บอกลาฝ้าผสมให้ผิวเกลี้ยงเกลากระจ่างใสด้วย 3 นวัตกรรมจาก mesoestetic

“ฝ้า” คำ ๆ เดียวที่ใครได้ฟังแล้วก็ต้องผวา เพราะถือว่าเป็นปัญหาผิวที่สร้างความหนักอกหนักใจให้ใครต่อใครมาหนักต่อหนัก เพราะถือว่าเป็นปัญหาผิวที่รักษาให้หายยากมากในบรรดาปัญหาผิวทั้งหมด ยิ่งใครที่เป็นฝ้าผสมด้วยแล้วยิ่งยากเข้าไปใหญ่ มาถึงตรงนี้อาจจะเกิดคำถามแล้วว่าฝ้าผสมคืออะไร แล้วทำไมถึงรักษายาก บทความนี้จะพาไปหาคำตอบและคลายข้อสงสัยนี้กันตั้งแต่สาเหตุและกลไกการเกิดฝ้า ลักษณะเฉพาะของฝ้าผสม ไปจนถึงเคล็ดลับการสยบฝ้าผสมให้จางหายได้ด้วยนวัตกรรมจาก mesoestetic จะเป็นอย่างไรบ้างนั้นสามารถติดตามได้พร้อมกันเลย

ฝ้าคืออะไร

ฝ้า (Melasma) เป็นปัญหาผิวที่เกิดจากกระบวนการทำงานที่ผิดปกติของเม็ดสีเมลานิน (Melanin pigment) ใต้ชั้นผิว ทำให้เกิดความหมองคล้ำขึ้นบนชั้นผิว โดยลักษณะของฝ้าจะเป็นปื้นหรือจุดดำเข้มตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อน ๆ ไปจนถึงม่วงคล้ำและดำ ทำให้สีผิวดูไม่สม่ำเสมอ ปัญญาฝ้าสามารถเกิดได้กับทุกเพศทุกวัยแต่มักจะพบในผู้ใหญ่ช่วงอายุตั้งแต่ 30 – 40 ปีขึ้นไป มักไม่ค่อยเกิดกับคนอายุน้อย

เมลานินคืออะไร

ดังได้กล่าวไปแล้วว่าเมลานินใต้ชั้นผิวของเราเป็นปัจจัยของการเกิดฝ้า เราลองมาทำความรู้จักกับเมลานินกันดีกว่า จริง ๆ แล้วเมลานินรงควัตถุทางธรรมชาติมีทั้งสีดำ สีน้ำตาล และสีเหลืองที่พบได้ในสิ่งมีชีวิตรวมไปถึงพืชผักผลไม้ เช่น องุ่น กล้วย เห็ด ฯลฯ ดังจะสังเกตเห็นได้จากพืชผักผลไม้เหล่านี้เวลาเกิดรอยช้ำหรือแผลมักจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลซึ่งเกิดจากการทำงานของเมลานินนั่นเอง

ในชั้นผิวหนังของมนุษย์ก็มีเมลานินอยู่ โดยที่เมลานินถูกผลิตออกมจากเซลล์สร้างเม็ดสีที่ชื่อว่าเมลาโนไซต์ (Melanocytes) โดยมีกรดอะมิโนไทโรซีน (tyrosine) ทำปฏิกิริยาออกซิเดชั่นกับเอนไซม์ไทโรซิเดส (tyrosinase) ซึ่งจะทำปฏิกิริยาที่ซับซ้อนหลายขั้นตอนจนให้ผลลัพธ์สุดท้ายเป็นเม็ดสีเมลานิน และเมื่อสร้างเสร็จแล้วจะถูกบรรจุในแคปซูล (melanosome) แล้วส่งขึ้นไปยังผิวหนังด้านบนในชั้นเคราติโนไซต์ (keratinocyte) ทำให้เกิดสีผิวขึ้นม ซึ่งกระบวนการนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ในครรภ์และจะเกิดต่อเนื่องไปตลอดชีวิต ทั้งนี้การกระจายตัวของเมลานินในชั้นเคราติโนไซต์ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันบางคนกระจายตัวน้อยแต่บางคนกระจายตัวอย่างหนาแน่น ทำให้สีผิวของคนไม่เหมือนกัน คนที่มีเมลานินแน่นผิวก็จะออกไปทางคล้ำกว่าคนที่มีเมลานินน้อย

กระบวนการที่กล่าวมานี้เป็นภาวะปกติแต่ถ้าผิดปกติขึ้นมาโดยเฉพาะเมลาโนไซต์ผลิตเม็ดสีเมลานินออกมามากกว่าเดิม ซึ่งมักจะเกิดกระจุกเป็นบางบริเวณของผิว เม็ดสีที่มากเกินนี้จะก่อให้เกิดเป็นปัญหาฝ้าขึ้นมา

ฝ้าเกิดได้อย่างไร?

ปัญหาฝ้าเกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของเซลล์เมลาโนไซต์ที่ผลิตเม็ดสีเมลานินออกมามากขึ้นกว่าปกติ ซึ่งแน่นอนว่าอยู่ ๆ เมลาโนไซต์คงไม่ทำงานผิดปกติเองแน่ ๆ ต้องมีสาเหตุปัจจัยมากระตุ้นให้ทำงานผิดปกติซึ่งสาเหตุหลักเลยก็คือแสงแดด เพราะมีรังสียูวีที่จะกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเดสมากขึ้นซึ่งจะส่งผลให้มีการสร้างเม็ดสีเมลานินที่มากขึ้นตามไปด้วย ทำให้เกิดเป็นฝ้าขึ้นตามมา ไม่เฉพาะแค่รังสียูวีจากแสงแดดเท่านั้นที่ทำให้เกิดฝ้า แต่แสงจากเครื่องใช้ไฟฟ้า แสงจากหน้าจอ รวมไปถึงแสงสีฟ้าที่ตามองไม่เห็นเหล่านี้ก็เป็นปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดฝ้าได้เช่นเดียวกัน

นอกจากแสงแดดแล้วฮอร์โมนก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยกระตุ้นให้เกิดฝ้า โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ที่จะไปกระตุ้นให้ผิวของเราไวต่อแสง จึงก่อให้เกิดฝ้าขึ้น ด้วยเหตุนี้ผู้หญิงจึงมีโอกาสเกิดฝ้าได้ง่ายกว่าผู้ชาย ซึ่งคิดเป็นตัวเลข 90% หรือเสี่ยงสูงกว่าผู้ชายมากถึง 9 เท่า โดยเฉพาะหญิงที่ตั้งครรภ์มีโอกาสเกิดฝ้าได้ง่ายมาก ไม่เพียงเท่านั้นคนที่รับประทานยาปรับฮอร์โมนหรือยาคุมกำเนิดก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดฝ้าได้ง่ายเช่นเดียวกัน

ปัจจัยอื่น ๆ อย่างกรรมพันธุ์และโรคแทรกซ้อนก็สามารถทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกัน จากงานวิจัยพบว่าคนที่มีประวัติครอบครัวเป็นฝ้าอยู่แล้วจะมีโอกาสเกิดฝ้าเพิ่มขึ้นถึง 60% นอกจากนั้นโรคที่เกิดความผิดปกติของฮอร์โมนอย่างโรคไทรอยด์ โรคมะเร็งรังไข่ ฯลฯ ก็ทำให้เกิดฝ้าขึ้นได้ง่ายเช่นเดียวกัน

ชนิดและประเภทของฝ้า

แม้ว่าฝ้าจะเกิดจากเม็ดสีเมลานินทำงานล้นเกินแต่เราก็สามารถจัดจำแนกประเภทของฝ้าตามลักษณะและตำแหน่งในการเกิดฝ้าได้ ดังนี้

  1. ฝ้าตื้น (Epidermal Melasma) เป็นฝ้าที่เกิดบนผิวหนังชั้นตื้น หรือบริเวณหนังกำพร้า
  2. ฝ้าลึก (Dermal Melasma) เป็นฝ้าที่เกิดบนผิวหนังชั้นลึก หรือบริเวณหนังแท้
  3. ฝ้าผสม (Mixed Melasma) เป็นฝ้าที่ผสมกันระหว่างฝ้าตื้นและฝ้าลึก
  4. ฝ้าเลือด (Telangiectatic Melasma) เป็นฝ้าที่มีลักษณะสีแดงเกิดความผิดปกติของเส้นเลือดฝอย
  5. ฝ้าระบุชนิดไม่ได้ (Indeterminate Melasma) เป็นฝ้าที่ไม่สามารถวินิจฉัยระบุประเภทได้ โดยมักจะพบในคนผิวสีที่มีเม็ดสีเมลานินมาก เมื่อเกิดฝ้าก็อาจจะกลืนกับสีผิวเดิมจนทำให้ระบุชนิดได้ยาก

การวินิจฉัยเพื่อจำแนกและระบุชนิดของฝ้านั้นสามารถทำได้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญผ่านเครื่องมือที่เรียกว่า Wood’s lamp เพราะถ้าวินิฉัยดูด้วยตาอาจจะบอกได้แต่เพียงว่าผิวเกิดปัญหาฝ้า แต่อาจจะไม่ละเอียดถึงขั้นบอกชนิดได้ ลักษณะของ Wood’s lamp คือการฉายแสงลงไปบนผิวช่วงคลื่นแสงประมาณ 340-400 nm ซึ่งเมื่อเราฉายแสงลงบนผิวแล้วบริเวณรอยโรคที่เกิดฝ้าเข้มข้นจะวินิจฉัยว่าเป็นฝ้าตื้น แต่ถ้าสีไม่เข้มขึ้นจากเดิมจะวินิจฉัยว่าเป็นฝ้าลึก หากว่ามีฝ้าทั้งสองชนิดนี้อยู่ร่วมกันก็จะเรียกว่าเป็นฝ้าผสม ซึ่งแน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ที่เป็นฝ้ามักจะเป็นทั้งฝ้าตื้นและฝ้าลึกกลายเป็นฝ้าผสม ทั้งนี้ฝ้าผสมเป็นฝ้าที่ค่อนข้างรักษาได้อยาก เพราะต้องรักษาทั้งฝ้าลึกและฝ้าตื้นไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งฝ้าลึกและฝ้าตื้นเองก็มีการรักษาที่แตกต่างกัน โดยฝ้าลึกจะรักษาให้หายยากกว่า ดังนั้น ถ้าเกิดเราเป็นฝ้าผสมขึ้นมานอกจากจะรักษาฝ้าตื้นหายแล้วก็ยังคงหลงเหลือฝ้าลึกให้ต้องคอยกังวลอีก

วิธีการรักษาฝ้าผสม 

การรักษาฝ้าผสมนั้นค่อนข้างยากยิ่งเป็นฝ้าสะสมต่อเนื่องมาเป็นเวลานานยิ่งต้องใช้เวลาในการรักษา ซึ่งวิธีในการรักษาฝ้าผสมนั้นแบ่งออกได้ 3 แนวทาง ดังนี้

  1. ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มไวท์เทนนิ่งจะช่วยรักษาฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะช่วยหยุดวงจรการเกิดฝ้า โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะมีสาระสำคัญ (Active ingredients) เช่น อัลฟ่าอาบูติน, Licorice, วิตามินซี, Kojic acid เป็นต้น ซึ่งสารในกลุ่มนี้จะมีประสิทธิภาพยั้บยั้งเอนไซม์ไทโรซิเดส จึงช่วยสกัดการเกิดฝ้าได้ตั้งแต่ต้นตอ

นอกจากนั้นยังมีผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารสกัดที่ช่วยเร่งกระบวนการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน ซึ่งสารเหล่านั้นมักจะมีความเป็นกรดอ่อน ๆ เช่น กรดผลไม้ ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าเอารอยฝ้าที่ประทบอยู่บนชั้นผิวให้ค่อย ๆ หลุดลอกออกโดยไม่ก่อให้เกิดการแพ้ระคายเคือง พร้อมช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ที่กระจ่างใส ฝ้าก็จะค่อย ๆ จางลงอย่างเป็นธรรมชาติ

  1. การใช้ยา

การรักษาฝ้าผสมด้วยยาเป็นวิธีการรักษาที่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์เฉพาะทาง ซึ่งปัจจุบันนี้มีรูปแบบการใช้ยารักษาฝ้า 2 ประเภท

  • ยาทา เป็นยาทาภายนอกคล้ายกับการใช้ครีมบำรุงผิว แต่ที่แตกต่างก็ตรงที่จะมีตัวอย่างสำคัญซึ่งอนุญาตให้ใช้เฉพาะแพทย์สั่งเท่านั้น ได้แก่ ยาทาในกลุ่ม Retinoids หรืออนุพันธ์วิตามินเอ กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid) รวมไปถึงยาสเตียรอยด์ ซึ่งมีผลข้างเคียงจึงต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • ยากิน หรือยารับประทาน เป็นการรักษาฝ้าจากภายใน ซึ่งต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เช่นเดียวกับยาทา โดยแพทย์มักจะสั่งให้ใช้ควบคู่กับทั้งแบบยารับประทานและยาทาเพื่อเสริมประสิทธิภาพซึ่งกันและกัน
  1. หัตถการทางการแพทย์

นอกจากการใช้ยาในการรักษาแล้วการทำหัตถการทางการแพทย์ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือก ซึ่งเทคโนโลยีในปัจจุบันที่ใช้ในการรักษาฝ้าก็มีอยู่หลากหลายแบบด้วยกันไม่ว่าจะเป็นการลอกผิวด้วยกรด การทำเลเซอร์สลายฝ้าให้แตกตัวและเล็กลง การกรอผิวด้วยผงขัด การทำไอออนโต (Ionto) หรือทำโฟโน (Phono) เพื่อผลักวิตามินและสารบำรุงเข้าสู่เซลล์ผิว ฯลฯ ซึ่งวิธีเหล่านี้เป็นวิธีที่ราคาสูง อีกทั้งยังเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงแทรกซ้อนตามมาได้อีก

สยบฝ้าผสมด้วย 3 นวัตกรรมจาก mesoestetic

Mesoestetic เป็นแบรนด์เวชสำอางระดับโลกที่มีนวัตกรรมการรักษาฝ้ายืนยันจากผู้ใช้จริงมานักต่อหนักว่าช่วยให้ฝ้าผสมและฝ้าชนิดอื่น ๆ ค่อย ๆ จางหายลงไปอย่างมีประสิทธิภาพเมื่อใช้ต่อเนื่อง ซึ่งผลิตภัณฑ์สกินแคร์ในกลุ่มดูแลปัญหาฝ้า COSMELAN home pack ของแบรนด์ Mesoestetic นั้นมีอยู่ 3 ชนิดด้วยกัน

cosmelan 2

ผลิตภัณฑ์ครีมรักษาฝ้าที่มีส่วนผสมของสารสกัดที่ช่วยหยุดวงจรการเกิดฝ้า ช่วยลดการทำงานที่ผิดปกติของเม็ดสีเมลานิน เช่น อัลฟ่าอาบูติน วิตามินบี3 KOJIC ACID และ PHYTIC ACID นอกจากนั้นยังมีอนุพันธ์ของวิตามินซีช่วยปรับสภาพผิวให้กระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

melan recovery

ผลิตภัณฑ์บาล์มบำรุงผิวสูตรเข้มข้นช่วยปลอบประโลมผิวให้ผิวชุ่มชื้นฉ่ำน้ำสุขภาพดี ลดเลือนความแห้งกร้าน และยังช่วยลดอาการอักเสบแสบแดงของผิวเพราะมีส่วนผสมของสารสกัดจากสาหร่ายสีแดง น้ำมันสวาเลน สารสกัดจากดอกคาโมมายล์ วิตามินบี 6 และวิตามินบี3

mesoprotech melan 130 pigment control

ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดที่ช่วยปกป้องผิวไม่ให้ถูกแสงแดดและรังสีเข้ามาทำร้ายผิวและกระตุ้นให้เกิดปัญหาฝ้ารวมไปถึงปัญหาความหมองคล้ำอื่น ๆ เพราะมีค่า SPF 50 นอกจากนั้นยังมี Azeloglicina ช่วยป้องกันฝ้าและจุดด่างดำจากแดด และยังมีน้ำมันสกัดจากเมล็ดทานตะวันช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ที่สำคัญเป็นเนื้อสีเบจบางเบา ช่วยปกปิดฝ้า กระ และจุดด่างดำได้อย่างแนบเนียน เกลี่ยง่าย ไม่ตกร่อง ไม่มันเยิ้มระหว่างวัน

คนที่เป็นฝ้าสะสมอยู่บนใบหน้ามาเป็นเวลานานมักจะวินิจฉัยได้ว่าเป็นฝ้าผสม เพราะเป็นไปได้ที่ผิวที่เกิดฝ้ามาระยะเวลาหนึ่งนั้นจะมีทั้งฝ้าตื้นและฝ้าลึก ยังไม่ร่วมปัญหาฝ้าอื่น ๆ ร่วมด้วยอย่างฝ้าเลือด ฝ้าแดด ฯลฯ ทำให้ต้องรักษาฝ้าอย่างน้อยสองชนิดซึ่งยากมากที่จะรักษาให้หายขาด แต่ก็สามารถรักษาได้ถ้ามีตัวช่วยดี ๆ อย่างเซต 3 ผลิตภัณฑ์จาก cosmelan home pack แนะนำให้ใช้ครบเซตต่อเนื่องอย่างน้อย 3-6 เดือน จะช่วยให้ปัญหาฝ้าดีขึ้นและค่อย ๆ จางลงแบบปลอดภัยไม่ทำร้ายผิว หากสนใจผลิตภัณฑ์สามารถปรึกษาและติดต่อสอบถามรายละเอียดได้เลยที่ Line Official @mesoestetic

ใส่ความเห็น