่างบานแรก ๆ ที่คนจะสามารถมองเห็นได้ และทุกวันนี้ก็มีทางเลือกหลากหลายในการดูแลผิวให้ดูกระจ่างใสและมีสุขภาพดี ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของการใช้เครื่องสำอาง การใช้ครีมบำรุง รวมถึง “การมาร์คหน้า” ที่เป็นออพชั่นเสริมที่เพิ่มเติมเข้ามาจากการบำรุงผิวปกติ การมาร์คหน้ามีกี่ประเภท มีประโยชน์อย่างไร และมีข้อควรระวังอย่างไรบ้าง เราจะมาทำความรู้จักกับการปรนนิบัติผิวประเภทนี้ด้วยกัน
ประเภทของการมาร์คหน้า
ปัจจุบัน การบำรุงผิวด้วยการมาร์คหน้าได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และมีการผลิตมาร์คหลากหลายประเภทให้เลือกใช้ได้ตามต้องการดังต่อไปนี้
- มาร์คครีม (Cream Mask)
“มาร์คครีม” โดยส่วนใหญ่มักทำควบคู่กับการทาครีมบำรุง โดยจะต้องมีการเตรียมผิวหน้าด้วยการทำความสะอาดผิวให้สะอาดหมดจด เริ่มต้นจากการใช้คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสำอางออก แล้วล้างหน้าให้สะอาดด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิว จากนั้นจึงเริ่มใช้ครีมมาร์คหน้าทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า ซึ่งวิธีนี้จะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่เสียให้หลุดออกไป ช่วยทำความสะอาดรูขุมขนและทำให้รูขุมขนเล็กลง ผิวกระชับและเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นยังมีมาร์คครีมที่สามารถพอกทิ้งเอาไว้ทั้งคืนได้ โดยเน้นปรับสมดุลและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น สามารถใช้ควบคู่กับครีมบำรุงผิวตอนกลางคืน โดยมาร์คครีมจะทำหน้าที่ผลักครีมบำรุงผิวให้เข้าไปในเซลล์ผิวที่มีระดับลึกขึ้นอย่างอ่อนโยนและมีประสิทธิภาพ การใช้ครีมมาร์คหน้าแบบทิ้งไว้ข้ามคืน (Sleeping Mask) จะต้องล้างออกให้สะอาด เนื่องจากตัวมาร์คครีมมีความเข้มข้นสูง หากล้างออกไม่หมด อาจเกิดการอุดตันได้
- มาร์คเจล (Gel Mask)
“มาร์คเจล” มีลักษณะเป็นเนื้อเจลที่มีความบางเบา เหมาะกับทุกสภาพผิวโดยเฉพาะผิวแพ้ง่าย วิธีใช้ให้ทา เจลที่บริเวณผิวหน้า ช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้น เร่งการฟื้นฟูและปรับสภาพผิว ลดรอยหมองคล้ำ เพิ่มความกระจ่างใส แก้ปัญหาผิวเสีย ผิวแห้งเป็นขุย ลดสิว โดยส่วนใหญ่จะมาร์คเจลทิ้งไว้ตอนกลางคืน แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดหลังจากที่ตื่นนอน
- มาร์คผง (Powder Mask)
“มาร์คผง” มีลักษณะเป็นผงซึ่งต้องนำไปผสมกับน้ำสะอาดให้ผงละลาย แล้วจึงนำไปนวดกับหน้าเบา ๆ พอกทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาทีแล้วจึงล้างออก ส่วนใหญ่เป็นผงที่สกัดมาจากสมุนไพรธรรมชาติ ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกมา ให้ผิวที่มีชีวิตชีวาและกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น
- มาร์คบับเบิ้ล (Bubble Mask)
“มาร์คบับเบิ้ล” มีลักษณะเป็นฟอง โดยมากเหมาะกับคนที่มีผิวมัน คนที่ใช้รองพื้นหรือใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงที่ล้างออกยาก วิธีใช้ให้นวดเบา ๆ แล้วพอกทิ้งเอาไว้ตรงบริเวณที่มักเกิดสิว ไม่ว่าจะเป็น จมูก หน้าผาก คาง หรือทั่วใบหน้า โดยมาร์คชนิดนี้จะช่วยขจัดสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่บนใบหน้าให้สะอาด ช่วยลดปัญหาการเกิดสิวและริ้วรอย
- มาร์คแบบลอก (Peel Mask)
“มาร์คแบบลอก” มีลักษณะเป็นเจลใส โดยให้ทาทิ้งเอาไว้บางๆจนแห้ง หลังจากนั้นให้ค่อยๆลอกออกมาเหมือนการลอกหน้ากากมาร์ค ซึ่งวิธีนี้สามารถลอกสิวเสี้ยน ทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่ในรูขุมขนได้อย่างหมดจด เติมความชุ่มชื้นให้กับผิว ลดเลือนริ้วรอย และยังช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกมาได้เป็นอย่างดี ซึ่งวิธีลอกแผ่นมาร์คออกให้ดึงจากบริเวณหน้าผากลงมาตามแนวรูขุมขน เพื่อผิวหน้าจะได้ไม่เกิดอาการระคายเคือง
- มาร์คชีท (Sheet Mask)
“มาร์คชีท” เป็นแผ่นมาร์คสำเร็จรูปที่เคลือบเซรั่มและสารสกัดบำรุงผิวนานาชนิดเอาไว้บนแผ่นมาร์ค ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยเน้นสร้างความชุ่มชื้นให้กับผิว ให้ผิวมีความเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น เนื้อผลิตภัณฑ์บำรุงมีความเข้มข้นมากกว่าครีมธรรมดาทั่วไป จึงสามารถช่วยฟื้นฟู และเห็นผลได้เร็วกว่า ใช้งานง่าย สะดวก เพียงฉีกซองแล้ววางตามรูปหน้า มาร์คทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที
- มาร์คโคลน (Mud Mask)
“มาร์คโคลน” เป็นมาร์คที่ใช้โคลนเป็นส่วนผสมหลัก โดยส่วนใหญ่จะใช้โคลนที่มีคุณภาพสูง เช่นโคลนจากเถ้าภูเขาไฟหรือตะกอนโคลนที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ ได้แก่ แมกนีเซียม เหล็ก แคลเซียม ซิลิกาและโพแทสเซียม ซึ่งสามารถขจัดสิ่งสกปรกและดูดซับน้ำมันส่วนเกินที่ตกค้างอยู่บนใบหน้า ทำให้หน้าแห้งลง ตึง และมีความกระชับ เหมาะสำหรับคนที่มีผิวมันมาก ๆ และเป็นสิวบ่อย สามารถใช้มาร์คโคลนได้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง
ประโยชน์ของการมาร์คหน้า
การมาร์คหน้ามีมาตั้งแต่สมัยโบราณ เล่าขานกันว่าราชินีของอียิปต์อย่างคลีโอพัตรา ก็นิยมมาร์คหน้าด้วยโคลนธรรมชาติซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการบำรุงผิวของพระนางให้เนียนนุ่มชุ่มชื่น ส่วนในประเทศไทย นิยมใช้สมุนไพรธรรมชาติมาเป็นส่วนผสมในสัดส่วนที่พอเหมาะแล้วนำมาพอกหน้า บำรุงผิว ซึ่งประโยชน์ในการมาร์คหน้ามีอยู่หลายประการ ดังต่อไปนี้
เป็นการเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิวอย่างล้ำลึก
เนื่องด้วยสภาพอากาศ มลภาวะและกิจกรรมต่างๆในระหว่างวัน อาจส่งผลให้ผิวเกิดการสูญเสียน้ำและความชุ่มชื้นภายในผิว วิธีสังเกตง่ายๆคือผิวแห้ง ลอก หยาบกร้าน ขาดความกระชับ และแต่งหน้าไม่ติดทนนาน การทาครีมที่มีมอยส์เจอไรเซอร์อาจจะไม่เพียงพอ จะต้องมาร์คหน้าเพิ่มความชุ่มชื้นเสริมเข้าไปด้วย เนื่องจากในมาร์คมีเนื้อเซรั่มที่อัดแน่นอยู่ภายใน เมื่อใช้เป็นประจำจะช่วยเติมน้ำให้แก่ผิวได้อย่างล้ำลึก ทั้งยังช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น เนียนนุ่มและดูอ่อนเยาว์ยิ่งขึ้นด้วย
- ช่วยปรับสีผิวให้เรียบเนียนสม่ำเสมอ
การมาร์คหน้า เป็นการช่วยกระตุ้นให้ผิวของคนเราได้รับออกซิเจนได้มากขึ้น ช่วยกำจัดเม็ดสีส่วนเกิน ให้สีผิวมีความสม่ำเสมอ ยับยั้งการเกิดจุดด่างดำได้ดีขึ้น ทำให้ผิวดูกระจ่างใสจากภายในสู่ภายนอก
- ช่วยชะล้างสารพิษและสิ่งสกปรกบนใบหน้าได้ดี
การมาร์คหน้าเป็นการทำความสะอาดผิวในระดับรูขุมขน ที่ต้องทำควบคู่ไปกับการล้างหน้าปกติ ซึ่งมาร์คส่วนใหญ่มีคุณสมบัติในการดูดเอาสิ่งสกปรกหรือสารเคมีที่ตกค้างออกจากรูขุมขน โดยจะเปิดรูขุมขนให้กว้างขึ้นเพื่อระบายสิ่งสกปรกต่างๆให้ออกมา ลดการอักเสบและการระคายเคืองของผิว ช่วยลดปัญหาสิวและรูขุมขนกว้างได้ด้วย
- ช่วยกระชับรูขุมขน
การมาร์คหน้าเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยทำความสะอาดรูขุมขนให้สะอาดมากขึ้น เนื่องจากไขมันและสิ่งสกปรกต่างๆที่อุดตันอยู่ตามรูขุมขนได้ถูกขจัดออกไป ทั้งยังเป็นการออกแรงเพื่อช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ที่ไม่สามารถผลัดออกไปได้หมดตามวงจร ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวหน้าดูหมองคล้ำ นอกจากนี้ยังทำให้รูขุมขนเล็กลงและมีความกระชับมากยิ่งขึ้น และยังเป็นการตัดตอนกระบวนการเกิดสิวได้ดีอีกด้วย
- ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียน
การมาร์คหน้า เป็นการช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว ช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วให้หลุดออกไป ช่วยปรับสีผิวให้มีความสม่ำเสมอ ทำให้ผิวค่อยๆกระจ่างใสและเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้น รอยดำ รอยแดง รอยสิวยังลดลงได้อย่างเห็นได้ชัดอีกด้วย
- ช่วยให้หน้ากระชับ เต่งตึง
การมาร์คหน้า เป็นหนึ่งในการบำรุงผิวได้อย่างล้ำลึก ที่ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น ดูมีสุขภาพดี ผิวกระชับ เต่งตึง ดูอ่อนเยาว์ พร้อมทั้งช่วยลดการเกิดริ้วรอยได้อย่างดียอดเยี่ยม
- แต่งหน้าได้ติดทนนาน
ผลพลอยได้จากการมาร์คหน้าที่ดีต่อใจของใครหลายคน คือช่วยให้แต่งหน้าติดทนนานมากยิ่งขึ้น เพราะเมื่อผิวได้รับการบำรุงจนมีสุขภาพดี ชุ่มชื้นมากยิ่งขึ้นแล้ว ผิวจะไม่ลอก ไม่แห้ง แต่ดูสุขภาพดี
การมาร์คหน้าตามสภาพผิว
เพื่อให้การมาร์คหน้าได้ผลลัพธ์ที่ดีมากยิ่งขึ้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการมาร์คหน้าตามสภาพผิว เพื่อการบำรุงได้อย่างตรงจุดและสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ดังต่อไปนี้
ผิวมัน เป็นสิวง่าย
ในกรณีที่ผิวมัน เป็นสิวง่ายและมีการอุดตันของรูขุมขน โดยส่วนใหญ่จะใช้มาร์คที่มีส่วนผสมของโคลน ซึ่งจะช่วยผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวได้อย่างเป็นธรรมชาติและช่วยสร้างสมดุลให้กับผิวได้ดีมากยิ่งขึ้น โดยมาร์คที่ใช้อาจจะต้องมีส่วนผสมของAHA, BHA หรือส่วนประกอบของพืชธรรมชาติอย่าง แตงกวา ชาเขียว สารสกัดชา หรือเกล้ดของรำข้าว ซึ่งมีคุณสมบัติในการแทรกตัวเข้าไปยับยั้งการขับน้ำมันภายใน Sebum หรือเซลล์ผิวที่คั่งค้างอยู่ในรูขุมขน ที่ทำให้เกิดการระคายเคืองและการอักเสบตามมา
- ผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื่น
สำหรับผิวแห้ง หรือผิวที่ขาดความชุ่มชื่น ควรเลือกมาร์คที่มีสารอาหารสำคัญเพื่อเติมน้ำหรือความชุ่มชื้นให้กับผิว โดยมีส่วนประกอบของน้ำผึ้ง ออยล์ ว่านหางจระเข้ ใบบัวบก สาหร่ายหรือเมือกหอยทาก เพื่อให้ผิวแน่นกระชับ ดูเปล่งปลั่ง
- ผิวแพ้ง่าย
ผิวแพ้ง่าย หรือผิวที่มีความบอบบาง ควรเลือกมาร์คที่มีส่วนผสมของชาเขียว คาโมมายล์ ใบบัวบก หรือสาหร่าย เพื่อช่วยปกป้องผิวจากอาการระคายเคือง
- ผิวที่เป็นฝ้า กระ จุดด่างดำ
สำหรับผู้ที่ผิวมีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ ควรเลือกมาร์คที่มีส่วนผสมของวิตามินซี ให้ผิวขาวใส ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ เรียบเนียน
- ผิวมีริ้วรอย
ผิวที่มีริ้วรอย จำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูและเสริมการทำงานของเซลล์ผิวให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น ควรเลือกมาร์คที่มีส่วนผสมของคอลลาเจนหรือสารบำรุงบริสุทธิ์จำพวก เปบไทด์ต่างๆ เนื่องจากมีคุณสมบัติในการแทรกซึมเข้าสู่เซลล์ผิวในระดับลึกได้ดี ช่วยในการลดเลือนริ้วรอย ทำผิวเรียบเนียน รอยลึกดูตื้นขึ้น
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการมาร์คหน้า
ถึงแม้การมาร์คหน้าจะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญในการบำรุงผิวให้ดีมากขึ้น แต่ก็มีความเข้าใจผิดมากมายเกี่ยวกับการมาร์คหน้าที่จะต้องระมัดระวัง ดังต่อไปนี้
- มาร์คหน้าทิ้งไว้นานจนเกินไป
โดยปกติการมาร์คหน้าจะใช้เวลา 20-30 นาทีโดยประมาณ แต่อาจจะเนื่องด้วยความเสียดาย ความเข้าใจผิดคิดว่ายิ่งปล่อยให้แผ่นมาร์คอยู่บนหน้านานๆ จะทำให้หน้ามีความชุ่มชื่นมากขึ้น ทำให้หลายคนทิ้งมาร์คชนิดต่างๆไว้บนหน้านานเป็นชั่วโมง ซึ่งยิ่งปล่อยให้แผ่นมาร์คติดอยู่บนผิวนานเท่าไร แผ่นมาร์คก็จะยิ่งดูดความชุ่มชื้นออกไปจากผิวของเรามากขึ้นเท่านั้น ทำให้ผิวแห้ง ผิวไม่อุ้มน้ำ ขาดความชุ่มชื้น และเสี่ยงที่จะหน้าเหี่ยวก่อนวัยได้ด้วย
- ไม่อ่านรายละเอียดส่วนผสมของมาร์ค
จริงๆแล้วการมาร์คหน้าก็มีค่าเท่ากับการเลือกสกินแคร์สำหรับผิวหน้าของเรา การศึกษาส่วนผสมของมาร์คแต่ละผลิตภัณฑ์ก่อนตัดสินใจซื้อจึงเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็น เช่นบางยี่ห้ออาจมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือพาราเบน ซึ่งอาจทำให้เกิดการแพ้หรือการระคายเคืองต่อผิวในเวลาต่อมาได้
- มาร์คหน้าแบบผลัดเซลล์ผิวบ่อยๆ ผิวจะขาวขึ้น
เป็นความจริงที่ว่าส่วนผสมของกรดผลไม้ประเภท AHA จะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าออกให้หน้าดูกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น แต่ควรมีความถี่ที่พอเหมาะในการใช้มาร์ค เพราะยิ่งผลัดเซลล์ผิวบ่อยมากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นการรบกวนผิวและเสี่ยงที่จะทำให้ผิวบางลงเท่านั้น โดยทั่วไปควรใช้เพียงสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งเท่านั้น ที่สำคัญควรมีการบำรุงผิวโดยการทาครีมบำรุงและครีมกันแดดควบคู่กันไปด้วย เพื่อป้องกันผิวหมองคล้ำ หรือการเกิดฝ้าแดดในภายหลัง
- มาร์คหน้าแล้วไม่ต้องทาครีมบำรุงก็ได้
แม้ว่าการมาร์คหน้าจะมีคุณสมบัติในการช่วยบำรุงผิวได้ถึง 3-4 เท่าของการทาครีมปกติ แต่เพื่อผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจและให้ผลดีในการบำรุงผิวควรใช้ควบคู่กับสกินแคร์ที่เหมาะกับผิวหน้าของแต่ละคนด้วย เช่นหากใช้มาร์คเพื่อดีท็อกซ์ผิว ต้องการให้สิวยุบ ควรใช้ควบคู่กับยาแต้มสิวเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย หรือหากใช้มาร์คที่เน้นการผลัดเซลล์ผิว ควรมีการทาครีมกันแดดและครีมบำรุงเพื่อปกป้องชั้นผิวด้วย เป็นต้น
ข้อควรระวังในการมาร์คหน้า
ในการมาร์คหน้า ควรที่จะให้ความสำคัญตั้งแต่การเลือกมาร์คไปจนถึงขั้นตอนของการมาร์คหน้า เพื่อการปกป้องและบำรุงผิวที่มากกว่า ดังต่อไปนี้
1) อ่านฉลาก รายละเอียดของมาร์คที่ต้องการอย่างละเอียดถี่ถ้วน รวมถึงส่วนประกอบหลักของมาร์คด้วย เพื่อป้องกันการแพ้และการระคายเคือง
2) ทดสอบอาการแพ้ โดยการนำมาร์คที่จะใช้ไปทาที่ท้องแขน หากไม่มีอาการระคายเคืองใดๆ ก็สามารถนำไปมาร์คหน้าได้ตามปกติ
3) ก่อนมาร์คหน้า ควรมีการเตรียมสภาพผิวด้วยการล้าง ทำความสะอาดหน้าให้สะอาดหมดจดก่อน
4) หลีกเลี่ยงการมาร์คหน้าบริเวณที่บอบบาง เช่น รอบดวงตาและริมฝีปาก
5) ไม่ควรทิ้งมาร์คไว้บนหน้านานจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้ผิวหน้าแห้งได้
6) กรณีที่ใช้แผ่นมาร์คหน้า เมื่อลอกออก ควรนวดเนื้อครีมให้ทั่วใบหน้าอีกครั้งก่อนล้างออก ส่วนมาร์คแบบเจล ควรรอให้เนื้อเจลแห้งก่อน หลังจากนั้นจึงล้างออก เพื่อเนื้อเจลจะสามารถดูดซับสิ่งสกปรกออกจากใบหน้าได้
7) ควรล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าอุณภูมิปกติ แล้วซับหน้าให้แห้ง หลังจากนั้นให้ทาครีมบำรุงต่อจากการมาร์ค จะช่วยให้ครีมซึมเข้าสู่ชั้นผิวในระดับลึกได้ดีมากยิ่งขึ้น
8) มาร์คบางชนิด เช่น มาร์คผลัดเซลล์ผิวไม่ควรใช้บ่อยจนเกินไป เพราะเป็นการรบกวนผิวหน้า อาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองได้
มาร์คของ mesoestetic ดีอย่างไร
mesoestetic ได้คิดค้นมาร์คเพื่อผิวหน้าที่ตอบโจทย์สำหรับทุกสภาพผิว เพื่อการบำรุงผิวหน้าอย่างล้ำลึกในทุกขั้นตอน ได้แก่
- anti-stress mask (สำหรับผิวแพ้ง่าย)
anti-stress mask มาร์คสำหรับผิวบอบบาง แพ้ง่าย ซึ่งจะช่วยปลอบประโลมผิวที่มีการระคายเคือง ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว สร้างเกราะปกป้องผิวให้มีความแข็งแรง ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติที่สำคัญ อาทิเช่น สาหร่ายสีแดง (Rhodosorus marinus extract), Aloe vera (Aloe barbadensis Leaf Juice Powder), วิตามินอี, คาโมไมล์ และดอกดาวเรือง รวมถึงหญ้าฝรั่น (MSaffron flower) ที่มีสรรพคุณทางยามายาวนาน
- Pure renewing mask (สำหรับผิวมัน และผิวเป็นสิวง่าย)
Pure renewing mask เป็นมาร์คหน้า สูตรสำหรับผิวมันและเป็นสิวง่าย ซึ่งจะช่วยขจัดส่วนเกินบนใบหน้า พร้อมทั้งผัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพให้หลุดออกไป ช่วยลดการสะสมของสิ่งสกปรกและลดการอุดตันบริเวณรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดสิว โดยมีส่วนผสมที่สำคัญมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Kaolín ที่ช่วยดูดซับความมันและสิ่งสกปรกออกจากผิวหน้า Salicylic acid, Mandelic acid, Sodium lapergilate ซึ่งเป็นกลุ่มสารผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ ช่วยลดเลือนจุดด่างดํา รวมถึงCellulose particles เม็ดสครับที่ได้จากธรรมชาติ ช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยนและช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน
- Hydravital mask (สำหรับผิวแห้ง ขาดน้ำ)
Hydravital mask มาส์กหน้าสูตรสําหรับผิวแห้งหรือผิวขาดนํ้า อุดมไปด้วยสารบำรุงและวิตามินที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิวพร้อมทั้งช่วยบำรุงผิวในเวลาเดียวกัน โดยมีกรดไฮยาลูโรนิก และสารสกัดจากดอกแพนซี่หรือดอกไม้ป่าที่สามารถรักษาความชุ่มชื้นให้ผิวได้ยาวนานและปกป้องผิวจากมลภาวะและสารอนุมูลอิสระจากภายนอกได้เป็นอย่างดี น้ำมันอาร์แกน (Argan Oil) ที่มีโอเมก้า 3 และ 6 อาหารบำรุงผิวชั้นเยี่ยมที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและเสริมความชุ่มชื้นให้แก่ผิวตามธรรมชาติ มีวิตามินบี 5 ที่ช่วยปลอบประโลมผิวให้รู้สึกผ่อนคลาย