“หน้าติดสารสเตียรอยด์” อีกหนึ่งปัญหาผิวที่นำมาซึ่งปัญหามากมายให้บรรดาสาวๆอยู่ไม่น้อยในยุคปัจจุบัน ที่มีครีมกระแสออกมามากมายเกลื่อนท้องตลาด
“หน้าขาวใส ภายใน7 วัน”
“บอกลาฝ้าภายในเวลา 3 วัน”
“หน้าฉ่ำวาว แบบสาวเกาหลีฉบับทันใจ”
นี่คือส่วนหนึ่งในคุณสมบัติพิเศษของเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ที่ดึงดูดใจให้หลายคนหันมาใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งที่รู้ตัวและที่ไม่รู้ตัว ด้วยความปรารถนาที่อยากจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนเร็วขึ้น แต่เมื่อหยุดใช้ ความเสียหายใหญ่หลวงที่เกิดขึ้นกับผิวก็ปรากฏเด่นชัด จนทำให้ตกเข้าไปในข่ายของวงจร “หน้าติดสาร” ซึ่งแสดงอาการต่างๆออกมาในหลากหลายรูปแบบ เช่น สิวหนา ฝ้าเกรอะ หน้าดำ หมองคล้ำ หน้าแห้งสาก หยาบกร้าน เนื่องจากสารสเตียรอยด์ได้เข้าไปทำลายจนถึงระดับเซลล์ผิว ในบทความนี้จะพาทุกท่านเข้าไปทำความรู้จักกับสารสเตียรอยด์ สภาพผิวที่ติดสารสเตียรอยด์ รวมถึงแนวทางในการรักษาและการปกป้องผิวหน้าให้ห่างไกลจากสารอันตรายชนิดนี้อย่างแท้จริง
สารสเตียรอยด์คืออะไร
สเตียรอยด์ (steroid) เป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นมาเองได้ และนอกจากนั้นยังมีสเตียรอยด์สังเคราะห์ที่ถูกนำมาใช้ทางการแพทย์ด้วย ดังนั้น ถ้าจะกล่าวโดยสรุป สเตียรอยด์สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
- สเตียรอยด์ตามธรรมชาติที่ร่างกายสร้างขึ้น จากต่อมหมวกไตชั้นนอก (Adrenal cortex steroids) โดยมีหน้าที่ในการช่วยควบคุมสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย ช่วยต้านอาการอักเสบ ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด กล้ามเนื้อ รวมถึงระบบกระดูก ช่วยปรับความเครียด ลดอาการปวด และช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานได้เป็นปกติ
- สเตียรอยด์สังเคราะห์ เป็นชื่อเรียกโดยย่อของสารกลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) ซึ่งมีฤทธิ์และข้อบ่งใช้มากมาย ที่สามารถรักษาโรคหรือภาวะต่างๆได้หลากหลาย ถูกผลิตขึ้นจากบริษัทยา โดยเลียนแบบสเตียรอยด์ที่ร่างกายได้สร้างขึ้น เพื่อใช้ในการรักษาทางการแพทย์ ที่รักษาโรคได้ดีและรวดเร็ว แต่เนื่องจากเป็นเคมีสังเคราะห์จึงมีอันตรายมากกว่าและให้ผลข้างเคียงที่รุนแรง หากใช้ในปริมาณที่เกินพอดี ในปัจจุบันสเตียรอยด์ประเภทนี้ ถูกนำไปใช้ 2 แบบด้วยกันคือ
2.1 ใช้เพื่อเน้นให้ออกฤทธิ์เฉพาะที่ เช่น ยาหยอดตา ยาพ่นจมูก ยาทาผิวหนัง และ ยาสูดพ่นทางปาก เป็นต้น
2.2 ใช้เพื่อเน้นให้ออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย ในรูปแบบของยาฉีดและยารับประทาน โดยมีสรรพคุณเพื่อช่วยลดการอักเสบภายใน หรือกดภูมิคุ้ม เช่น ในผู้ป่วยข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคภูมิแพ้ตนเอง (SLE) ผู้ป่วยที่มีปัญหาทางเดินหายใจอักเสบเรื้อรัง และอาการภูมิแพ้ทางผิวหนัง
เนื่องจากกฎหมายได้กำหนดให้สารสเตียรอยด์ เป็นสารควบคุมพิเศษ ดังนั้นในการใช้สเตียรอยด์สังเคราะห์ทุกครั้ง ไม่ว่าจะในรูปแบบใด ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์และการสั่งจ่ายยาจากแพทย์เท่านั้น
การใช้สเตียรอยด์ในเครื่องสำอาง
ปัจจุบันมีการนำสารสเตียรอยด์ไปเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางมากมาย เนื่องจากใช้แล้วเห็นผลชัดเจนในเวลารวดเร็ว โดยเฉพาะการรักษาสิวและฝ้า แต่เมื่อใช้ติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง จะทำให้เกิดภาวะการสะสมของสารสเตียรอยด์ที่ผิวหนัง จนกระทั่ง สำนักงานอาหารและยา (อย.) ได้ออกข้อกำหนดว่าห้ามนำสารสเตียรอยด์ไปเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2558 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้มีการสุ่มตัวอย่างเครื่องสำอางประเภทหน้าขาวจากร้านค้าต่างๆทั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑล จำนวน 50 ตัวอย่าง พบว่ามีการผสมสารสเตียรอยด์เข้าไปในเครื่องสำอาง ประเภทครีมถึง 3 ตัวอย่าง โดยเน้นการทำให้หน้าขาวใส โดยไม่มีการแจ้งผู้ผลิต วันที่ผลิตและวันหมดอายุ นอกจากนั้นยังมีการลักลอบผสมสารต้องห้ามในเครื่องสำอางมากขึ้นด้วยในปัจจุบันทั้งในการกระแสครีมตลาดและในรูปแบบการขายออนไลน์
กลไกลการทำงานของสารสเตียรอยด์
“ทำไมใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์แล้วหน้าใส” เชื่อว่าหลายท่านคงเคยมีคำถามนี้อยู่ในใจ ที่หน้าดูขาวใสก็เนื่องจากว่าสารสเตียรอยด์มีฤทธิ์ช่วยบรรเทาอาการอักเสบและกดภูมิคุ้มกันโรคต่างๆเอาไว้ ดังนั้นจึงทำให้สิวอักเสบหายเร็วขึ้นในเวลาสั้นๆ ทั้งยังมีกลไกที่ช่วยยับยั้งสารเคมีสื่อกลางที่สร้างเม็ดสีเมลานิน (Melanin) จึงทำให้ผิวดูขาวขึ้นไวนั่นเอง
ผิวติดสารสเตียรอยด์คืออะไร
เมื่อใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์มาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ผิวจะถูกรบกวนจากกลไกการกดภูมิคุ้มกันของผิว ในระยะแรกๆจะให้ความรู้สึกว่าผิวแข็งแรง ขาวใส แต่เมื่อหยุดใช้ ภูมิคุ้มกันผิวที่เคยถูกกดเอาไว้ ก็จะกลับมาทำงานหนักมากขึ้นกว่าเดิม เป็นอาการของผิวที่ไม่สามารถหยุดใช้สารสเตียรอยด์ได้ และต้องใช้ในปริมาณที่มากขึ้น ซึ่งปฏิกิริยาดังกล่าวจะถูกขับออกมาในรูปแบบของผื่น สิวอักเสบ สิวอัดตัน แพ้ง่าย หน้าเห่อ แดง ผิวแห้งกร้าน ผิวเหี่ยว รูขุมขนกว้าง เกิดเป็นฝ้าผสม ยากต่อการรักษาตามมา
อาการของผิวที่ติดสารสเตียรอยด์
หลังจากที่ใช้ครีมหรือเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ประมาณ 2-4 สัปดาห์ ฤทธิ์ของสเตียรอยด์จะปรากฏหรือแสดงออกมาในหลากหลายรูปแบบ ดังต่อไปนี้
- ผิวหน้าอักเสบ เห่อ ลอก แดง มีอาการแสบร้อนบริเวณผิวในจุดต่างๆหรือทั่วใบหน้า อาการเช่นนี้เกิดจากสารสเตียรอยด์ทำงานร่วมกับกลุ่มวิตามินเอ ที่มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิว ซึ่งอาจไปรบกวนกระบวนการสร้างเม็ดสีผิวนานจนเกินไป จนทำให้ผิวแดงไปจนถึงเป็นด่างขาวได้
- เมื่อมีการสะสมของสารสเตียรอยด์ใต้ผิวเป็นเวลานาน จะส่งผลให้ผิวขาวซีดและเกิดการอักเสบ โดยส่วนใหญ่จะพบในครีมประเภทรักษาฝ้า ครีมทาหน้าขาว และครีมที่ช่วยลดรอยสิวหรือจุดด่างดำ
- ผิวคล้ำเสีย ในกรณีนี้เกิดจากการที่สารสเตียรอยด์ทำงานร่วมกับสารไฮโดรควิโนน ที่นิยมนำมารักษารอยสิว แต่ถ้าใช้ในปริมาณที่มากเกินไป จะทำให้ผิวอักเสบ ผิวหมองคล้ำขึ้นและกลายเป็นฝ้าถาวรได้ นอกจากนั้น สารสเตียรอยด์ไม่เพียงทำลายโครงสร้างผิวเท่านั้น แต่ยังมีฤทธิ์ทำลายกระบวนการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น และทำให้หน้าคล้ำได้ง่ายขึ้นด้วย
- ผิวบาง จนมองเห็นเส้นเลือดฝอยได้ชัดเจนขึ้น แน่นอนว่าการใช้ครีมที่มีสารสเตียรอยด์นานๆ ทำให้ผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น และเกิดรอยแตกแยกบนผิวหนัง ทำให้เส้นเลือดใต้ผิวหนังทำงานผิดปกติ ทำให้มีอาการหน้าแดงอยู่ตลอดเวลา ผิวหนังจะมีสีจางลง และบางลงอย่างเห็นได้ชัด เปิดโอกาสให้มลภาวะและสารพิษต่างๆเข้าไปสู่ผิวหนังแท้ได้โดยง่าย
- สิวเห่อ ผิวผด สิวอุดตันใต้ผิว และสิวอักเสบทั้งแบบมีหัวและไม่มีหัว มาแบบเป็นแพ็คเกจของวงจรสิวสเตียรอยด์อย่างแท้จริง และต้องใช้เวลาในการรักษาที่ยาวนาน
- ผิวแพ้ง่าย เกิดจากการที่เกราะป้องกันผิวอย่างคอลลาเจนถูกทำลายโดยสารสเตียรอยด์มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผิวแพ้ง่ายมากขึ้น
- รอยบุ๋มบนผิว เกิดจากการฉีดสิวโดยใช้สารสเตียรอยด์
ฝ้าที่เกิดจากสารสเตียรอยด์
เนื่องจากสาสเตียรอยด์ มีคุณสมบัติที่ไปยับยั้งการสร้างเซลล์เม็ดสีเมลานิน ดังนั้นการใช้สารสเตียรอยด์ที่มีความเข้มข้นสูงติดต่อกันไปเป็นเวลานาน ในช่วงแรกผิวอาจจะยังไม่มีปัญหา แต่ไม่นานจะทำให้ผิวหน้าเริ่มบางลง ผิวซีด เป็นด่างขาวถาวร ทำให้เกิดฝ้าเป็นเปื้อนดำ หนาแบบถาวร ยากต่อการรักษา โดยอาการของฝ้าที่แสดงออกขึ้นอยู่กับปริมาณของสารที่สะสมในผิวหนังและระยะเวลาในการใช้ครีมที่มีสารปนเปื้อนเป็นเวลานานด้วย ฝ้าที่เกิดขึ้นมีดังต่อไปนี้
- ฝ้าลึก (Dermal type)เป็นฝ้าที่กลืนไปกับผิวหน้าเป็นวงกว้าง เกิดขึ้น บริเวณชั้นหนังแท้ใต้หนังกำพร้า มีสีน้ำตาลอ่อน สีเทา สีเทาอมฟ้า มีขอบเขตของฝ้าไม่ชัดเจน
- ฝ้าตื้น (Epidermal type) เป็นฝ้าที่มีขอบเขตชัดเจน เกิดขึ้นบริเวณชั้นหนังกำพร้า มีสีน้ำตาลเข้มไปจนถึงสีเทาดำ
- ฝ้าผสม (Mix type) เป็นฝ้าที่มีการผสมกันระหว่างฝ้าลึกและฝ้าตื้น เกิดขึ้นตามจุดต่างๆบนใบหน้า
ก่อนที่จะเกิดฝ้า ผิวหนังที่เกิดจากการแพ้สารสเตียรอยด์มักมีผื่นแดงหรือตุ่มเล็กเป็นวงกว้างบริเวณผิวหน้า ร่วมกับอาการรูขุมขนอักเสบ และเมื่ออาการเหล่านี้หายไป ก็จะเกิดฝ้าและรอยดำขึ้นมาบนผิวหน้าแทน
วิธีการรักษาหน้าติดสารสเตียรอยด์
ในการรักษาฝ้าสเตียรอยด์ จำเป็นต้องอาศัยความอดทนและความตั้งใจ โดยมีแนวทางในการรักษาดังต่อไปนี้
- หยุดใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ทันที
ซึ่งแน่นอนว่าในระยะแรกเมื่อหยุดใช้ ในกรณีที่อาการไม่รุนแรง อาจมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้น เช่น ผิวแห้ง มีผื่น สิวผด หน้าแดง หน้าหมองคล้ำ จะใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน ในการที่ผิวจะได้รับการฟื้นฟูและกลับมาเป็นปกติ แต่ในกรณีที่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์มาเป็นเวลานาน เมื่อหยุดใช้มักมีสิวเห่อ สิวผด ฝ้า ขึ้นทั่วหน้า อาจต้องใช้เวลาในการรักษาที่ยาวนานขึ้น ประมาณ 3 เดือนจนถึง 1 ปีเลยทีเดียว - ใช้ผลิตภัณฑ์ในการดูแลผิวสูตรอ่อนโยน
ซึ่งควรเป็นสูตรที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอมและสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว และผ่านการทดสอบทางการแพทย์แล้วว่าปลอดภัยสำหรับผิวบอบบาง และควรเลี่ยงการขัดถูหน้าแรงๆด้วยเช่นกัน - พักหน้า
ด้วยการหยุดแต่งหน้า เพื่อไม่ให้เกิดการอุดตัน และลดความเสี่ยงที่สารเคมีจากเครื่องสำอางเหล่านั้นจะซึมเข้าสู่ผิวชั้นล่างได้ง่าย - เข้ารับการปรึกษาและรับการรักษาโดยแพทย์ผิวหนัง
เพื่อการรักษาที่ถูกต้องและตรงจุด ควรเข้ารับการรักษาจากแพทย์ผิวหนังโดยตรง โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการหน้าติดสารสเตียรอยด์ที่รุนแรงมาก - รับประทานยาตามแพทย์สั่ง
ในบางกรณีที่มีอาการรุนแรง แพทย์อาจจ่ายยาเพื่อเอื้อต่อการรักษาร่วมด้วย เช่น ยาปฏิชีวนะ เป็นต้น - ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับผิวหน้า เน้นความชุ่มชื้น ช่วยปลอบประโลมผิวที่อ่อนแอ พร้อมทั้งเสริมเกราะป้องกันผิวให้มีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น mesoestetic ได้มีการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อรักษาฝ้าที่มาจากหลายสาเหตุ รวมถึงฝ้าที่เกิดจากการติดสารสเตียรอยด์อย่างได้ผลและมีประสิทธิภาพ
COSMELAN 1 facial mask ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าในบริเวณผิวชั้นนอก เพื่อช่วยลดเลือนฝ้า กระ บนผิว เห็นผลได้อย่างชัดเจนเมื่อทำอย่างต่อเนื่อง ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ
COSMELAN 2 cream (maintenance cream) ช่วยผลัดเซลล์ผิวและยับยั้งการสร้างเม็ดสี ช่วยลดเลือน ฝ้า กระ และจุดด่างดํา อย่างต่อเนื่อง ภายหลังการใช้ ผลิตภัณฑ์ cosmelan 1 mask เพื่อป้องกันการเกิดรอยดําขึ้นใหม่ ทั้งยังช่วยป้องกันการเกิดรอยดําซํ้า คงไว้ซึ่งผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาวอีกด้วย
melan recovery บาล์มบำรุงผิวสูตรเข้มข้น ที่ช่วยในการปลอมประโลมผิว ช่วยบำรุงและฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึกหลังจากการทำทรีทเม้นท์ หรือปัจจัยภายนอกที่ทำให้ผิวระคายเคือง พร้อมทั้งช่วยเสริมสร้างเกราะปกป้องผิวให้แข็งแรง
mesoprotech melan 130 pigment control
ครีมกันแดดที่มีค่า SPF50+ ที่สามารถปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVB ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งช่วยลดเลือนและป้องกันการเกิดจุดด่างดำ ความหมองคล้ำของผิว ลดรอยหมองคล้ำได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ข้อปฏิบัติในขณะรักษาฝ้าสเตียรอยด์
ในขณะที่กำลังรักษาหน้าที่มีอาการของฝ้าสเตียรอยด์ มีข้อควรปฏิบัติเพื่อช่วยให้สามารถถอนพิษของสารอันตรายได้เร็วขึ้น ควบคู่กับการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ดังต่อไปนี้
- ทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาด โดยผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยนและมี pH บาลานซ์กับผิว
- หยุดใช้ครีมหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารอันตรายอย่างเด็ดขาด
- เลือกใช้ครีมบำรุงผิวเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น อ่อนโยนและทำให้ผิวกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง
- งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอม แอลกอฮอลล์ หรือพาราเบน ที่อาจทำให้ผิวระคายเคือง
- ทาครีมกันแดดที่มีค่าการปกป้องสูงเป็นประจำ และหลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดโดยตรง
- พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำสะอาดมากๆ และควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
“ฝ้าสเตียรอยด์” หนึ่งในปัญหาของหน้าติดสารสเตียรอยด์ ที่ยากต่อการรักษา กว่าจะถอนพิษสเตียรอยด์ออกมาได้หมด นั่นหมายถึงอาจต้องใช้เวลา อาศัยความอดทนและวินัยในการดูแลผิวหน้าให้กลับมามีสุขภาพดีและมีโครงสร้างผิวที่แข็งแรงมากขึ้นอีกครั้ง แต่สิ่งสำคัญคือต้องระมัดระวังในการเลือกใช้ครีมและหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารต้องห้ามโดยเด็ดขาด เพื่อปกป้องผิวไม่ให้ถูกร้ายและสร้างความเสียหายใหญ่หลวงตามมาอีกนับไม่ถ้วน