“ความเครียด” ไม่ได้เป็นเพียงภาวะทางจิตใจ หรือระบบสมอง ที่ส่งผลกระทบต่อสภาพร่างกายในหลากหลายรูปแบบเท่านั้น แต่ยังสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นกับผิวของคนเราได้ด้วย หรือที่เรียกกันว่า “ภาวะเครียดลงผิว” ไม่เพียงสิว หรือหน้าหมองคล้ำเท่านั้น แต่ภาวะผิวเครียดนี้ ยังเป็นหนึ่งในต้นตอหรือสาเหตุสำคัญในการเกิดฝ้าหนาเตอะ ยากต่อการรักษาอีกด้วย วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับภาวะความเครียดที่เกิดกับผิวด้วยกัน เพื่อหาแนวทางในการป้องกันและการรักษาอย่างถูกต้องและตรงจุดต่อไป
ประเภทของความเครียด
ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง ได้อธิบายว่าความเครียดสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
- ความเครียดแบบฉับพลัน เป็นความเครียดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ในแต่ละสถานการณ์เฉพาะหน้า
- ความเครียดแบบเรื้อรัง ซึ่งความเครียดประเภทนี้เองที่สามารถส่งผลเสียต่อผิวพรรณ ยิ่งถ้าหากมีความเครียดสะสมอยู่มาก ปัญหาผิวพรรณก็จะมีมากขึ้นตามมาเท่านั้น
ภาวะผิวเครียดคืออะไร
“ภาวะผิวเครียด” เป็นหนึ่งในอาการของโรคทางจิตวิทยาผิวหนังที่มีชื่อเรียกว่า Psychodermatology ซึ่งเกิดจากสภาวะจิตใจหรือความเครียดที่ไปกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนแห่งความเครียดอย่าง ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมามากกว่าปกติ จนส่งผลต่อกระบวนการทำงานในร่างกาย ทำให้ร่างกายเสียสมดุล ทำให้ผิวเกิดความผิดปกติ เป็นต้นเหตุที่ทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง เกิดการอักเสบและติดเชื้อได้ง่าย
ภาวะผิวเครียดเกิดขึ้นในช่วงใดบ้าง
แท้จริงแล้ว ภาวะผิวเครียดสามารถเกิดขึ้นตามวิถีชีวิตของแต่ละคน แต่ก็มีบางช่วงเวลาที่ทำให้สภาวะนี้เกิดได้ง่ายขึ้น ทั้งบริเวณผิวหน้าและทั่วร่างกาย ดังนี้
- เกิดขึ้นในช่วงที่ร่างกายมีความตึงเครียด เช่น ในช่วงที่มีประจำเดือน เป็นต้น
- ในช่วงที่ร่างกายมีความอ่อนแรงสะสม ทำงานหนัก สังเกตว่ามักจะเกิดผื่นขึ้นที่ผิวหนัง
- สามารถเกิดขึ้นหลังจากการออกกำลังกายอย่างหนักและหักโหม
- เกิดขึ้นได้ในช่วงที่พักผ่อนไม่เพียงพอและนอนดึกติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง
- เกิดขึ้นในช่วงที่มีความกดดัน ความเครียด และอารมณ์หงุดหงิด โดยจะมีผื่นคันขึ้น
ปัญหาที่เกิดจากภาวะผิวเครียด
อย่างที่ทราบกันว่า ความเครียดที่สะสมมาต่อเนื่องจนเรื้อรัง ไม่เพียงส่งผลต่อสภาพจิตใจเท่านั้น แต่ผลของความเครียดยังแสดงออกมาที่ผิวหนังในอาการต่างๆที่แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้
- การหลั่งของฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ที่เพิ่มมากขึ้น เมื่อเกิดภาวะความเครียดหรือความวิตกกังวลเกินพิกัด ส่งผลให้ภูมิต้านทานของร่างกายลดต่ำลง ไม่เพียงเป็นสาเหตุของการเกิดผื่น สิว หรือการระคายเคือง เท่านั้น แต่ภาวะผิวเครียดยังสามารถกระตุ้นการสร้างเซลล์เม็ดสีเมลานิน(Melanin) ทำให้หน้าหมองคล้ำ ผิวไวต่อแสง ทำให้เกิดเป็นฝ้า กระ และจุดด่างดำได้ง่าย นอกจากนั้น ความเครียดของผิว ยังยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนแห่งความเป็นหนุ่มเป็นสาวอย่างโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ทำให้ผิวมีความแห้งกร้าน เกิดริ้วรอยร่องลึก และทำให้ผิวหย่อนคล้อยได้ง่ายอีกด้วย
- ทำให้ผิวเสียสมดุล เมื่อมีความเครียดเกิดขึ้น เหงื่อก็จะหลั่งออกมามากขึ้น จนทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น และต่อมไขมันก็จะผลิตน้ำมันออกมาในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้นเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิว ทำให้มีไขมันส่วนเกินบนใบหน้า และเมื่อไขมันไปรวมกับเซลล์ผิวที่ตายแล้วและเชื้อแบคทีเรีย ก็จะทำให้เกิดการอุดตันที่รูขุมขน เพิ่มโอกาสในการเกิดสิวได้อีกด้วย
- ผิวแพ้ง่าย เนื่องจากมีการหลั่งของฮอร์โมนความเครียดอย่างคอร์ติซอล (Cortisol) มากขึ้นจนก่อให้เกิดอาการของผิวแพ้ง่าย เกิดผื่นแดง และผิวลอกเป็นขุย
- ริ้วรอยก่อนวัย เนื่องจากฮอร์โมนแห่งความเครียดที่ถูกหลั่งออกมา สามารถเข้าไปทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ทำให้ความยืดหยุ่นของผิวลดลง ส่งผลทำให้เกิดริ้วรอยที่ไม่พึงประสงค์และผิวแก่ก่อนวัยได้ โดยRaymond Casciari หัวหน้าแพทย์โรงพยาบาลเซ็นต์โจเซฟ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ได้อธิบายว่า “ความเครียดจะไปกระตุ้นให้ร่างกายให้ปล่อยสารอนุมูลอิสระ และทำลายความแข็งแรงของเซลล์ผิว ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดริ้วรอย หรือหน้าแก่ก่อนวัย”
- ผิวหนังเกิดการระคายเคืองเนื่องจากการอักเสบภายใน การที่ร่างกายมีความเครียดสะสมอยู่เป็นเวลานานอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ จนเกิดการอักเสบของลำไส้ได้โดยง่าย และสามารถแสดงออกมาเป็นความผิดปกติทางร่างกาย เช่นสิว โรคสะเก็ดเงิน หรือโรคติดเชื้อทางผิวหนังอื่นๆ เป็นต้น
- ผิวหน้าหมองคล้ำ ไม่สดใส เมื่อมีภาวะความเครียดเกิดขึ้น ร่างกายจะส่งเลือดไปเลี้ยงที่อวัยวะหลักที่สำคัญก่อน เช่น หัวใจ ปอด สมองและตับ ทำให้เลือดถูกส่งไปเลี้ยงที่ผิวพรรณรวมถึงใบหน้าได้น้อยลง ทำให้หน้าดูหมองคล้ำ อิดโรย
- ผลเสียต่อหนังศีรษะและเส้นผม การที่ผิวเครียด อาจส่งผลให้บางคนมีเส้นผมที่มันมากกว่าปกติ ผมแห้งแตกปลาย เกิดรังแค เป็นสะเก็ดผิวที่หนังศีรษะ รวมถึงผมร่วงมากกว่าปกติได้ด้วย
วิธีรักษาฝ้าที่เกิดจากภาวะผิวเครียด
“ฝ้า” หนึ่งในปัญหาผิวที่ร่างกายตอบสนองภาวะผิวเครียด ที่สร้างความหนักใจให้หลายคนอยู่ไม่น้อย ซึ่งในปัจจุบันได้มีการคิดค้นและพัฒนาวิธีการในการรักษาฝ้ามากมาย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้คนที่หลากหลาย ทั้งวิธีการรักษาที่ใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์และวิธีทางธรรมชาติ ดังต่อไปนี้
- การใช้เลเซอร์รักษาฝ้า
การใช้เลเซอร์รักษาฝ้า เป็นวิธีการที่นิยมกันมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากเห็นผลได้เร็วในระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งประเภทของเลเซอร์ที่ใช้กันในโรงพยาบาลและสถานเสริมความงาม ได้แก่ ND-Yag , Fractional, Q-Switch, Picosecond Laser, Copper Bromide laser เป็นต้น หลักการก็คือ เป็นการยิงแสงเลเซอร์ไปยังบริเวณของผิวที่เกิดฝ้าโดยตรง เพื่อทำลายเซลล์สร้างเม็ดสีด้วยความร้อน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวได้เร็วขึ้น รวมถึงการปรับสภาพและรักษาความผิดปกติของสีผิวด้วย แต่วิธีการนี้มีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง และหลังการยิงเลเซอร์อาจจะทำให้ผิวตกสะเก็ดและไวต่อแสง ที่สำคัญต้องทำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อความปลอดภัยและป้องกันผลข้างเคียงอันตรายที่จะตามมาด้วย - การใช้ไอออนโตรักษาฝ้า
ไอออนโตรักษาฝ้า (Iontophoresis) เป็นการใช้เครื่องมือที่อาศัยหลักการให้กำเนิดของกระแสไฟฟ้าที่อยู่ในระดับอ่อนๆมาปรับใช้ในการรักษา โดยการทำงานของไอออนโตจะช่วยผลักยาหรือวิตามินให้สามารถซึมเข้าสู่ผิวได้ดีและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มีผลข้างเคียงน้อย - ใช้การกรอผิวด้วยผงคริสตัล
การกรอผิวด้วยผงคริสตัล หรือที่เรียกว่าการทำ MD เป็นการพ่นผงคริสตัล(Crystal)เพื่อผลัดเซลล์ผิว ซึ่งผงคริสตัลที่ใช้จะมีขนาดเล็กเท่ากับทรายละเอียด โดยจะช่วยกำจัดสิ่งสกปรกบนผิวหนังให้หลุดลอกออกมาได้เร็วกว่าปกติ และกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทน ช่วยให้ผิวกระจ่างใส ฝ้า กระ จุดด่างดำจางลงได้ - การใช้ IPLรักษาฝ้า
การรักษาฝ้าด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า IPL (Intense Pulsed Light) มีหลักการทำงานคือเป็นการใช้แสงยิงลงไปที่ผิวเพื่อให้เกิดความร้อน ซึ่งจะไปทำลายโปรตีนของเม็ดสีผิวหรือเมลานิน ช่วยทำให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น แต่ต้องทำหลายครั้งจึงจะเห็นผล และต้องทำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น - การใช้เมโสรักษาฝ้า
การรักษาฝ้าด้วยเมโส เป็นวิธีที่ช่วยชะลอการกระจายตัวของฝ้า นอกจากนั้นการฉีดเมโสหน้าใสอย่างต่อเนื่องยังสามารถช่วยให้ฝ้าจางลงได้ในบางกรณี - การใช้ครีมรักษาฝ้า
การใช้ครีมที่มีส่วนผสมของ AHA (Alpha Hydroxy Acid) ,อาร์บูติน (Arbutin) ,กรดโคจิก (Kojic) สามารถช่วยลดเลือนจุดด่างดำ ฝ้า กระได้ เนื่องจากครีมที่มีส่วนผสมของสารประกอบดังกล่าว จะช่วยกระตุ้นให้เซลล์ผิวเก่าหลุดออกและสร้างเซลล์ผิวใหม่มาแทน ทำให้ฝ้าดูจางลง ซึ่งการใช้ครีมรักษาฝ้าจะต้องได้รับการรับรองและมีการผลิตที่ได้มาตรฐาน ออกฤทธิ์ในการรักษาฝ้าได้อย่างตรงจุด อย่าง cosmelan 1 และ cosmelan 2 by mesoestetic ที่จะต้องใช้ควบคู่กัน เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน ภายใต้การแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ
- cosmelan 1 มาในรูปแบบของ facial mask หรือที่รู้จักกันดีว่า “มาส์กลอกฝ้า”ช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นบนให้หลุดลอกออกมา ช่วยลดเลือนฝ้ากระบนผิว มีส่วนประกอบที่มีสารสกัดสำคัญอย่างเช่น Azelaic Acid, Kojic Acid, Phytic Acid, Ascorbic Acid, Arbutin, Retinyl Palmitate Salicylic Acid, Aloe barbadensisLeaf Juice และวิตามิน B3
- cosmelan 2 ในรูปแบบของ cream (maintenance cream) ที่ช่วยลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ เมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการเกิดรอยดําขึ้นใหม่ และป้องกันการเกิดรอยดําซํ้า ช่วยคงไว้ซึ่งผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว โดยมีส่วนประกอบสำคัญของ Disodium Azelate ,Kojic Acid, วิตามินB3, Phytic Acid, alpha arbutin, Ascorbic Acid ,Licorice และAloe barbadensis Leaf Juice
- ใช้หัวไชเท้ามาส์กหน้ารักษาฝ้า
เนื่องจากในหัวไชเท้า มีสารไกลโคไซด์ (Glycossides) กรดแอสคอบิกและวิตามินเอ ซึ่งมีสรรพคุณในการช่วยผลัดเซลล์ผิวที่คล้ำเสีย ลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ต้นตอสำคัญของการเกิดฝ้า แต่มีข้อควรระวังสำหรับคนที่มีผิวแห้ง ผิวบอบบางหรือผิวแพ้ง่าย ไม่ควรใช้มาส์กหัวไชเท้า เพราะสารบางตัวอาจจะทำให้เกิดอาการระคายเคือง แสบ แดงได้ แต่สามารถนำไปผสมกับจมูกข้าวหรือน้ำผึ้ง ทำเป็นครีมพอกหน้าทิ้งไว้15-20 นาที แล้วล้างออก ให้ทำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง - มาส์กหน้าด้วยใบบัวบก
ใบบัวบกมีสรรพคุณที่ช่วยรักษาโรคผิวหนัง โดยจะช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ช่วยแก้ร้อนใน ฟื้นฟูผิวให้กระจ่างใสมากขึ้น โดยสามารถนำมาปั่นแล้วใช้น้ำเช็ดแทนโทนเนอร์ได้ทุกวัน - มะขามเปียก
ในมะขามเปียกจะมีกรด AHAธรรมชาติอยู่ ซึ่งสามารถช่วยผลัดเซลล์ผิวและทำให้ฝ้าจางลงได้ วิธีการคือให้นำมะขามเปียกมาผสมกับน้ำสะอาด แล้วนำมาพอกผิวประมาณ 3-5 นาที แล้วล้างออก ให้ทำสัปดาห์ละครั้ง แต่ไม่เหมาะกับผิวบอบบาง แพ้ง่าย เพราะอาจจะทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคืองขึ้นได้ - มาส์กหน้าด้วยว่านหางจระเข้
วิธีการคือให้นำว่านหางจระเข้สดไปแช่น้ำ จากนั้นให้ปอกเปลือกแล้วล้างให้สะอาด นำไปปั่น แล้วมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10-20 นาที แล้วล้างออก
การป้องกันฝ้าจากภาวะผิวเครียด
แม้ภาวะผิวเครียดจะเกิดจากปัจจัยภายในที่ส่งผลออกมาทางร่างกายและผิวพรรณ ทำให้เกิดปัญหาผิวตามมามากมาย รวมถึงฝ้า กระ จุดด่างดำ แต่ก็มีปัจจัยด้านอื่นที่กระตุ้นให้เกิดปัญหาดังกล่าวด้วย ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศ แสงแดด ฮอร์โมน กรรมพันธุ์ ยาและอื่นๆ ดังนั้นในการป้องกันการเกิดฝ้าจากภาวะผิวเครียด จึงสามารถทำได้ดังต่อไปนี้
- ทำจิตใจให้สบาย ไม่ปล่อยให้ความเครียด ความกังวลสะสมอย่างต่อเนื่องนานมากจนเกินไป และให้หากิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น งานอดิเรก เล่นกีฬา ท่องเที่ยว หรือใช้เวลากับคนที่รัก เป็นต้น
- ปกป้องผิวภายนอกด้วยการทาครีมกันแดดเป็นประจำ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง โดยใช้ครีมกันแดดที่มีค่าการปกป้องสูงๆ อย่าง mesoprotech melan 130 pigment control ที่มีค่า SPF 50+ ที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UVAและ UVB พร้อมทั้งช่วยลดเลือนและป้องกันการเกิดจุดด่างดำและความหมองคล้ำของผิว ด้วยเนื้อครีมสีเบจ ที่เข้าได้กับทุกสภาพผิว ช่วยปกปิดจุดด่างดำและรอยหมองคล้ำได้อย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยส่วนผสมของสารประกอบสำคัญอย่าง สารแอนติออกซิ แดนท์ที่ช่วยปกป้องผิวจากสารอนุมูลอิสระ ในรังสีอินฟราเรดและแสงสีฟ้าจากคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือที่มากระทบผิว ,Azeloglicina ( Azelaic acid) ช่วยป้องกันรอยหมองคลํ้าหรือจุดด่างดํา ที่มีสาเหตุมาจากแสงแดด รวมถึงSunflower seed oil (NMF) สารสกัดจากดอกเม็ดทานตะวัน ที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นผิวตามธรรมชาติได้อย่างล้ำลึก
- รับประทานอาหารประเภทผักและผลไม้หลากสีอย่างเพียงพอในแต่ละวัน เพื่อที่จะได้รับสารอนุมูลอิสระที่หลากหลาย ทั้งยังช่วยเสริมภูมิต้านทานให้ร่างกายและผิวพรรณแข็งแรงมากขึ้น เสริมด้วยการรับประทานกรดไขมันจำเป็นชนิดไม่อิ่มตัว อย่างโอเมก้า-6 ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ ทั้งยังอุดมด้วยกรดแกมมาไลโนเลนิค (GLA) และกรดไลโนเลอิค (LA) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ในร่างกาย รวมถึงเซลล์ผิวหนัง ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิว และลดการอักเสบของผิวเมื่อมีการระคายเคืองได้ดีอีกด้วย
- เลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีไขมันและน้ำตาลสูง
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 7-9 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายและผิวพรรณได้รับการฟื้นฟูระหว่างนอนหลับ
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเสริมภูมิต้านทานให้แข็งแรง และร่างกายได้ขับของเสียออกทางเหงื่อ
- หมั่นสังเกตผิวพรรณหรืออาการต่างๆที่เกิดขึ้น เมื่อมีความเครียดหรือความวิตกกังวลสูง
สภาวะความเครียดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน ไม่เพียงร่างกายและจิตใจที่ได้รับผลกระทบในระยะยาวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงปัญหาผิวพรรณที่จะเกิดขึ้นตามมาเป็นแพ็คเกจอีกด้วย “ฝ้า” คือหนึ่งของผลพวงที่เกิดขึ้นมาจากภาวะผิวเครียด ที่นอกจากยากต่อการรักษาแล้ว ยังทำให้เกิดฝ้าเรื้อรัง ฝ้าหนาตามมาแบบที่รักษาไม่หายอีกด้วย ดังนั้นการรักษาฝ้าที่เกิดจากภาวะผิวเครียดที่ดีที่สุดคือการรักษาจากต้นเหตุของปัญหา โดยหมั่นดูแลรักษาสภาพจิตใจให้เป็นปกติ ควบคู่กับการป้องกันไม่ให้เกิดฝ้าด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อสุขภาพจิตที่ดีและผิวพรรณที่สดใส ห่างไกลจากฝ้านั่นเอง