เผยเคล็ดลับฟื้นฟูผิวไหม้แดดให้กลับมามีสุขภาพดี

“ผิวไหม้แดด”  อีกหนึ่งปัญหาผิวที่สร้างความไม่มั่นใจให้กับสาวๆที่ต้องการได้รับการบำบัดฟื้นฟูสภาพผิวให้กลับมาเป็นปกติอย่างเร่งด่วน เนื่องจากเป็นอาการที่ผิวโดนแดดเผา ซึ่งในรังสียูวีนั้นมีรังสียูวีที่พร้อมจะทำร้ายผิวทุกขณะ โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า หากปล่อยทิ้งเอาไว้ ไม่เพียงทำให้หน้าหมองคล้ำเท่านั้น แต่โครงสร้างผิวยังสามารถถูกทำลายให้อ่อนแอลง ทำให้ผิวคล้ำเสียสะสมขึ้น ทำให้เกิดอาการระคายเคือง แสบร้อน คัน ผิวหนังหลุดออกมา ไวต่อแสงแดดมากขึ้น ในบางรายมีตุ่มน้ำเกิดขึ้นด้วย และที่หนักไปกว่านั้นคืออาจมีรอยดำรอยแดงที่เกิดจากตุ่มน้ำได้เช่นกัน  แท้จริงแล้วผิวไหม้แดดคืออะไร นอกจากแสงแดดแล้วมีปัจจัยอะไรเป็นตัวกระตุ้น และจะมีวิธีดูแลฟื้นฟูสภาพผิวอย่างไรให้กลับมามีสุขภาพดีเหมือนเดิม เราจะมาทำความรู้จักกับอาการนี้ด้วยกันเพื่อที่จะสามารถรับมือได้ทันก่อนผิวไหม้

ผิวไหม้แดดคืออะไร

ผิวไหม้แดด (Sunburn) เป็นหนึ่งในภาวะที่ผิวหนังเกิดการอักเสบเนื่องมาจากผิวหนังชั้นนอกถูกทำลายโดยรังสียูวีเอและยูวีบี ทำให้เกิดอาการผิวหนังแดง แสบร้อน ระคายเคือง หรือบวม เป็นแผลพุพองในกรณีที่ผิวไหม้แดดแบบรุนแรง ไม่เพียงเท่านั้น ในบางรายยังมีอาการหนาวสั่น คลื่นไว้ ปวดหัว อ่อนเพลียร่วมด้วย ซึ่งอาการผิวไหม้แดดนี้จะเกิดขึ้นหลังจากที่ผิวโดนแดดประมาณ 2-6 ชั่วโมง หรือบางคนอาการอาจจะแสดงออกมาในเวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น แต่อาการจะรุนแรงที่สุดในช่วง 6-48 ชั่วโมงหลังจากที่โดนแดด และหลังจากที่ผิวไหม้แดดได้ประมาณ 2-3 วัน จะมีอาการคันและผิวหนังจะลอก ซึ่งเป็นกระบวนการเยียวยาตัวเองของร่างกายตามธรรมชาติ โดยจะใช้เวลาประมาณ 3-8 วัน ในช่วงนี้ควรปล่อยให้เป็นไปตามกลไกธรรมชาติ ไม่ควรลอก แกะ เกา หรือขัดผิวเพราะจะทำให้เกิดการระคายเคืองและมีโอกาสติดเชื้อที่ผิวหนังได้ ซึ่งความรุนแรงของอาการผิวไหม้แดดนั้นขึ้นอยู่กับสภาพผิว ระดับความเข้มของแสงแดด และระยะเวลาที่ผิวหนังสัมผัสกับแสงแดด สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งที่ใบหน้าและที่ลำตัว อาการผิวไหม้แดด ไม่เพียงทำให้ขาดความมั่นใจเท่านั้น แต่เป็นสัญญาณอันตรายที่แสดงให้เห็นว่าผิวหนังกำลังถูกรบกวนและเซลล์ผิวกำลังถูกทำลาย หากปล่อยเอาไว้ ไม่มีการรักษาหรือป้องกัน จะเกิดผลเสียหายต่อผิวได้ เช่น ผิวแห้งกร้าน ทำให้ผิวแก่เร็ว เหี่ยวย่น ทำให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ ทั้งยังเพิ่มโอกาสเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้ด้วย

สาเหตุของผิวไม้แดด

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดอาการผิวไหม้แดด ก็คือแสงแดดหรือรังสีอัลตราไวโอเล็ต (รังสียูวี UV) ซึ่งโดยทั่วไปจะมีอยู่ 2 ประเภท คือรังสียูวีเอ (UVA) และรังสียูวีบี (UVB) โดยตัว UVA นั้นถ้าปล่อยให้ผิวได้สัมผัสกับรังสีชนิดนี้นานๆจะทำให้ผิวเหี่ยวย่น เกิดริ้วรอยได้ง่าย รวมถึงมีฝ้า กระ จุดด่างดำ ทั้งยังเพิ่มโอกาสในการเป็นมะเร็งผิวหนังได้ด้วย ส่วนรังสี UVB หากสัมผัสกับผิวเป็นเวลานานจะทำให้ผิวมีอาการแสบร้อน คัน หรือผิวหมองคล้ำได้โดยง่าย

ระดับความรุนแรงของผิวไหม้แดด

อาการผิวไหม้แดดมีระดับความรุนแรงที่แตกต่างกันออกไปและมีความเกี่ยวข้องกับระยะเวลาในการรักษาด้วย โดยแบ่งเป็น 3 ระดับดังต่อไปนี้

ระดับที่ 1 ผิวไหม้แดดเล็กน้อย

ผิวไหม้แดดในระยะนี้ ผิวจะมีสีแดงเกิดขึ้น ในบางรายมีอาการเจ็บปวดเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นประมาณ 3-5 วัน บริเวณที่ผิวไหม้แดดจะมีการลอกเนื่องจากการผลัดของเซลล์ผิว เพื่อสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทน

ระดับที่ 2 ผิวไหม้แดดปานกลาง

ผิวไหม้แดดในระดับปานกลางนี้ จะมีอาการแสบ คัน ในบางรายมีอาการผิวแดง บวม ผิวไหม้ตามบริเวณที่ถูกแสงแดดทำร้าย จนทำให้ผิวคล้ำลง และเมื่อสัมผัสบริเวณดังกล่าวอาจรู้สึกเจ็บปวด ซึ่งอาการเหล่านี้จะอยู่ประมาณ 5-7 วัน ให้เฝ้าระวังและจะต้องมีการฟื้นฟูเพื่อให้ผิวกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง และผิวอาจลอกหลังจากหายเป็นปกติแล้วประมาณ 2-3 วัน

ระดับที่ 3 ผิวไหม้แดดรุนแรง

ผิวไหม้แดดในระดับนี้จะมีความรุนแรงมากที่สุด เพราะนอกจากจะมีอาการแดงที่ผิวแล้ว ยังมีอาการปวดแสบปวดร้อนที่ผิวมากกว่าปกติ คัน เกิดตุ่มน้ำใสๆขึ้นในบริเวณที่มีอาการ ในขั้นนี้ควรเข้าพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำและวิธีการรักษาที่ถูกต้อง ซึ่งโดยปกติอาจจะใช้เวลาในการรักษามากกว่า 2 สัปดาห์

กลุ่มเสี่ยงของการเกิดผิวไหม้แดด

อาการผิวไหม้แดดสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย ทั้งชายและหญิง ที่นอกจากการการถูกทำลายจากแสงแดดแล้ว ยังมีปัจจัยกระตุ้นอื่นๆที่เกี่ยวข้อง รวมถึงลักษณะทางกายภาพของคน ภาวะหรือพฤติกรรมต่างๆในการใช้ชีวิตประจำวัน ก็สามารถเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดผิวไหม้แดดได้ ดังต่อไปนี้

  • คนที่มีผิวขาว นัยน์ตาสีอ่อน
  • คนที่ทำงานหรือทำกิจกรรมกลางแจ้งอยู่บ่อยๆ
  • คนที่มักดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
  • ผิวที่มักโดนแดดหรือสัมผัสกับรังสียูวีอยู่บ่อยๆโดยที่ไม่ได้ป้องกัน
  • กลุ่มคนที่ใช้ยาบางประเภทที่มีคุณสมบัติที่ไวต่อแสงหรือเป็นสารไวแสง (Photosensitizing Medication) เช่น ฟีโนไทอาซีน (Phenothiazines) ซัลโฟนาไมด์ (Sulfonamides) หรือเตตราไซคลีน (Tetracyclines)

ผิวไหม้แดดแบบไหนที่ควรไปพบแพทย์

ผิวไหม้แดดในระดับที่มีความรุนแรงมากขึ้นและมีอาการต่างๆที่ผิดปกติ ขอแนะนำให้ไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุดเพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาด้วยวิธีการที่ถูกต้องต่อไป โดยอาการต่างๆมีดังต่อไปนี้

  • ในกรณีที่ผิวไหม้แดดมีอาการอักเสบมากๆ มีตุ่มน้ำเกิดขึ้นที่ผิว(second degree sunburn) ในกรณีเช่นนี้ไม่แนะนำให้เจาะหรือแกะเองโดยเด็ดขาด ให้รีบไปพบแพทย์ผิวหนังให้เร็วที่สุด
  • เมื่ออุณหภูมิในร่างกายสูง ตัวร้อน จับไข้ หนาวสั่น วิงเวียน อ่อนเพลีย เป็นตะคริว หรือปวดศีรษะร่วมด้วย
  • มีสัญญาณของภาวะช็อก เช่น ความดันโลหิตต่ำ หมดสติ อ่อนเพลียรุนแรง

ไม่เพียงเท่านั้น อาการผิวไหม้แดดอย่างรุนแรงยังอาจนำไปสู่โรคเพลียความร้อน (Heat exhaustion) และโรคลมความร้อน หรือโรคฮีตสโตรก (Heat stroke) ที่มักเรียกกันว่าโรคลมแดด ซึ่งพบมากในเด็กและผู้สูงอายุ ไม่เพียงเท่านั้นผิวไหม้แดด ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้ด้วย เช่น โรคมะเร็งผิวหนังชนิดเบซาลเซลล์ (Basal cell carcinoma หรือ BCC) โรคมะเร็งผิวหนังชนิดสะความัส (Squamous Cell Carcinoma หรือ SCC) รวมถึงโรคมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา (Melanoma) ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

วิธีรักษาและฟื้นฟูผิวไหม้แดด

เมื่อมีอาการผิวไหม้แดด สามารถทำการรักษาได้ด้วยการใช้ยา การฟื้นฟูผิวด้วยตัวเอง หรือจะพึ่งการรักษาโดยใช้หัตถการทางการแพทย์ได้ด้วย ดังต่อไปนี้

การใช้ยา

การใช้ยาทั้งยารับประทานและยาทา เป็นหนึ่งในวิธีที่จะช่วยบรรเทาอาการผิวไหม้แดด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อการรักษาที่ทรงประสิทธิภาพและมีความปลอดภัย ดังนี้

  • การใช้ยาทาหรือครีมไฮโดรคอร์ติโซน หรือไทรแอมซิโนโลน เพื่อบรรเทาอาการคันและอาการอักเสบ แต่เรื่องจากครีมที่เป็นยาเหล่านี้มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ จะต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์ และไม่ควรใช้ติดต่อกันเกิน1 สัปดาห์ และถ้าหากใช้แล้วอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง ควรรีบพบแพทย์ทันที
  • การรับประทานยาต้านการอักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ยาพาราเซตามอลหรือไอบู โพรเฟน ในกรณีที่อาการไม่รุนแรงมาก

รักษาด้วยหัตถการทางการแพทย์

การรักษาด้วยหัตถการทางการแพทย์ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของหลายคน ที่มีงบประมาณเพียงพอในการรักษา ดังต่อไปนี้

  • การทำเลเซอร์(Laser)
    เป็นการใช้เลเซอร์เพื่อผลัดเซลล์ผิวเก่าที่คล้ำเสียให้หลุดออกอย่างอ่อนโยน นอกจากนั้น ยังสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของผิวต่างๆได้ด้วย ไม่เพียงเท่านั้นพลังงานจากแสงเลเซอร์ยังช่วยลดความมันบนใบหน้า ช่วยกระชับรูขุมขนให้ผิวหน้าดูเรียบเนียนขึ้น ลดรอยแดง รอยดำ พร้อมกระตุ้นการทำงานของคอลลาเจนในชั้นใต้ผิว ให้ผิวแข็งแรง ยืดหยุ่น ดูเปล่งปลั่งสุขภาพดีมากยิ่งขึ้นด้วย
  • การทำทรีทเม้นท์(Threatment)      
    โดยส่วนใหญ่ทรีทเม้นท์ที่ทำ เป็นการผลักวิตามินเข้มข้นเข้าสู่ชั้นผิวได้อย่างล้ำลึก สามารถช่วยลดปัญหาหน้าหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ และจุดด่างดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งช่วยฟื้นฟูผิวหน้าให้มีความกระจ่างใส รูขุมขนกระชับและผิวดูเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น
  • การมาส์กหน้า(Facial Mask)
    การมาส์กหน้าเป็นหนึ่งในวิธีเพื่อการบำรุงผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถช่วยบำรุงผิวหน้าให้มีความชุ่มชื้น ช่วยแก้ปัญหาผิวหยาบกร้าน ลดรอยหมองคล้ำของผิวลงได้

การฟื้นฟูผิวด้วยตนเอง

ในกรณีที่ผิวไหม้แดด ไม่ได้มีอาการรุนแรงมาก สามารถฟื้นฟูผิวให้ดีขึ้นด้วยตัวเองได้ ดังนี้

  • ประคบเย็นเพื่อปลอบประโลมผิว
    การปลอบประโลมผิวด้วยการประคบเย็นหรือการแช่ผิวด้วยน้ำเย็น เป็นการช่วยลดความอักเสบของผิวที่สัมผัสกับแดดเป็นเวลานานๆได้ ซึ่งสามารถทำเองได้ทันทีหลังจากที่โดนแดดมา แต่มีข้อควรระวังอยู่บ้างคือให้หลีกเลี่ยงการลงไปแช่ตัวในสระว่ายน้ำที่มีสารคลอรีน เพราะอาจจะทำให้ผิวระคายเคืองและเกิดการอักเสบที่มากกว่าเดิม แต่ควรลีกเลี่ยงการใช้น้ำแข็งประคบลงบนผิวในบริเวณที่ไหม้แดด เพราะความเย็นของน้ำแข็งจะทำลายผิวจนทำให้ผิวเสียได้มากขึ้นกว่าเดิม
  • การใช้ว่านหางจระเข้ฟื้นฟูสภาพผิว
    ว่านหางจระเข้ เป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่สามารถหาได้ง่ายและนำมารักษาหน้าไหม้แดดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยควรใช้เนื้อว่านหางจระเข้หรือเป็นเจลว่านหางจระเข้ 100% ที่ไม่เจือปนสารเคมีอื่นๆ ไม่มีสี กลิ่น และน้ำหอม ทาลงบนผิวตรงที่ไหม้แดดเพื่อลดการอักเสบจากการถูกเผา ทั้งยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นที่บริเวณแผลได้ด้วย ให้ทาทุกวัน ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างทำความสะอาดด้วยน้ำเย็น ไม่เพียงแต่ช่วยปลอบประโลมผิว แต่ยังมีฤทธิ์ทำให้ผิวที่ถูกแสงแดดทำลายจนไหม้นั้นได้รับการฟื้นฟูและลดการระคายเคืองของผิวได้ดีอีกด้วย  ซึ่งจากผลการวิจัยพบว่า เนื้อวุ้นใสในว่านหางจระเข้สามารถรักษาโรคสะเก็ดเงิน โรคผิวหนังอักเสบ ผิวแห้งแตก ผิวถลอก ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการของผิวไหม้แดดที่ไม่รุนแรงมากได้ด้วย เนื่องจากในว่านหางจระเข้มีกรดซาลิซิลิก ที่คอยยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย และช่วยผลัดเซลล์ผิวใหม่ ทั้งยังมีสารช่วยปกป้องและสมานผิวอื่นๆได้อีกด้วย
  • ดื่มน้ำสะอาดมากๆ
    อาการผิวไหม้แดด เป็นหนึ่งในสัญญาณที่บอกให้รู้ว่าคุณสูญเสียน้ำในร่างกายมากจนเกินไป ดังนั้น การดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย อย่างน้อยวันละ 8 แก้วจะทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น ทั้งยังทำให้เกิดกระบวนการฟื้นฟูหรือซ่อมแซมสภาพผิวที่เสียไปให้กลับแข็งแรงขึ้นมาได้ และควรงดการดื่มเครื่องดื่มบางประเภท เช่น โซดา กาแฟ และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้อาจทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำได้
  • ประคบด้วยชาดอกคาโมมายล์
    ชาดอกคาโมมายล์ มีสรรพคุณที่ช่วยบรรเทาอาการผิวไหม้แดด โดยให้แช่ผงชาในน้ำร้อน เมื่อชาเดือดแล้วให้พักไว้จนเย็น จากนั้นให้นำผ้ามาจุ่มลงในน้ำชาแล้วนำไปประคบในบริเวณที่เป็นผิวไหม้แดดได้เลย แต่มีข้อควรระวัง คือไม่เหมาะกับคนที่แพ้เกสรดอกไม้  เพราะจะทำให้ผิวหนังเกิดอาการแพ้มากขึ้น
  • ทาครีมบำรุงผิวที่มีมอยส์เจอร์ไรเซอร์
    การใช้ผลิตภัณฑ์ทาผิวที่ให้ความชุ่มชื้นอย่างมอยเจอร์ไรเซอร์ ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน ช่วยลดการระคายเคืองของผิว ทั้งยังช่วยให้ผิวที่ไหม้แดดฟื้นฟูตัวเองได้เร็วขึ้นด้วย โดยให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวของตนเอง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยให้ทาทันทีหลังอาบน้ำเสร็จหมาดๆ เพราะผิวจะช่วยกักเก็บเอาชุ่มชื้นเอาไว้ได้ดีขึ้น

เทคนิคการดูแลผิวไหม้แดดด้วยตัวเอง

ในการฟื้นฟูผิวจากอาการผิวไหม้แดดด้วยตัวเอง มีเทคนิคและวิธีการดังต่อไปนี้

  • ไม่ลอก แกะ เกาบริเวณผิวไหม้แดด
    การแกะ เกาหรือลอก เป็นการเปิดโอกาสให้เชื้อโรคที่อยู่ที่มือของคนเราเข้าไปทำให้อาการที่เป็นอยู่ลุกลามมากขึ้นได้ รวมไปถึงการเจาะตุ่มน้ำในบริเวณผิวไหม้แดด ทำให้ผิวในชั้นถัดไปเกิดการระคายเคืองและอาจจะเพิ่มระดับความรุนแรงของอาการที่เกิดขึ้น ควรรอให้ตุ่มน้ำแตกออกมาเอง จากนั้นจึงใช้ปิโตรเลียมเจลทาเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นประมาณ 2-3 ครั้งต่อวัน แล้วปิดผิวด้วยพลาสเตอร์ และเฝ้าระวังอาการเพราะตุ่มน้ำจากผิวไหม้แดดอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของเซลล์เม็ดสีเมลานินได้
  • งดการขัดหรือสครับผิว
    ในช่วงที่ผิวไหม้แดด ควรงดการชัดผิวหรือการสครับผิว เนื่องจากผิวในบริเวณนั้นยังมีความอ่อนแอและบอบบางเป็นพิเศษ อาจจะทำให้เกิดการระคายเคือง ปวดแสบปวดร้อนได้มากกว่าปกติ
  • หลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดโดยตรง
    วิธีสำคัญที่จะช่วยฟื้นฟูสภาพผิวได้ดีคือการหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญกับแสงแดดโดยตรง โดยเฉพาะในช่วงเวลา 10.00 – 16.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่แดดแรง เป็นการป้องกันภาวะผิวไหม้แดดรุนแรง หรือป้องกันปัญหาผิวถูกทำลาย ซึ่งในช่วงที่ผิวมีอาการไหม้แดด จะไวต่อแสงมากกว่าปกติ อาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองได้โดยง่าย และในขณะที่เซลล์ผิวกำลังซ่อมแซมตัวเองหลังอาการผิวไหม้แดดโดยเฉพาะบริเวณลำตัว ควรใส่เสื้อผ้าหลวมๆ เพราะเสื้อผ้าที่รัดรูปมากจนเกินไป จะทำให้ผิวหนังไม่ได้รับการฟื้นฟูสภาพผิวอย่างเต็มที่ ทำให้เกิดการระคายเคืองได้เพราะการเสียดสี และถ้าเป็นได้ให้เลือกใส่เสื้อผ้าที่ทำจากวัสดุจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น เส้นใยฝ้ายหรือใยไผ่ จะช่วยป้องกันการระคายเคืองของผิวหนังในบริเวณที่มีอาการผิวไหม้แดดได้

วิธีป้องกันผิวไหม้แดด

ก่อนที่ผิวจะถูกทำลายจากแสงแดด มีวิธีป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดอาการผิวไหม้แดดและคล้ำเสียได้ง่าย ดังต่อไปนี้

  • ใช้เจลหรือสเปรย์ว่านหางจระเข้
    สามารถใช้ได้ทั้งก่อนและหลังจากที่เผชิญกับแสงแดดทันที เพื่อเป็นการปลอบประโลมผิวและป้องกันผิวไหม้ นอกจากนี้ว่านหางจระเข้ยังทำให้เนียนชุ่มชื่นไม่แห้งเกินไป เป็นการช่วยเติมน้ำให้กับผิวได้อีกทาง
  • แต่งกายให้มิดชิด ปกป้องผิวจากแสงแดด
    เมื่อต้องออกแดด ควรปกป้องผิวด้วยการใส่เสื้อผ้าให้มิดชิด เช่นใส่หมวกปีกกว้าง เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว รวมถึงการใส่แว่นตากันแดดที่สามารถปกป้องรังสียูวีได้ หรือถ้าจำเป็นต้องออกแดดในช่วงที่แดดแรง ให้ใช้ร่มกันแดดเพื่อป้องกันการสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง
  • ทาครีมกันแดด
    ทุกวันที่ต้องเผชิญกับแสงแดด ให้เลือกทาครีมกันแดดที่มีค่าป้องกันแสงแดด(SPF) ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป และสามารถป้องกันได้ทั้งรังสียูวีเอ (UVA) และยูวีบี (UVB) โดยให้ทาก่อนออกจากบ้านอย่างน้อย 30 นาทีขึ้นไป และควรใช้ครีมกันแดดเสมอแม้ในวันที่ไม่มีแดดหรืออยู่ในที่ร่ม ให้ทาครีมกันแดดซ้ำทุก 2 ชั่วโมงหรือทาบ่อยขึ้นในกรณีที่ต้องว่ายน้ำหรือมีเหงื่อออกมาก

เทคนิคการเลือกใช้ครีมกันแดดป้องกันผิวไหม้แดด

การทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอและเป็นประจำทุกวัน สามารถช่วยลดการเกิดอาการผิวไหม้แดดได้ แต่นั่นหมายถึงว่าครีมกันแดดที่คุณเลือกใช้จะต้องมีประสิทธิภาพ คือมีค่า SPF และค่า PA ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคุณและกิจกรรมต่างๆที่คุณทำด้วย โดย

  • ค่า SPF เป็นค่าที่แสดงถึงการป้องกันรังสียูวีบี ค่ายิ่งมาก ก็ยิ่งป้องกันได้นาน ไม่ต้องทาซ้ำอยู่บ่อยๆ
  • ค่า PA เป็นค่าที่แสดงถึงการป้องกันรังสียูวีเอ ยิ่งถ้ามีเครื่องหมายบวก (+) ต่อท้ายมาก ก็ยิ่งป้องกันได้ดียิ่งขึ้น

ซึ่งเทคนิคและวิธีการทาครีมกันแดด มีดังต่อไปนี้

  • ให้ตรวจสอบครีมกันแดดยี่ห้อที่เลือกใช้ ว่าเหมาะกับสภาพผิวของเราหรือก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือไม่ โดยให้ทาลงไปในบริเวณที่บอบบางก่อน เช่น หลังมือ ข้อพับแขน หรือข้อพับขา เป็นต้น
  • ก่อนออกจากบ้าน ควรทาครีมกันแดดก่อนเวลาประมาณ 30 นาทีขึ้นไป
  • หากต้องเผชิญกับแสงแดดนาน 1-7 ชั่วโมง ให้ทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง เพื่อผลลัพธ์ที่ดีมากยิ่งขึ้น
  • ปริมาณครีมกันแดดที่ทาแต่ละครั้งจะอยู่ที่ประมาณ 1 ออนซ์ หรือ 2 ข้อนิ้วมือ
  • ห้ามใช้ครีมกันแดดที่หมดอายุ
  • เลือกครีมกันแดดที่เหมาะสมกับกิจกรรมที่ทำ เช่น หากคุณทำกิจกรรมเกี่ยวกับน้ำ ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่สามารถป้องกันน้ำ ป้องกันเหงื่อได้ เป็นต้น

mesoprotech melan 130 pigment control ครีมกันแดดเนื้อดี ที่ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยค่า SPF 50+ โดยมีคุณสมบัติที่โดดเด่นที่ช่วยปกป้องและถนอมผิวของคุณได้ดังต่อไปนี้  

  • ปกป้องผิวจากรังสี UV (UVA & UVB)
  • ช่วยลดเลือนและป้องกันการเกิดจุดด่างดํา ลดความหมองคลํ้าของผิว
  • เนื้อกันแดดสีเบจ ช่วยปกปิดจุดด่างดํา และรอยหมองคลํ้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ
  • เนื้อสัมผัสบางเบา เกลี่ยง่าย ไม่เหนอะหนะ ไม่หนักผิว

โดยมีส่วนประกอบสำคัญเกรดพรีเมี่ยม ดังนี้

  • mesoprotech complex มีส่วนช่วยปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVB ไม่เพียงเท่านั้นยังมีสารแอนติออกซิแดนท์ที่ช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระทั้งในรังสีอินฟราเรดและแสงสีฟ้าที่มากระทบผิวได้อย่างดียอดเยี่ยมอีกด้วย
  • Azeloglicina ( Azelaic acid) ที่ช่วยป้องกันรอยหมองคลํ้าหรือจุดด่างดํา ที่มีสาเหตุมาจากแสงแดด
  • Sunflower seed oil (NMF) ช่วยรักษาความชุ่มชื้นผิวตามธรรมชาติ

 

ผิวไหม้แดดกับโรคมะเร็งผิวหนัง

ผิวไหม้แดดและโรคมะเร็งผิวหนัง มีส่วนที่เกี่ยวข้องและสัมพันธ์กันเนื่องจากมีสาเหตุมาจากรังสียูวีหรือแสงแดด  โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • สำหรับคนที่มีผิวสีขาว โดยเฉพาะคนที่มีความบกพร่องทางพันธุกรรม หากปล่อยให้ผิวไหม้แดดอยู่บ่อยๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา (Melanoma)ได้ ซึ่งมะเร็งชนิดนี้ เป็นอันตรายถึงชีวิต จากผลการศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่า รังสียูวีที่ทำลายผิวหนังสามารถทำให้กลุ่มยีนที่ทำหน้าที่ควบคุมการเจริญของเซลล์ (Tumor suppressor gene) เปลี่ยนแปลงไป จนเซลล์ที่ได้รับบาดเจ็บซ่อมแซมตัวเองได้น้อยลง จึงเสี่ยงเป็นมะเร็งมากขึ้น
  • การทำงานหรือเล่นกีฬากลางแจ้งอยู่บ่อยๆและเป็นประจำ ยิ่งเพิ่มโอกาสในการเกิดผิวไหม้แดด และโรคมะเร็งผิวหนัง
  • ในกรณีที่มีอาการผิวไหม้แดดขั้นรุนแรงจนกลายเป็นแผลพุพองเพียงครั้งเดียว ไม่ว่าจะวัยเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ตาม สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมาได้ถึงสองเท่าเลยทีเดียว
  • ถ้าหากปล่อยให้ผิวไหม้แดดบ่อยๆโดยไม่ได้รับการดูแลรักษา ผิวหนังก็จะยิ่งถูกทำลาย และเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนังได้มากขึ้น
  • หากมีอาการผิวไหม้แดดตั้งแต่ 5 ครั้งขึ้นไป นั่นหมายถึงการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมาได้ถึงสองเท่า

สูตรพอกหน้ารักษาผิวไหม้แดด

สำหรับใครที่ต้องการพอกหน้าเพื่อช่วยฟื้นฟูรักษาผิวไหม้แดด เรามีสูตรพอกหน้ายอดนิยมมานำเสนอ ดังต่อไปนี้

  • สูตรพอกหน้าด้วยแตงกวา
    แตงกวามีสรรพคุณที่ช่วยปลอบประโลมผิวได้เป็นอย่างดี ช่วยลดอาการผิวไหม้จากแสงแดด อาการแสบแดง ทำให้ผิวหน้าสดชื่นขึ้น ทั้งยังช่วยลดความมัน กระชับรูขุมขน บำรุงผิวหน้าให้กระจ่างใส เนียนนุ่ม ชุ่มชื้นได้ สามารถทำได้โดยนำแตงกวามาล้างให้สะอาด บดให้ละเอียด แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที จากนั้นล้างออกให้สะอาด ทำเป็นประจำ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยให้ฟื้นบำรุงผิวให้กลับมาเป็นปกติได้เร็วขึ้น
  • สูตรพอกหน้าด้วยว่านหางจระเข้
    ว่านหางจระเข้มีสรรพคุณรักษาอาการแสบร้อน ช่วยให้ความชุ่มชื้นต่อผิว ลดความมัน จุดด่างดำต่างๆ ได้ดี รวมถึงผิวไม้แดดด้วยเช่นกัน วิธีการพอก ให้เริ่มต้นจากการนำวุ้นว่านหางจระเข้มาล้างให้สะอาด บดให้ละเอียด แล้วนำมาพอกให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างออก ถ้าทำเป็นประจำ จะทำให้ผิวเนียนนุ่ม ชุ่มชื้น ดูเปล่งปลั่ง สุขภาพดีขึ้น
  • สูตรพอกหน้าด้วยโยเกิร์ต
    โยเกิร์ตช่วยให้มีการผลัดเซลล์ผิวที่คล้ำเสียให้หลุดออกไปได้ง่ายขึ้นอย่างอ่อนโยน ทั้งยังช่วยบำรุงผิวให้มีความชุ่มชื้น เนียนนุ่ม น่าสัมผัส วิธีการง่ายแสนง่าย เพียงแค่นำโยเกิร์ตรสธรรมชาติมาทาให้ทั่วใบหน้า พอกทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที จากนั้นล้างออกให้สะอาด เพียงเท่านี้ผิวก็จะนุ่มและดูใสขึ้น
  • สูตรพอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง
    น้ำผึ้งมีคุณสมบัติในการลดการอักเสบของผิว ช่วยให้แผลหายเร็วมากขึ้น ช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน ให้ผิวหน้ากระจ่างใส เรียบเนียน ลดเลือนริ้วรอย ซึ่งวิธีการพอกสามารถทำได้ง่ายๆ โดยจะนำน้ำผึ้งมาแต้มตามจุดที่มีปัญหาที่เป็นจุดด่างดำ รอยหมองคล้ำหรือจะพอกทั่วทั้งใบหน้าเลยก็ได้ ทิ้งไว้ ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด เพียงเท่านี้ ผิวก็จะดูนุ่มชุ่มชื้นมากขึ้น
  • สูตรพอกหน้าด้วยน้ำมันมะพร้าว
    น้ำมันมะพร้าวช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น เรียบเนียน ช่วยลดอาการผิวแห้งลอก แสบร้อน และผิวแตกลาย นอกจากจะนำมาพอกหน้าได้แล้ว ยังสามารถนำมาหมักผม เช็ดเครื่องสำอางได้ดีอีกด้วย

“ผิวไหม้แดด”  เป็นอาการที่ไม่ควรปล่อยเอาไว้โดยไร้การรักษา เพราะอาจจะส่งผลให้ผิวเสียสมดุลได้ในระยะยาว และเมื่อผิวอ่อนแอลงก็จะทำให้เกิดการระคายเคืองได้โดยง่าย ซึ่งในการฟื้นฟูรักษาสภาพผิวไหม้แดดก็ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของอาการที่เกิดขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เมื่อมีอาการที่ผิดปกติและมีความรุนแรงขึ้น เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้องและการรักษาที่เหมาะสมต่อไป แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เราสามารถปกป้องผิวของเราเมื่อต้องเผชิญกับแสงแดดได้ โดยการสวมใส่เสื้อผ้าที่มิดชิด การทาครีมบำรุงที่เหมาะกับสภาพผิว รวมถึงการทาครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นประจำก็จะช่วยป้องกันผิวจากการถูกทำลายจากแสงแดดได้ เป็นต้น

 

 

ใส่ความเห็น