“ฝ้าตื้น” ป้องกันได้ถ้าดูแลผิวอย่างถูกวิธี

ปัญหาผิวที่ขึ้นชื่อว่ารักษายากที่สุดคงหนีไม่พ้นปัญหาฝ้าและริ้วรอย เพราะนอกจากจะมีสาเหตุมาจากแสงแดดหรือมลภาวะภายนอกแล้ว ปัจจัยเรื่องของอายุก็เป็นตัวแปรสำคัญ ยิ่งอายุมากขึ้นฝ้าและริ้วรอยก็จ่อมาเยือนกันถึงหน้าประตูบ้านเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะปัญหาฝ้าที่เมื่อเป็นขึ้นมาแล้วทำให้ผิวหมองคล้ำไม่สม่ำเสมอ ทำให้หน้าไม่กระจ่างสดใส ซึ่งแน่นอนว่าฝ้านั้นมีหลายประเภททั้งฝ้าตื้น ฝ้าเลือด ฝ้าผสม แต่วันนี้เราจะพาไปเจาะลึกถึงฝ้าตื้นกันแบบละเอียดถึงกลไกและสาเหตุการเกิดฝ้า และวิธีการป้องกันรักษาฝ้าเพื่อเป็นแนวทางในการดูแลป้องกันตนเองจากปัญหาฝ้าตื้นก่อนที่จะสายจนกลายเป็นฝ้าสะสมหรือฝ้าถาวร

ทำความรู้จักฝ้าตื้น

ฝ้าตื้นลักษณะของมันก็ตามชื่อเลยคือเป็นฝ้าที่เกิดขึ้นบนผิวหนังในชั้นผิวที่ตื้น ซึ่งโดยปกติผิวหนังของคนเราจะแบ่งออกเป็น 2 ระดับ ใหญ่ ๆ ก็คือ ชั้นผิวแท้ซึ่งเป็นผิวชั้นลึกที่มีต่อมเหงื่อต่อมไขมันรวมไปถึงคอลลาเจนและอีลาสติน ช่วยผยุงโครงสร้างของผิว ส่วนอีกชั้นที่ถัดขึ้นมาเป็นผิวชั้นบนหรือที่เรียกว่าหนังกำพร้า ซึ่งเป็นผิวที่เรามองเห็นและสัมผัสได้ โดยฝ้าที่เกิดบนผิวชั้นบนหรือหนังกำพร้านี้เองที่เราเรียกว่าฝ้าตื้น

ฝ้าตื้นต่างกับฝ้าชนิดอื่นอย่างไร

แน่นอนว่าเมื่อมีฝ้าตื้นก็ต้องมีฝ้าลึก ดังได้กล่าวอธิบายไปข้างต้นว่าฝ้าตื้นนั้นเกิดในตำแหน่งชั้นผิวที่ตื้นหรือชั้นหนังกำพร้า ส่วนฝ้าลึกนั้นจะเกิดในชั้นหนังแท้ซึ่งเป็นชั้นผิวระดับลึกก็เลยเรียกชื่อฝ้าที่เกิดบริเวณนี้ว่าเป็นฝ้าลึก ซึ่งมองดูด้วยตาเปล่าเราอาจไม่สามารถแยกแยะฝ้าทั้งสองประเภทนี้ได้ ต้องอาศัยอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เรียกว่า Wood’s lamp ที่จะทำงานด้วยการฉายแสงสีฟ้าอมม่วงที่มีช่วงคลื่นแสงยาว 340-400 นาโนเมตร ซึ่งเมื่อนำมาส่องบนผิวในบริเวณที่เกิดฝ้าแล้วจุดดำหรือปื้นของฝ้ามีความเข้มขึ้นกว่าเดิมแสดงว่าเป็นฝ้าตื้น แต่ถ้าส่องแล้วฝ้าไม่เข้มขึ้นแสดงว่าเป็นฝ้าลึก ส่วนใครที่ส่องแล้วมีทั้งฝ้าตื้นและฝ้าลึกอยู่ร่วมกันจะเรียกว่าเป็นฝ้าผสม

สาเหตุและกลไกการเกิดฝ้าตื้น

กลไกการเกิดฝ้าเป็นกลไกเดียวกับการสร้างสีผิว ซึ่งเกี่ยวข้องกับสารรงควัตถุที่สำคัญอย่างเม็ดสีเมลานิน (Melanin pigment) โดยธรรมชาติแล้วใต้ชั้นผิวของเราจะมีเซลล์ที่ชื่อว่าเมลาโนไซต์ (Melanocytes) ทำหน้าที่ผลิตและสังเคราะห์เมลานินโดยอาศัยเอนไซม์ที่ชื่อว่าไทโรซิเดส (tyrosinase) แล้วนำส่งบรรจุในแคปซูล (melanosome) ขนส่งลำเลียงขึ้นไปสู่ผิวชั้นบนในบริเวณที่เรียกว่าเคราติโนไซต์ (keratinocyte) เกิดเป็นสีผิวขึ้น ซึ่งกรรมพันธุ์และเชื้อชาติของคนแต่ละคนก็ส่งผลต่อขนาดและจำนวนเมลานินที่แตกต่างกัน คนที่ผิวขาวจะมีปริมาณเมลานินน้อยกว่าคนผิวสีเข้ม

ทว่า เมื่อกลไกการเกิดสีผิวเกิดทำงานมากจนผิดปกติก็จะทำให้เกิดปัญหาฝ้าตามมา ซึ่งปัจจัยที่มากระตุ้นการเกิดฝ้าตื้นนั้นส่วนใหญ่มักมาจากแสงแดด ในแสงแดดจะเต็มไปด้วยรังสียูวี นอกจากนั้นยังรวมไปถึงแสงจากหน้าจอและเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งรังสีในแสงเหล่านี้จะเข้าไปกระตุ้นเอนไซม์ไทโรซิเดสในเซลล์เมลาโนไซต์ให้ออกมามากขึ้น ส่งผลให้ผลิตเม็ดสีเมลานินออกมาจำนวนมาก เม็ดสีเมลานินเหล่านี้ก็จะถูกส่งขึ้นไปบนชั้นผิวและเกิดเป็นฝ้าขึ้น

นอกจากแสงแดดแล้วปัจจัยในเรื่องของฮอร์โมนก็ส่งผลกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินในจำนวนที่มากขึ้นได้ด้วย โดยเฉพาะฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิง จึงทำให้ผู้หญิงมีโอกาสเดฝ้าได้ง่ายกว่าผู้ชายถึง 9 เท่า โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์และผู้ใช้ยาคุมกำเนิด เพราะจะทำให้ฮอร์โมนสวิงไม่คงที่ โอกาสที่จะเกิดฝ้าก็มากขึ้นตามลำดับ

ฝ้าตื้นต่างจากกระและจุดด่างดำอย่างไร

ในบรรดาปัญหาความหมองคล้ำไม่สม่ำเสมอของผิวนอกจากปัญหาฝ้าแล้วยังมีปัญหากระและจุดด่างดำอีกด้วย ซึ่งปัญหาแต่ละแบบก็มีพยาธิสภาพหรือลักษณะของความผิดปกติที่แตกต่างกัน โดยฝ้าจะมีลักษณะเป็นปื้นแผ่ในบริเวณที่กว้ามีตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงสีดำคล้ำ และมักจะพบได้กับคนที่อยู่ในวัย 30 – 40 ปีขึ้นไปเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยพบในคนที่มีอายุน้อย ส่วนกระนั้นจะมีลักษณะเป็นจุดเล็ก ๆ ถี่ ๆ ไม่เป็นปื้นแบบฝ้า ส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็กกว่า 0.5 เซนติเมตร ที่สำคัญพบได้แทบจะทุกเพศทุกวัย บางคนมีมาตั้งแต่กำเนิดเลยก็มี ส่วนจุดด่างดำนั้นจะมีลักษณะคล้ายกระแต่ไม่กระจายตัวถี่เท่า มักจะพบเพียงไม่กี่จุดบนใบหน้า ไม่ได้กระจายตัวในบริเวณกว้างเหมือนฝ้าและกระ

วิธีการป้องกันฝ้าตื้น

การป้องกันการเกิดฝ้านั้นแน่นอนว่าง่ายกว่าการรักษาฝ้า ซึ่งหลัก ๆ ก็มีอยู่ 2 วิธี คือ การทาครีมกันแดดและการบำรุงผิวให้แข็งแรง เพียงแค่ 2 วิธีนี้ก็จะช่วยป้องกันการเกิดฝ้าตื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว

  1. ทาครีมป้องกันแดด

อย่างที่รู้กันดีว่าสาเหตุสำคัญในการเกิดฝ้านั้นมาจากแสงแดด วิธีการป้องกันการเกิดฝ้าง่าย ๆ ก็คือทาผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีประสิทธิภาพต่อเนื่องเป็นประจำ ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีคุณภาพโดยดูจากค่า SPF หรือ Sun Protection Factor อันหมายถึงประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVB ควรอยู่ที่ช่วง SPF 30-50 ยิ่งสูงประสิทธิภาพในการป้องกันก็จะสูงตาม นอกจากนั้นควรมีค่า PA หรือ Protection Grade of UVA หมายถึงประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA ยิ่งมีค่ามากเท่าไหร่ยิ่งป้องกันได้สูง

วิธีการเลือกใช้ครีมกันแดดจะต้องทนสอบการแพ้ก่อนทุกครั้ง ที่สำคัญควรเลือกครีมกันแดดที่ไม่มันเยิ้ม ไม่หลุดลอก เพราะอาจจะทำให้หน้ามันมากขึ้นซึ่งเสี่ยงที่จะเกิดการอุดตันรูขุมขนจนกลายเป็นปัญหาสิวตามมา ทั้งนี้ วิธีการทาครีมกันแดดให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดนั้นจะต้องใช้ในปริมาณ 35 มิลลิลิตร สำหรับทาบริเวณบนใบหน้า หรือเทียบเท่ากับการตวงด้วย 1 ช้อนชา ซึ่งก็ประมาณการบีบครีมกันแดดลงบนข้อนิ้ว 2 นิ้ว ถ้าใช้ครีมกันแดดน้อยกว่านี้จะได้รับการปกป้องจากค่า SPF และ PA น้อยกว่าที่ระบุไว้บนฉลาก ทำให้ปกป้องผิวได้ไม่เต็มที่และอาจจะทำให้เกิดฝ้าใหม่ขึ้นมาได้อีก และที่สำคัญเราจะต้องหมั่นทาครีมกันแดดซ้ำระหว่างวันในทุก ๆ 2-3 ชั่วโมงด้วย เพื่อคงประสิทธิภาพให้ต่อเนื่องและยาวนาน

นอกจากนั้นควรหลีกเลี่ยงการออกแดดจัดโดยตรง ไม่ควรออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงเวลา 11.00 – 16.00 น. เพราะนอกจากจะกระตุ้นให้เกิดฝ้าแล้วแสงแดดแรง ๆ แบบนี้อาจจะเสี่ยงทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้อีกด้วย ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ต้องทาครีมกันแดดและสวมใส่เสื้อคลุม ก้างร่ม หรือหาอุปกรณ์มาป้องกันแดดด้วยทุกครั้ง

  1. บำรุงผิวให้แข็งแรง

การมีผิวที่แข็งแรงอยู่เป็นทุนเดิมจะช่วยลดโอกาสการเกิดฝ้า เพราะผิวที่แข็งแรงจะมีเกราะป้องกันผิวหรือ skin barrier ช่วยกำบังเชื้อโรคและมลภาวะไม่ให้ทะลุทะลวงเข้าไปทำร้ายชั้นเซลล์ผิว ซึ่งวิธีการบำรุงผิวให้แข็งแรงนั้นก็มีหลากหลายแนวทางไม่ว่าจะเป็นการหลีกเลี่ยงอนุมูลอิสระจากอากาศและในอาหารไม่ให้มารบกวนผิวด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์หรือรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินอี วิตามินซี ชาเขียว ฯลฯ นอกจากนั้นก็อย่าลืมที่จะเติมเต็มความชุ่มชื้นให้กับผิวด้วยการมาส์กหน้า หรือทาผลิตภัณฑ์บำรุงในกลุ่มของมอยส์เจอร์ไรเซอร์อยู่เป็นประจำ หลีกเลี่ยงการสครับหรือขัดผิวบ่อย ๆ เพราะอาจจะทำให้ผิวบางลงจนทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอ

วิธีการรักษาฝ้า

สำหรับใครที่ประสบกับปัญหาฝ้าอยู่แล้วหรือพยายามป้องกันอย่างไรก็ยังเกิดฝ้าอยู่อาจจะต้องพิจารณาถึงปัจจัยภายในร่วมด้วยว่าอาจจะเกิดจากปัจจัยเรื่องฮอร์โมนหรือปัญหาสุขภาพในด้านอื่น ๆ ควรจะปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการอย่างละเอียดต่อไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นใครที่มีปัญหาฝ้าก็สามารถรักษาให้ค่อย ๆ เลือนหายได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

  1. ทาครีมรักษาฝ้า

ผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวหรือสกินแคร์ที่ช่วยในการรักษาฝ้านั้นจะเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มของไวท์เทนนิ่ง ซึ่งก็มีหลากหลายรูปแบบทั้งเซรั่ม เอสเซนส์ โลชั่น ครีมบำรุง ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักจะมีส่วนประกอบของสารสกัดสำคัญที่ช่วยยั้บยั้งกระบวนการทำงานของเม็ดสีเมลานิน เช่น อัลฟ่าอาบูติน กรดวิตามินซี กรดโคจิก สารสกัดจาก ชะเอมเทศ รวมไปถึงสารต้านอนุมูลอิสระ

  1. ใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว

แน่นอนว่าการทาครีมไวท์เทนนิ่งอาจจะไม่เพียงพอ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ในกลุ่มไวท์เทนนิ่งจะช่วยยั้บยั้งการทำงานของเม็ดสีเมลานิน แต่ไม่ไม่ประสิทธิภาพมากพอในการขจัดรอยของฝ้าที่เกิดบนชั้นผิวให้หลุดออกไปได้ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างกลุ่มของกรดผลไม้ AHA BHA หรือกรดซาลิไซลิก จะช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นบนที่มีรอยฝ้าตื้นให้ค่อย ๆ หลุดออก ฝ้าก็จะค่อย ๆ จางลง ผิวก็จะค่อย ๆ ขาวกระจ่างใสขึ้น

  1. ยารักษาฝ้า

ปัจจุบันมีการใช้ยารักษาฝ้าทั้งรูปแบบยาทาและยารับประทาน แต่ตั้งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด ไม่สามารถซ้อยามาใช้เองได้โดยพลการ โดยกลุ่มยาที่ใช้ในการรักษาฝ้านั้นจะอยู่ในกลุ่ม Retinoids หรืออนุพันธ์วิตามินเอ กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid) รวมไปถึงยาสเตียรอยด์ ซึ่งมีข้อจำกัดและข้อบ่งชี้ในการใช้ทที่ซับซ้อนและเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงตามมาได้ง่าย

  1. หัตถการทางการแพทย์

การทำหัตถการทางการแพทย์อย่างการทำเลเซอร์ การกระตุ้นไฟฟ้าด้วยไอออนโตของวิตามินซี การลอกหน้าด้วยสารเคมี รวมไปถึงการกรอผิวด้วยผงขัด หัตถการเหล่านี้ช่วยรักษาฝ้าได้ค่อนข้างเร็ว แต่ต้องแลกมาด้วยการเจ็บตัว ที่สำคัญยังมีราคาสูง ต้องทำติดต่อกันต่อเนื่องหลายครั้ง และยังเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงหลังทำได้อีก

  1. ทาครีมกันแดด

ไม่ว่าจะเป็นฝ้าอยู่หรือไม่เป็นฝ้ายังไงก็ห้ามละเลยทาครีมกันแดดเด็ดขาด เพราะการทาครีมกันแดดจะช่วยลดความรุนแรงของฝ้าเดิมไม่ให้ดำเข้มเพิ่มขึ้นไปอีก และยังช่วยป้องกันการเกิดฝ้าใหม่ไม่ให้เพิ่มจำนวนขึ้นมาอีก ทำให้การรักษาฝ้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ปัญหาฝ้าตื้นนั้นถือว่าเป็นฝ้าที่รักษาให้หายง่ายกว่าฝ้าชนิดอื่น ๆ เพราะเป็นฝ้าที่อยู่ในผิวชั้นตื้น สารบำรุงผิวต่าง ๆ จากผลิตภัณฑ์สกินแคร์สามารถช่วยฟื้นฟูให้ฝ้าจางหายได้ ซึ่งจะต้องอาศัยวินัยและความต่อเนื่อง ที่สำคัญเลยก็คือหลีกเลี่ยงปัจจัยหลักของการเกิดฝ้าอย่างแสงแดดด้วยการทาครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพ ก็จะช่วยป้องกันและดูแลฝ้าตื้นให้จางหายได้อย่างปลอดภัย

ใส่ความเห็น