ใครที่ติดตามข่าวสารหรืออยู่ในวงการสกินแคร์ ความงาม และ Beauty blog คงจะเคยผ่านหูผ่านตากับสารสกัดตัวหนึ่งที่กำลังมาแรงในหมู่ anti-aging อย่างวิตามินเอ เพราะมีงานวิจัยออกมารับรองและยืนยันจำนวนมากว่ามีประสิทธิภาพช่วยชะลอวัย ลดการเหี่ยวย่นของผิว และต่อต้านการเกิดริ้วรอยได้ เราลองมาทำความรู้จักกับสารสกัดชนิดนี้กันให้มากขึ้นดีกว่าว่ามีกลไกการบำรุงและดูแลผิวอย่างไรแล้วจะมีผลข้างเคียงอะไรที่เป็นอันตรายหรือไม่ มาหาคำตอบร่วมกันได้ในบทความนี้เลย
วิตามินเอ (vitamin A) สารสกัดมาแรงในวงการชะลอวัย
วิตามินเอหรือในวงการวชสำอางมีชื่อเรียกว่า เรตินอยด์ (retinoid) เป็นสารในกลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ ซึ่งจัดเป็นสารในกลุ่ม active ingredient ที่มีงานวิจัยออกมารองรับหลายชิ้นว่าช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิวได้ โดยสารในกลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอนี้มีชื่อทางเคมีว่า Retinoic Acid หรือ Tretinoin มีประสิทธิภาพเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอการเสื่อมสลายของคอลลาเจนใต้ชั้นผิว และยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ให้ผิวของเราเต่งตึง ด้วยเหตุนี้ Retinoic Acid จึงเป็นสารสกัดที่น่าสนใจและมาแรงมาในแวดวงสกินแคร์และเวชสำอาง
Retinoic Acid หรือ Tretinoin เป็นอนุพันธ์วิตามินเอที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเพราะเป็น active form ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้เลยทันที เพราะเป็นสารที่จับกับตัวรับบนเซลล์ผิวของเราและซึมซาบได้เลยทันทีไม่ต้องเปลี่ยนรูป ช่วยฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพจากการถูกรังสียูวีทำร้าย ช่วยกระตุ้นให้เซลล์ผิวสังเคราะห์อีลาสติน คอลลาเจนชนิดที่ 1 และคอลลาเจนชนิดที่ 3 มากขึ้น ช่วยให้ผิวยกกระชับ เต่งตึง ชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้านและเหี่ยวย่น ซึ่งจากงานวิจัยพบว่าเมื่อใช้ต่อเนื่อง 6 เดือน ผิวจะแข็งแรงขึ้น ริ้วรอยลดลง เมื่อใช้ต่อเนื่องนานตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป ผิวจะมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี แข็งแรงขึ้น ยกกระชับ ผิวฟูขึ้น มีการสังเคราะห์คอลลาเจนและอีลาสตินเพิ่มขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม Retinoic Acid นั้นจัดอยู่ในกลุ่มของยาจะต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น ไม่สามารถนำมาใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวได้ เพราะ Retinoic Acid นั้นมีผลข้างเคียงสูง ใช้แล้วอาจทำให้ผิวแห้งจนแสบแดงและลอกได้ ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและสกินแคร์จึงใช้อนุพันธ์วิตามินเอชนิดอื่น ๆ แทนเพื่อโดยที่นิยมกันก็จะเป็นในรูป retinyl esters, retinol และ retinaldehyde เพราะให้ผลข้างเคียงต่ำ โดยจะใช้เป็นสารตั้งต้นให้เอนไซม์บนผิวของเราเปลี่ยนให้อยู่ในรูป active form ซึ่งก็คือ retinoic Acid จึงจะสามารถซึมลงสู่ผิวได้ โดยลำดับการเปลี่ยนแปลงเริ่มจาก retinyl esters เปลี่ยนเป็น retinol แล้วเปลี่ยนเป็น retinaldehyde จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็น retinoic Acid ในท้ายที่สุด กล่าวง่าย ๆ ก็คือ retinyl esters เป็นสารตั้งต้นไม่สามารถออกฤทธิ์ได้ทันทีจะต้องอาศัยเอนไซม์บนผิวทำปฏิกิริยาถึง 3 ครั้งก่อนจะถูกนำไปใช้ เช่นเดียวกับ retinol จะทำปฏิกิริยาบนผิว 2 ครั้งก่อนจะถูกนำไปใช้ และ retinaldehyde จะทำปฏิกิริยาบนผิว เพียง 1 ครั้ง เซลล์ผิวจึงนำไปใช้ได้ แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ประสิทธิภาพย่อมน้อยกว่าการใช้ retinoic Acid ที่เป็น active form โดยตรง แต่ข้อดีก็คืออ่อนโยนกว่าและไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองผิว
อนุพันธ์วิตามินเอช่วยฟื้นฟูผิวได้อย่างไร
ก่อนที่เราจะไปดูว่าอนุพันธ์วิตามินเอนั้นมีกลไกออกฤทธิ์ในการฟื้นฟูผิวอย่างไรเราจำเป็นจะต้องเข้าใจถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการเสื่อมของเซลล์ผิวก่อน ซึ่งความเสื่อมของผิวนั้นเกิดจากปัจจัยกระตุ้นจากภายนอกโดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงแดดและรังสียูวีเป็นปัจจัยที่ทำให้ผิวชรา รังสียูวีจะกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระในเซลล์ผิวทำให้เอนไซม์ไมโทเจนแอคติเวทโปรตีนไคเนส หรือ MAPK หลั่งออกมา ซึ่งเอนไซม์ตัวนี้ก็จะไปกระตุ้นนิวเคลียร์แฟคเตอร์แคปปาบ หรือ NF-kB และทรานสคริปชันแฟคเตอร์แอคติเวทโปรตีนวัน หรือ AP-1 ซึ่ง NF-kB จะไปเพิ่มการสังเคราะห์เอนไซม์elastase และ MMP ที่จะเข้าไปทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน ส่วน AP-1 จะไปลดการสังเคราะห์คอลลาเจนใหม่
นอกจากแสงแดดและรังสียูวีกระบวนการไกลเคชั่นในเซลล์ก็ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้นได้เช่นกัน ยิ่งเรารับประทานของหวาน แป้ง และน้ำตาลมากเกินไป ทำให้น้ำตาลในร่างกายสูงจนไปทำปฏิกิริยากับโปรตีนเกิดเป็นสาร AGE (advanced glycation end product) ซึ่งจะทำให้เซลล์ผิวยืดหยุ่นน้อยลง โครงสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินถูกทำลาย ส่งผลให้ผิวเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นและร่วงโรยก่อนวัย
กลไกการออกฤทธิ์ของอนุพันธ์วิตามินเอในการฟื้นฟูผิวก็คือจะไปจับกับตัวรับ RAR และ RXR ในเซลล์ผิว ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นการแบ่งเซลล์ ยับยั้งการทำงานของ AP-1 และ MMP ทำให้คอลลาเจนถูกผลิตออกมามากขึ้น โดยกลไกการออกฤทธิ์และประสิทธิภาพของอนุพันธ์วิตามินเอแต่ละชนิดก็แตกต่างกัน
retinyl esters
เป็นอนุพันธ์วิตามินเอที่อ่อนโยนที่สุด ซึ่งจะต้องถูกไฮโดรไลซ์และเข้าสู่กระบวนการออกซิไดซ์ 2 ครั้งก่อนจะเปลี่ยนเป็น Retinoic Acid ที่พร้อมจับกับตัวรับในเซลล์ผิว ซึ่งในร่างกายของเราจะพบอนุพันธ์วิตามินเอชนิดนี้สะสมมากในตับซึ่งได้จากอาหารที่เรารับประทาน เมื่อร่างกายต้องการ retinyl esters ในตับก็จะเข้าสู่กระบวนการทางเคมีเปลี่ยนเป็น Retinoic Acid ในที่สุด
retinol
เป็นอนุพันธ์วิตามินเอที่ต้องผ่านกระบวนการทางเคมี 2 ขั้นตอนก่อนจะเปลี่ยนเป็น Retinoic Acid เมื่อใช้แล้วจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของผิวได้ชัดกว่า retinyl esters และโอกาสที่จะระคายเคืองผิวก็สูงกว่า ประสิทธิภาพช่วยลดเลือนริ้วรอยและยกกระชับผิวให้เต่งตึงเมื่อใช้ต่อเนื่อง 3-6 เดือน
retinaldehyde
เป็นอนุพันธ์วิตามินเอที่จะเปลี่ยนเป็น Retinoic Acid ก่อนจึงจะซึมซาบเข้าเซลล์ผิว การศึกษาเชิงคลินิกพบว่าเมื่อใช้ที่ความเข้มข้นร้อยละ 0.05 ต่อเนื่องจะช่วยให้ผิวเรียบเนียนและริ้วรอยร่องลึกลดลง อีกทั้งเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้ Retinoic Acid ทาลงบนผิวโดยตรงพบว่า ให้ผลลัพธ์ที่ไม่แตกต่างกับการใช้ retinaldehyde อีกทั้วผลข้างเคียงยังน้อยกว่า Retinoic Acid อีกด้วย
Retinoic Acid
เป็นอนุพันธ์วิตามินเอ active form ที่ร่างกายพร้อมนำไปใช้ได้โดยตรง แต่ข้อเสียก็คือมีความเข้มข้นมากอาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวได้ อีกทั้งยังจัดอยู่ในกลุ่มของยา ไม่สามารถใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและไม่สามารถซื้อใช้เงได้ต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์และเภสัชการเท่านั้น จากงานวิจัยพบว่าที่ความเข้มข้นร้อยละ 0.02 จะช่วยฟื้นฟูผิวและลดเลือดริ้วรอยได้
นอกจากอนุพันธ์วิตามินเอทั้ง 4 ตัวนี้แล้วยังมีการคิดค้นและสังเคราะห์ขึ้นมาอีกมากมายเพื่อให้ผลในการรักษาที่เฉพาะเจาะจงกับตัวรับบนเซลล์ผิวของเรา เช่น ทาซาโรทีน (tazarotene) ที่ใช้รักษาโรคสะเก็ดเงิน กรดอะลิเตรติโนอิก (alitretinoic acid) รักษา AIDS-associated Kaposi’s sarcoma เซเลตินอยด์จีที่ใช้ฟื้นฟูผิวเสื่อมสภาพจากปัจจัยภายในร่างกาย และอะแดปทาลีนที่ใช้รักษาสิว เป็นต้น
ผลข้างเคียงจากการใช้อนุพันธ์วิตามินเอ
ด้วยความที่มีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูผิวที่ถูกแสงแดดและรังสียูวีทำร้ายจึงทำให้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์และเครื่องสำอางหลากหลายแบรนด์ใช้อนุพันธ์วิตามินเอหรือเรตินอยด์ (retinoid) เป็นส่วนผสมหลักในผลิตภัณฑ์เพื่อช่วยดูแลผิวและลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย แต่ก็มีข้อควรระวังในการใช้เพราะอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่เกิดกับผิวได้โดยเฉพาะในรูปแบบ retinaldehyde และ Retinoic Acid นั้นจะเสี่ยงสูงมากที่จะเกิดผลข้างเคียงนั่นก็คือผิวอักเสบแสบแดง รู้สึกคันและแสบร้อนผิว นอกจากนั้นยังอาจทำให้ผิวไวต่อแสงแดดอีกด้วย วิธีการลดผลข้างเคียงอาจจะทำได้โดยลดความถี่ในการใช้ลงเป็นทาวันเว้นวันหรือสัปดาห์ละ 2-3 วัน นอกจากนั้นแนะนำให้เริ่มใช้อนุพันธ์วิตามินเอในกลุ่มที่ระคายเคืองผิวน้อยในความเข้มข้นต่ำ ๆ อย่าง retinyl esters หรือ retinol หรืออาจจะใช้ร่วมกับสารสกัดธรรมชาติที่ช่วยลดการอักเสบระคายเคือง เช่น สารสกัดจากใบแปะก๊วย สารสกัดจากดอกแมกโนเลีย สกัดจากต้นชะเอม เซราไมด์ เป็นต้น ก็จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดการแพ้ระคายเคืองผิวได้ แต่ถ้ายังมีอาการระคายเคืองอาจจะต้องพิจารณาหยุดใช้สารในกลุ่มของอนุพันธ์วิตามินเอแล้วไปใช้สารสกัดในกลุ่มอื่น ๆ แทน
ข้อแนะนำในการใช้อนุพันธ์วิตามินเอบำรุงผิว
- ควรใช้ทาตอนกลางคืนเพราะอนุพันธ์วิตามินเอมีความไวต่อแสง แนะนำให้ทาแล้วปิดไฟนอนเลยจะทำให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
- ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SFP ไม่ต่ำกว่า 30 เพราะผิวหน้าของเราจะไวกับแสงมาก จึงควรปกป้องผิวจากแสงแดดเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาผิวคล้ำเสียและป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาฝ้า กระ และจุดด่างดำตามมา
- ไม่ควรใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ที่มีสารสกัดวิตามินซี กรดซาลิซิลิก AHA หรือ BHA เพราะจะเสริมฤทธิ์ความเป็นกรด ใช้แล้วจำให้ผิวบาง ให้ผิวแห้งและระคายเคืองจนอักเสบแสบแดง
- หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตรไม่ควรใช้ หรือควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
ขั้นตอนการใช้อนุพันธ์วิตามินเอบำรุงผิวอย่างถูกต้อง
- ล้างหน้าให้สะอาด ซับหน้าให้แห้งสนิท เพราะผิวที่แห้งจะช่วยลดการระคายเคืองได้
- ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์สูตรอ่อนโยนเพื่อลดการอักเสบและผิวแห้ง
- ถ้าเป็นการใช้ครั้งแรกแนะนำให้เริ่มใช้อนุพันธ์วิตามินเอที่ระดับความเข้มข้นต่ำก่อน หลีกเลี่ยงบริเวณรอบจมูก ปาก และรอบดวงตา
post-peel 1% retinol concentrate นวัตกรรมคืนความอ่อนเยาว์สู่ผิว
ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอนุพันธ์วิตามินเอ retinol เข้มข้น 1% ของ mesoestetic เป็นสูตรอ่อนโยน ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง มีประสิทธิภาพช่วยฟื้นฟูและกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิวให้แข็งแรง ช่วยให้ผิวยืดหยุ่นยกกระชับ เต่งตึง ริ้วรอยร่องลึกต่าง ๆ ดูตื้นและจางลง ไม่เพียงเท่านั้นยังมีสารสกัด Centella asiatica ที่ช่วยกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวฟูฉ่ำน้ำ ดูอ่อนกว่าวัย ไม่เหี่ยวย่น ไม่แห้งกร้าน นอกจากนั้นยังมีวิตามิอีและวิตามินบี 5 ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิว และยังช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นและกักเก็บน้ำใต้ชั้นผิว ให้ผิวเรียบเนียนเปล่งปลั่งและยกกระชับ
แนะนำให้ทาเฉพาะตอนกลางคืนโดยเริ่มใช้ 2-3 ครั้ง เป็นเวลา 2 สัปดาห์ หลังจาก 2 สัปดาห์ ถ้าไม่มีปัญหาอะไรกับผิว สามารถใช้ได้ทุกคืน แต่หากเกิดกรณีสภาพผิวไวหลังจากใช้ทุกคืน ให้ปรับเป็นตามสภาพผิวลูกค้า เป็นวันเว้นวัน หรือสองวันครั้ง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
วิตามินเอหรือเรตินอยด์ (retinoid) จึงเป็นสาร Active ingredient ที่น่าสนใจและมาแรงมากในแวดวงการชะลอวัย ทั้งนี้ก่อนที่เราจะตัดสินใจหามาลองใช้อยากแนะนำให้ศึกษารายละเอียดถึงข้อดีข้อเสียและผลข้างเคียงอื่น ๆ ให้รอบด้าน และควรมองหาผลิตภัณฑ์ที่น่าเชื่อถือผ่านการรับรองคุณภาพก็จะยิ่งมั่นใจได้ถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้y-2231865569