หากพูดถึง คอลลาเจน (collagen) เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงรู้จักและคุ้นเคยกันดี เพราะถือว่าเป็นส่วนประกอบสำคัญในกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อประโยชน์ในการดูแลผิวพรรณมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นสกินแคร์หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่าง ๆ รวมไปถึงอาหารเสริม เนื่องจากคอลลาเจน เป็นส่วนประกอบของผิวหนังที่ช่วยให้โครงสร้างของผิวมีความยืดหยุ่น เรียบเนียน ไม่หย่อนคล้อย แท้จริงแล้วคอลลาเจนคืออะไร มีคุณสมบัติในการดูแลผิวพรรณอย่างไร และควรรับประทานหรือใช้ในปริมาณมากน้อยแค่ไหนจึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ดีต่อสุขภาพผิว เราจะไปร่วมหาคำตอบด้วยกันผ่านบทความนี้
คอลลาเจน คืออะไร ?
คอลลาเจน (Collagen) นับเป็นโปรตีนที่มีมากที่สุดในร่างกาย โดยคิดเป็น 1 ใน 3 ของโปรตีนทั้งหมดในร่างกายของคนเรา หรือคิดเป็นสัดส่วนคือร้อยละ 80 โดยมีลักษณะเป็นเส้นใยโปรตีนที่มีการรวมตัวกันของกรดอะมิโนหลายชนิด ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันในสิ่งมีชีวิต โดยจะอยู่ผิวหนังชั้นล่าง (ชั้นหนังแท้ หรือ dermis) เป็นส่วนประกอบสำคัญของผม ผิวหนัง เล็บ กระดูก ข้อต่อ กล้ามเนื้อ และเส้นเอ็น นอกจากนั้นยังสามารถพบคอลลาเจนตามส่วนต่างๆของร่างกายได้ด้วย เช่น หลอดเลือด กระจกตา และฟัน เป็นต้น คอลลาเจนที่ร่างกายได้รับ มักมาจากการรับประทานอาหารประเภทโปรตีน ทั้งโปรตีนจากสัตว์ เนื้อปลา จากพืช รวมถึงผลิตภัณฑ์จากนมที่จะเข้าไปย่อยสลายจนแตกตัวและต่อตัวขึ้นมาใหม่คำว่า Collagen มาจากคำในภาษากรีกว่า “kólla” ซึ่งมีความหมายว่า “กาว” เป็นความหมายที่บ่งบอกถึงคุณสมบัติของตัวคอลลาเจนได้เป็นอย่างดี เพราะช่วยในการยึดเกาะสิ่งต่างๆเข้าไว้ด้วยกัน คล้ายเป็นกาวยึด
คอลลาเจนมีหน้าที่หลักคือช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงให้กับอวัยวะในส่วนต่างๆ ช่วยให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้น คงความกระชับ ยืดหยุ่น เต่งตึง เรียบเนียน ปกป้องความแข็งแรงให้กับกระดูก ซึ่งโดยปกติร่างกายของคนเราจะสามารถผลิตคอลลาเจนได้เอง แต่จะผลิตคอลลาเจนลดลงและเส้นใยคอลลาเจนจะอ่อนแอลงตั้งแต่อายุ 25 ปีขึ้นไป โดยมีสัญญาณที่สามารถมองเห็นได้คือ ผิวจะไม่เต่งตึง ขาดความยืดหยุ่น มีอาการปวดตามข้อ เป็นต้น
Hydrolyzed Collagen คืออะไร ?
ไฮโดรไลซ์ คอลลาเจน (Hydrolyzed Collagen) เป็นคอลลาเจนที่ผ่านกระบวนการย่อยด้วยกรดให้ได้อนุภาคที่มีขนาดเล็กลงและมีความยาวที่สั้นลงนั่นเอง แต่ยังคงแสดงคุณสมบัติของความเป็นคอลลาเจน ซึ่งขนาดยิ่งเล็กเท่าใดประสิทธิภาพในการดูดซึมก็จะดีมากยิ่งขึ้นเท่านั้น โดยจะดูดซึมได้ดีกว่าคอลลาเจนทั่วไป 3-4 เท่าเลยทีเดียว โดยคอลลาเจนไตรเปปไทด์ที่สกัดจากปลาทะเลน้ำลึกจะมีลักษณะโครงสร้างที่คล้ายกับคอลลาเจนของผิวมนุษย์เรามากที่สุด และร่างกายก็จะสามารถดูดซึมจากกระเพาะอาหารได้ดีกว่าทางผิวหนัง
ดังนั้นจึงนิยมเติมคอลลาเจนเข้าสู่ร่างกายด้วยการรับประทานอย่างต่อเนื่องมากกว่าวิธีอื่น เพราะจะช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนใต้ผิวหนัง พร้อมทั้งช่วยเติมเต็มริ้วรอยและลดความเหี่ยวย่นของผิวหนังอย่างได้ผล
ชนิดของ คอลลาเจน ที่พบได้ในร่างกาย
อย่างที่เราทราบดีว่า “คอลลาเจน” เป็นเส้นใยโปรตีนประเภทหนึ่งที่มีส่วนประกอบประมาณร้อยละ 6 ของน้ำหนักตัว ที่ในปัจจุบันมีการค้นพบมากถึง 18 ชนิด แต่มีคอลลาเจนที่พบมากที่สุด 5 ชนิด ซึ่งแบ่งออกตามโครงสร้างและหน้าที่ ได้แก่
- คอลลาเจนประเภทที่ 1 (type I)
เป็นชนิดของคอลลาเจนที่พบมากที่สุดในร่างกาย มากถึง 90% ของคอลลาเจนทั้งหมด มีความเหนียวและแข็งแรงมากที่สุด มีคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับอวัยวะต่างๆในร่างกาย ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการฉีกขาดของเนื้อเยื่อ ช่วยในการสร้างกระดูก ผนังหลอดเลือด เอ็นและเอ็นยึดกล้ามเนื้อ ผิวหนัง กระจกตาและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ไม่เพียงเท่านั้น ยังช่วยสมานแผลบนผิวได้เป็นอย่างดี - คอลลาเจนประเภทที่ 2 (type II)
เป็นชนิดของคอลลาเจนที่พบมากในกระดูกอ่อนและหมอนรองกระดูกสันหลัง ซึ่งทำหน้าที่รองรับน้ำหนักและให้ความแข็งแรงแก่ข้อต่อในขณะที่มีการเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็น ส่วนประกอบของหู จมูก หลอดลม และกระดูกซี่โครง ซึ่งโดยปกติแล้วในกระดูกอ่อน จะประกอบด้วยโครงข่ายของเส้นใยคอลลาเจนไทพ์ทู รวมตัวกับกรดไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic acid) และโปรตีโอไกลแคน (Proteoglycan) ได้แก่ แอกกริแคน (Aggrecan) ซึ่งมีไกลโคอะมิโนไกลแคน (Glycoaminoglycans) คือคอนโดอิติน ซัลเฟต (Chondroitin Sulfate) และเคอราแทน ซัลเฟต (Keratan Sulfate) เป็นส่วนประกอบ โดยจะทำหน้าที่แตกต่างจากคอลลาเจนประเภทที่ 1 อย่างสิ้นเชิง เนื่องจากจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการสังเคราะห์ของเซลล์ให้มีจำนวนมากขึ้น เพื่อลดอัตราการเสื่อมของกระดูกอ่อนบริเวณข้อต่อ - คอลลาเจนประเภทที่ 3 (type III)
เป็นประเภทของคอลลาเจนที่มักพบร่วมกับประเภทที่ 1 แต่พบได้น้อยกว่าประมาณ 10 % ซึ่งส่วนใหญ่จะพบในบริเวณผนังหลอดเลือด กล้ามเนื้อและและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันในร่างกาย แต่จะพบได้น้อยตามข้อต่างๆ - คอลลาเจนประเภทที่ 4 (type IV)
เป็นชนิดคอลลาเจนที่มีลักษณะเฉพาะตัว พบมากในบริเวณที่เป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่หุ้มกล้ามเนื้อและไขมัน มีคุณสมบัติที่ช่วยเรื่องการทำงานของระบบประสาทและเส้นเลือด - คอลลาเจนประเภทที่ 5 (type V)
เป็นคอลลาเจนที่เป็นองค์ประกอบของเยื่อบุของเซลล์ต่างๆในร่างกาย ใต้ชั้นผิวหนัง พบได้ในผิวของเซลล์และเส้นผม และในเนื้อเยื่อของทารกในระหว่างตั้งครรภ์
จะเห็นได้ว่าคอลลาเจนนั้นได้มีการกระจายอยู่ทั่วร่างกายของเรา โดยปกติแล้วร่างกายจะมีการสร้างและสลายคอลลาเจนในปริมาณที่สมดุลกัน แต่เมื่อเรามีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป การสร้างคอลลาเจนก็จะลดลงประมาณร้อยละ 1 ต่อปี ในขณะที่อัตราการสลายคอลลาเจนยังเท่าเดิม ส่งผลให้ปริมาณคอลลาเจนในร่างกายลดลงเรื่อย ๆ ทำให้ความแข็งแรงของผิวลดลงเมื่ออายุมากขึ้นนั่นเอง
ประโยชน์และความสำคัญของคอลลาเจนในร่างกาย
จะว่าไปแล้ว คอลลาเจนมีประโยชน์อย่างมากต่อร่างกาย ที่ไม่เพียงในเรื่องของผิวพรรณหรือความสวยงามของผิวเท่านั้น แต่ยังทำให้กระดูก ข้อต่อและอวัยวะหลายชนิดทำงานได้ดีมากขึ้นด้วย ดังนี้
- ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ทำให้ผิวอิ่มฟู พร้อมทั้งช่วยลดความหยาบกร้านของผิวได้ด้วย
- ทำให้ริ้วรอยแลดูจางลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อมีการใช้คอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง
- ช่วยลดการเปราะบาง และการแตกของเล็บ
- ช่วยชะลอการสลายของมวลกระดูก เมื่อกินคู่กับแคลเซียมและวิตามิน ดี
- ช่วยเรื่องสุขภาพของข้อต่อในกลุ่มผู้สูงอายุ เช่น ลดอาการปวดข้อต่อ เป็นต้น
งานวิจัยและการศึกษา
ในปัจจุบันได้มีการศึกษาพร้อมทั้งงานวิจัยมากมาย ที่แสดงให้เห็นว่าการเสริมคอลลาเจ สามารถช่วยให้สุขภาพของผิวหนังดีขึ้น ทั้งยังช่วยในการทำงานของกล้ามเนื้อ พร้อมทั้งลดความเจ็บปวดที่เกี่ยวข้องกับโรคข้อเข่าเสื่อมได้ และที่สำคัญคือมีประโยชน์ต่อสุขภาพผิวของคนเราเป็นอย่างมาก โดยมีงานวิจัยต่างๆดังต่อไปนี้
- จากงานวิจัยโดยแอมเวย์ของประเทศจีน ได้ให้ผู้หญิง 62 คน ที่มีฝ้าบนใบหน้า รับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ประกอบด้วยคอลลาเจนเปปไทด์ เปปไทด์จากถั่วเหลือง และสารสกัดจากดอกเก๊กฮวย 10 กรัมทุกวันเป็นเวลา 60 วัน พบว่ารอยดำจากการเป็นฝ้าดูจางลง เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้รับประทานผลิตภัณฑ์
- จากการศึกษาหนึ่ง พบว่า ผู้หญิงที่รับประทานคอลลาเจน 5–5 กรัมต่อวัน ติดต่อกันเป็นเวลา 8 สัปดาห์ พบว่าผิวแห้งน้อยลงและมีความยืดหยุ่นของผิวเพิ่มมากขึ้น เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้รับประทานคอลลาเจน
- จากการศึกษาอื่นๆพบว่า ผู้หญิงที่ดื่มเครื่องดื่มผสมกับคอลลาเจนเป็นประจำทุกวัน ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่าผิวมีความนุ่มชุ่มชื้นมากขึ้น และความลึกของริ้วรอยก็ได้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
- จากผลการวิจัยยังพบว่า การเสริมอาหารเสริมประเภทคอลลาเจน ทำให้ริ้วรอยลดลงได้ชัด เพราะเป็นผลมาจากการกระตุ้นให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนออกมาด้วยตัวเอง ทั้งยังช่วยส่งเสริมการผลิตโปรตีนอื่นๆ ช่วยเสริมโครงสร้างผิวรวมถึงอีลาสตินและไฟบริลลินด้วย นอกจากนั้น ยังมีงานวิจัยที่สนับสนุนว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีคอลลาเจน อาจช่วยชะลอความแก่ของผิวได้
อัตราการเสื่อมของคอลลาเจน
ถึงแม้ว่าร่างกายของคนเราจะสามารถสังเคราะห์คอลลาเจนได้เอง แต่ว่าอัตราการสังเคราะห์คอลลาเจนของร่างกายก็จะลดน้อยลงเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ผิวพรรณเริ่มหย่อนคล้อย เนื่องจากคอลลาเจนในชั้นผิวลดลง ทำให้ผิวไม่ยืดหยุ่น ไม่กระชับ ทั้งยังส่งผลต่อสุขภาพตามมา นั่นคือ ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกระดูก ข้อต่อ และเส้นผมที่เสื่อมสภาพลงจากการขาดคอลลาเจนอีกด้วย ซึ่งจากผลการวิจัยพบว่า คอลลาเจนในร่างกายของคนเราจะค่อยๆลดลงเมื่ออายุเข้า 25 ปี และจำค่อยๆลดลง 1-2% ทุกปี เมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไป ผิวหน้าก็จะเริ่มบางลง เริ่มมีรอยเหี่ยวย่นที่บริเวณหว่างคิ้วและรอบดวงตา ซึ่งจะเห็นได้ชัดมาก เวลาที่แสดงสีหน้าและอารมณ์ และเมื่ออายุได้ 40 ปี รอยย่นต่างๆที่ผิวหน้าก็จะมองเห็นได้ชัดขึ้น แม้ไม่มีการแสดงสีหน้าก็ตาม และเมื่อเข้าสู่ 50 ปีขึ้นไป คอลลาเจนก็ลดน้อยลงมากหรือเสื่อมสภาพไป จนทำให้ผิวเริ่มหยาบกระด้าง ไม่ชุ่มชื้น มีริ้วรอยที่ชัดเจนและลึกมากขึ้น
อายุกับการเสื่อมของคอลลาเจน
จะว่าไปแล้ว ในช่วงอายุที่เพิ่มมากขึ้นนั้นล้วนมีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับการเสื่อมสภาพลงของคอลลาเจนที่มีตามธรรมชาติในร่างกาย โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้
- อายุ 30-39 ปี
ในช่วงอายุนี้ ผิวหนังของคนเราจะเริ่มมีรอยย่นบางๆเกิดขึ้นบริเวณหน้าผาก โดยจะเห็นได้ชัดเมื่อมีการแสดงอารมณ์และสีหน้า พร้อมทั้งริ้วรอยเล็กๆใต้ขอบตาล่าง หางตา ร่องแก้มจากจมูกจนถึงเหนือริมฝีปาก นอกจากนั้นอาจเกิดไฝ มีกระ ฝ้าทั้งแบบลึกและตื้น รูขุมขนจะกว้างขึ้นด้วย - อายุ 40-49 ปี
ในช่วงอายุนี้ จะมีรอยย่นบริเวณหน้าผาก ระหว่างคิ้ว ใต้ขอบตาล่างและหางตา ที่มองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งรอยย่นข้างแก้มและร่องแก้มลึกทอดยาวไปจนจดมุมปาก ผิวเริ่มแห้ง มีรูขุมขนขนาดใหญ่ขึ้น เกิดฝ้าชนิดลึก ติ่งเนื้อขึ้นกระจัดกระจายเป็นตุ่มเล็กๆ สีน้ำตาล หรือที่เรียกว่าวัยตกกระ และจะเริ่มเป็นสิวอีกครั้ง - อายุ 50-64 ปี
สภาพผิวของคนในช่วงอายุนี้ จะมีรอยย่นตามร่องแก้มลึกทอดยาวไปจนถึงบริเวณใต้มุมปาก และเนื่องจากมีการเสื่อมของคอลลาเจนในปริมาณที่มาก ทำให้มีฝ้าเกิดขึ้น พร้อมทั้งมีติ่งเนื้อขนาดใหญ่เกิดขึ้นด้วย - อายุ 65 ปี ขึ้นไป
ในวัยนี้ คอลลาเจนในร่างกายมีการเสื่อมสภาพลงเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ผิวหนังมีความหยาบกร้าน และมีริ้วรอยทั่วใบหน้า
วิธีการเสริมคอลลาเจนให้กับร่างกาย
เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ปริมาณคอลลาเจนธรรมชาติในร่างกายก็จะเสื่อมสภาพหรือเสื่อมสลายไปตามอายุ แต่เราสามารถเสริมคอลลาเจนได้ด้วยการรับประทานอาหารที่เป็นแหล่งคอลลาเจน ซึ่งส่วนใหญ่พบได้มากในเนื้อสัตว์ ในส่วนของกระดูก ไขกระดูก เส้นเอ็น และหนัง ไม่เพียงเท่านั้น ยังสามารถพบได้ในปลาทะเลน้ำลึกอย่างปลาแซลมอนและทูน่า ที่มีปริมาณโอเมก้าสูง มีส่วนช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนัง รวมถึงในพืชที่มีโปรตีนและโอเมก้าสูงอย่างพวกถั่วและธัญพืชต่างๆด้วยเช่นกัน และในปัจจุบันได้นิยมเสริมคอลลาเจนในรูปแบบอาหารเสริมที่ใช้รับประทานหรือทากันอย่างแพร่หลายขึ้นนอกจากนั้น ร่างกายของเรายังจำเป็นต้องเสริมวิตามินซีควบคู่กันไปด้วย เนื่องจากวิตามินซีจะมีส่วนช่วยกระตุ้นการดูดซึมคอลลาเจนเข้าสู่ร่างกาย ทั้งยังช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนที่อยู่ใต้ชั้นผิวของคนเราได้อีกด้วย ซึ่งพบได้ในกลุ่มผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ฝรั่ง ผักใบเขียว หรือจะรับประทานวิตามินซีสกัดในรูปแบบอาหารเสริมก็สามารถทำได้ ไม่เพียงเท่านั้นโคเอนไซม์ คิว (Co-Enzyme Q) และวิตามินเอก็ยังมีส่วนช่วยลดการสูญเสียคอลลาเจนจากการที่ผิวถูกทำร้ายโดยอนุมูลอิสระ ในส่วนของวิตามินเอจะมีบทบาทในการเข้าไปกระตุ้นไฟโบรบลาสต์ (fibroblast) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินให้แก่ผิว ให้ผิวมีความชุ่มชื้นและยืดหยุ่นมากขึ้น
วิธีการเพิ่มปริมาณคอลลาเจนให้กับร่างกาย
การเพิ่มปริมาณคอลลาเจนให้กับร่างกาย สามารถทำได้หลากหลายวิธีในปัจจุบัน ทั้งการทา การฉีด การรับประทาน รวมถึงการทำหัตถการทางการแพทย์ ดังต่อไปนี้
- การทาคอลลาเจน
คอลลาเจนชนิดทามีคุณสมบัติในการช่วยเคลือบผิวได้ ทำให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้น แต่เนื่องจากว่าคอลลาเจนประเภทนี้มีขนาดโมเลกุลที่ใหญ่ จึงไม่สามารถซึมผ่านผิวหนังเข้าไปที่ผิวชั้นในได้ จึงไม่สามารถแก้ไขในเรื่องความหย่อนคล้อยของผิวได้ - การฉีดคอลลาเจน
ในอดีตได้มีการฉีดคอลลาเจนยสังเคราะห์จากสัตว์ เพื่อช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นและลดความหย่อนคล้อยของผิว แต่พบว่ามีอัตราการแพ้ที่สูงมาก ดังนั้นในปัจจุบัน ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวหน้ามากขึ้น ได้นิยมใช้สารเติมเต็ม(Filler)ในกลุ่มกลุ่มไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic acid) เข้ามาแทน ซึ่งช่วยลดโอกาสการแพ้ได้น้อยลง - การรับประทานคอลลาเจน
แหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยคอลลาเจนได้แก่ หนังสัตว์ เอ็น เยลลี่ เจลาติน รวมทั้งคอลลาเจนสังเคราะห์ที่ผสมในอาหารเสริม และเครื่องดื่ม แต่ปัญญาที่พบมากในวิธีนี้คือ คอลลาเจนมีโมเลกุลขนาดใหญ่ ที่จะถูกย่อยในระบบทางเดินอาหารก่อนจะถูกดูดซึมผ่านผนังลำไส้ในรูปของกรดอะมิโน ดังนั้นจึงแนะนำให้รับประทานคอลลาเจนในโมเลกุลที่มีขนาดเล็กลง เพื่อการดูดซึมที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น - หัตถการทางการแพทย์
เป็นการใช้เทคโนโลยีที่จะช่วยแก้ไขปัญหาความหย่อนคล้อยให้กับผิว ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนังของคนเรา โดยเทคโนโลยีที่นิยมนำมาใช้ได้แก่ เลเซอร์หรือเครื่องปล่อยพลังงานบางชนิด เพื่อให้เกิดความร้อนใต้ผิว กระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นใยคอลลาเจนขึ้นมาได้
ปริมาณการรับประทานคอลลาเจน
ในกรณีของการรับประทานคอลลาเจน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและมีประสิทธิภาพสูงสุดต่อร่างกาย แนะนำให้เลือกรับประทานคอลลาเจนสายสั้น (hydrolyzed collagen) เนื่องจากเป็นคอลลาเจนที่ผ่านการไฮโดรไลซ์ (hydrolysis) จนมีขนาดที่เล็กลง ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้โดยง่าย และนำไปใช้เป็นองค์ประกอบของการสร้างคอลลาเจนในร่างกายได้ทันที โดยปริมาณของคอลลาเจนที่แนะนำให้รับประทานใน 1 วันโดยให้ผลที่ดีและและปลอดภัยไม่มีผลข้างเคียงคือ 2.5 – 15 กรัม
ปัญหาที่เกิดจากคอลลาเจนเสื่อม
ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าคอลลาเจนเป็นเส้นใยโปรตีนที่มีความสำคัญกับร่างกายเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของผิวหนัง กระดูก ข้อต่อ เส้นเอ็น ผม และเล็บ ดังนั้นเมื่อคอลลาเจนในร่างกายเสื่อมลงอวัยวะเหล่านี้ก็ย่อมต้องเสื่อมลงตามไปด้วย และได้นำมาซึ่งปัญหามากมายต่อสุขภาพและผิวพรรณ ดังต่อไปนี้
- ผิวพรรณ
คอลลาเจนเป็นส่วนหลักประกอบของผิวหนังที่อยู่ลึกในชั้นใต้ผิว และแน่นอนว่าเมื่อคอลลาเจนเสื่อมลงย่อมทำให้เกิดปัญหาผิวตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ผิวมีความขรุขระ หยาบกร้าน ไม่มีความชุมชื้น ไม่เรียบเนียน ไม่เต่งตึง ไม่ยกกระชับ เริ่มมีริ้วรอยและความหย่อนคล้อยอื่นๆตามมาอย่างเห็นได้ชัด ทั้งในบริเวณร่องแก้ม รอยใต้ตา รอยตีนกา รวมไปถึงรอยเหี่ยวย่นตามบริเวณต่าง ๆ ของผิวหนังทั่วทั้งร่างกาย
- กระดูกและข้อ
บริเวณกระดูก ข้อต่อ เส้นเอ็นยึดข้อ ร่วมไปถึงบริเวณน้ำเลี้ยงไขข้อมีส่วนประกอบของคอลลาเจนโดยเฉพาะคอลลาเจนประเภทที่ 2 มากถึง 90% ด้วยเหตุนี้หากคอลลาเจนเสื่อมสภาพหรือมีปริมาณที่ลดน้อยลง ย่อมทำให้เกิดปัญหากับกระดูกและข้อตามมา เช่น ปวดบริเวณตามข้อกระดูก ข้อเข่า ข้อศอก ข้อมือ หรือมีเสียงกร๊อบแกรบตามข้อเวลาเดินขึ้นลงบันได - ผมและเล็บ
ผมและเล็บก็มีคอลลาเจนเป็นองค์ประกอบด้วยเช่นกัน ดังนั้นเมื่อขาดคอลลาเจนก็จะทำให้ผมบางเส้นเล็กลง เกิดปัญหาผมแห้งเสีย เปราะแตก ไม่นุ่มนวล ไม่มีความเงางามและยังขาดหลุดร่วงได้โดยง่าย อีกด้วย เช่นเดียวกันเล็บที่ขาดคอลลาเจนก็จะมีความเปราะบาง ฉีกได้ง่าย ส่วนผิวในบริเวณจมูกเล็บก็จะแห้งกร้านลอกเป็นขุย ไม่มีความชุ่มชื้น
ปัจจัยที่มีส่วนกระตุ้นทำลายคอลลาเจน
ไม่เพียงอายุขัยที่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ที่ทำให้ปริมาณของคอลลาเจนในร่างกายตามธรรมชาติลดน้อยลง แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย ดังต่อไปนี้
- อายุ
เรื่องของอายุ เป็นตัวแปรสำคัญที่เป็นไปตามธรรมชาติ ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน เพราะเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น เซลล์ต่างๆ ในร่างกายก็จะเริ่มเสื่อมสภาพและร่วงโรยลงตามวัย คอลลาเจนก็เป็นหนึ่งในนั้น - แสงแดด
ในแสงแดดมีรังสียูวีทั้ง UVA และ UVB ซึ่งสามารถเข้าไปทำลายให้เส้นใยโปรตีนคอลลาเจนใต้ชั้นผิวเปลี่ยนสภาพและเสื่อมสลายลง ไม่เพียงเท่านั้น ยังรวมไปถึงแสงและความร้อนจากหลอดไฟ แสงจากโทรศัพท์มือถือและแสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ต่าง ๆด้วยเช่นกัน - มลภาวะ
มลภาวะในในอากาศไม่ว่าจะเป็นฝุ่นควัน มลพิษ รวมไปถึงละอองฝุ่นขนาดเล็กอย่าง PM 2.5 สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ร่างกายของคนเราสูญเสียคอลลาเจน เพราะถือว่าเป็นกลุ่มสารอนุมูลอิสระที่จะทำให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายเสื่อมสภาพลงนั่นเอง - ความเครียด
เมื่อมีความเครียดเกิดขึ้น ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งจะไปกระตุ้นให้เกิดการสูญเสียคอลลาเจนในร่างกาย รวมถึงการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลที่เป็นพิษต่อร่างกายได้อีกด้วย - อาหารที่มีน้ำตาล
เมื่อร่างกายของคนเราได้รับน้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรตในปริมาณที่มากเกินไป ก็จะเข้าไปทำปฏิกิริยากับโปรตีนหรือที่เรียกว่าปฏิกิริยาไกลเคชั่น (Glycation) จะได้สารที่เรียกว่า AGEs (Advanced Glycation End-Products) ซึ่งมีผลทำให้โปรตีนเสื่อมสภาพลง ส่งผลให้คอลลาเจนเสื่อมสภาพลงด้วยเช่นกัน - บุหรี่และแอลกอฮอร์
การสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อยู่เป็นประจำจะเพิ่มสารอนุมูลอิสระในร่างกายซึ่งจะไปทำร้ายให้คอลลาเจนเสื่อมสภาพและลดน้อยลงในที่สุด
การทานอาหารเสริมคอลลาเจนนั้นสำคัญอย่างไร
เรียกได้ว่า “คอลลาเจน”นั้น มีบทบาทสำคัญมากในการเป็นสารตั้งต้นของส่วนต่างๆภายในร่างกาย ถึงแม้ว่าร่างกายจะสามารถสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติขึ้นมาได้ แต่เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น อัตราการสังเคราะห์คอลลาเจนของคนเราก็จะลดลง ไม่ได้ส่งผลเพียงแค่เรื่องผิวพรรณ ที่จะทำให้เซลล์ผิวมีการเสื่อมสภาพและเกิดริ้วรอยได้อย่างง่ายดายเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องสุขภาพ ทั้งในส่วนของข้อต่อ กระดูกและเส้นเอ็นด้วย ดังนั้น การหาตัวเสริมปริมาณคอลลาเจนจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจของตนในยุคปัจจุบันโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของประเทศไทย ได้ออกประกาศว่าไม่ควรรับประทานคอลลาเจนเกิน 10 กรัมต่อวัน ซึ่งในความเป็นจริง การบริโภคคอลลาเจนเพียง 2.5-5 กรัมต่อวัน ก็นับว่าเพียงพอแล้ว โดยผู้ที่สามารถรับประทานอาหารเสริมดังกล่าวได้นั้น จะต้องไม่เคยมีประวัติการแพ้อาหารทะเล หรือไม่เคยแพ้สารสกัดจากปลามาก่อน
วิธีการรับประทานคอลลาเจนที่ได้ผล
ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานคอลลาเจนตามอาหารในธรรมชาติหรือจำพวกอาหารเสริม แต่จุดประสงค์คือเพื่อให้ร่างกายได้รับคอลลาเจนอย่างเพียงพอและได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ มีข้อแนะนำดังต่อไปนี้
- เลือก Bioactive collagen peptide ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว
มีผลการวิจัยจากประเทศเยอรมนี พบว่าคอลลาเจนที่เรียกว่า Bioactive collagen peptide เป็นคอลลาเจนที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก สามารถดูดซึมได้ง่าย พร้อมทั้งสามารถช่วยในการกระตุ้นผิวให้เกิดการสร้างคอลลาเจนเพิ่มมากขึ้นด้วย โดยได้มีการวิจัยกับผู้หญิงในช่วงอายุ 35-65 ปี ให้รับประทานคอลลาเจนชนิดนี้เพียง 2.5 กรัมต่อวัน ติดต่อกัน 4-8 สัปดาห์ แล้วพบว่าสภาพผิวดีขึ้น มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ริ้วรอยรอบดวงตาลดลง 7-20% เลยทีเดียว นอกจากนั้น ยังได้มีการทดสอบในกลุ่มผู้หญิงที่มีอายุ20-50 ปี โดยให้รับประทานคอลลาเจนชนิดนี้อย่างต่อเนื่อง 6 เดือน พบว่าสามารถช่วยลดเซลลูไลท์และลดการหักเปราะของเล็บได้เป็นอย่างดี - ต้องรับประทานโปรตีนต่อวันให้เพียงพอ
การที่ร่างกายขาดโปรตีน ขาดกล้ามเนื้อ เนื่องจากการลดน้ำหนักหรือการจำกัดอาหาร ส่งผลให้ปริมาณคอลลาเจนในผิวลดลงมากกว่าเดิม เนื่องจากคอลลาเจนก็คือโปรตีนชนิดหนึ่ง ดังนั้น หากต้องการสุขภาพดีด้วย ผิวสวยด้วยจะต้องรับประทานโปรตีนให้เพียงพอในแต่ละวัน จึงจะทำให้ร่างกายสามารถสร้างคอลลาเจนได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นโปรตีนจากเนื้อสัตว์ นม ไข่ หรือ ธัญพืชต่าง ๆ ในปริมาณ1 – 1.2 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เพราะเมื่อร่างกายได้รับสารอาหารจากโปรตีนอย่างเพียงพอแล้ว ร่างกายก็จะย่อยเป็นกรดอะมิโน เพื่อนำไปสร้างเป็นคอลลาเจนให้ประโยชน์ต่อผิว ข้อเข่าหรือมวลกระดูกต่อไป - รับประทานอาหารที่มีวิตามินซี
เนื่องจากวิตามินซี เป็นตัวที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทั้งยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระสำคัญที่ช่วยชะลอการสลายของคอลลาเจนได้ด้วย แหล่งของวิตามินซีที่พบส่วนใหญ่อยู่ในผักและผลไม้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ฝรั่ง ผักคะน้า บรอกโคลี สตรอเบอร์รี่ ส้ม แอปเปิ้ลแดง มะนาว เบอร์รีชนิดต่าง ๆ เป็นต้น หรืออาจจะเสริมวิตามินซีที่อยู่ในรูปของอาหารเสริมก็ทำได้เช่นกัน - รับประทานอาหารที่มีวิตามินเอ
เนื่องจากในวิตามินเอ สามารถช่วยกระตุ้นการเติบโตของไฟโบรบลาสต์ (fibroblast) ซึ่งมีหน้าที่ในการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในร่างกาย ทำให้ผิวชุ่มชื้น เต่งตึง โดยแหล่งอาหารที่พบวิตามินเอได้มาก เช่น ตำลึง ผักบุ้ง แครอทมะละกอสุก เป็นต้น - รับประทานอาหารที่มีวิตามินอี
เนื่องจากในวิตามินอี มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ทำงานคู่กับวิตามินซี โดยแหล่งอาหารที่มีวิตามินอี ได้แก่ น้ำมันพืชต่าง ๆ เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง รวมถึงถั่วอัลมอนด์ อะโวคาโด มะม่วง และกีวี เป็นต้น - หลีกเลี่ยงอาหารรสหวาน
เนื่องจากน้ำตาล สามารถให้เกิดกระบวนการไกลเคชัน (glycation) ที่ส่งผลให้คอลลาเจนเสียรูปร่าง ไม่มีรูปทรงที่ชัดเจนอย่างที่ควรจะเป็น - ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
น้ำไม่เพียงเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในร่างกาย ที่ทำให้ระบบต่างๆมีความสมดุลมากขึ้นเท่านั้น แต่น้ำยังเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการสร้างคอลลาเจน ดังนั้นควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 2 ลิตรหรือประมาณ 8-10 แก้วต่อวัน
ส่วนผสมที่มักพบในผลิตภัณฑ์คอลลาเจน
ส่วนใหญ่ในผลิตภัณฑ์อาหารเสริมคอลลาเจน จะประกอบด้วยส่วนผสมที่หลากหลาย เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงานของคอลลาเจนที่รับเข้าไปในร่างกาย ส่วนผสมหลักๆมีดังต่อไปนี้
- คอลลาเจนเปปไทด์จากปลาทะเล
ส่วนใหญ่จะมีกรดอะมิโน ไกลซีน โพรลีน และไฮดรอกซีโพรลีน ที่ร่างกายสามารถดูดซึมและนำไปสร้างคอลลาเจนให้กับร่างกายได้ดี ทั้งยังพ่วงมาด้วยคุณสมบัติในการสร้างกรดไฮยาลูรอนิกที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวมีความนุ่ม ชุ่มชื้น เต่งตึง แลดูสุขภาพดี - เปปไทด์จากถั่วเหลือง
เปปไทด์จากถั่วเหลือง มีคุณสมบัติในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระธรรมชาติที่ดีเยี่ยม มีส่วนในการช่วยเพิ่มการสร้างคอลลาเจนชนิดที่ 1 ซึ่งพบมากที่ผิวหนังได้เป็นอย่างดี - สารสกัดจากดอกเก๊กฮวยขาว
นับเป็นสมุนไพรจีนที่มีการใช้เพื่อบำรุงสุขภาพกันมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นการบำรุงตับ สายตา และผิวพรรณ เนื่องจากว่าเก๊กฮวยขาวมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระที่สูงมาก และเมื่อนำมาใช้ร่วมกับคอลลาเจนเปปไทด์จะช่วยลดการสร้างเม็ดสีผิวได้ ทำให้ผิวมีความสว่าง กระจ่างใสมากยิ่งขึ้น
ฟื้นฟูสุขภาพผิวให้มีชีวิตชีวา เต่งตึง สุขภาพดีด้วย collagen 360
collagen 360 เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวภายใต้แบรนด์เวชสำอางระดับโลกอย่าง mesoestetic ที่ช่วยฟื้นบำรุงผิวที่มีการสูญเสียคอลลาเจน ขาดความกระชับ ให้มีความยืดหยุ่น พร้อมกับลดเลือนริ้วรอย ช่วยบำรุงผิวให้ดูเต่งตึงยกกระชับ โดยผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม collagen 360 ประกอบด้วย
- เซรั่มเอสเซนส์
- ครีมบำรุงผิวเนื้อบางเบา
- ครีมเจลบำรุงรอบดวงตา
โดยทั้งสามผลิตภัณฑ์ อุดมไปด้วย Enriched marine collagen ซึ่งเป็นคอลลาเจนเข้มข้นจากปลาทะเล สามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างล้ำลึก ช่วยฟื้นฟูและกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ให้ผิวเรียบเนียนกระชับ ไม่หย่อนคล้อยและคงความอ่อนเยาว์ให้กับผิวได้มากขึ้น
“คอลลาเจน” หนึ่งในส่วนประกอบที่สำคัญของร่างกาย ที่ไม่เพียงส่งผลให้สุขภาพผิวดีเท่านั้น แต่ยังสามารถฟื้นฟูสุขภาพภายใน เส้นเอ็น ข้อต่อและกระดูกให้แข็งแรงขึ้นได้ด้วย ดังนั้นเพื่อรักษาปริมาณของคอลลาเจนธรรมชาติให้อยู่กับเราไปนานๆ ควรลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่จะทำให้คอลลาเจนเสื่อมสลายหรือสูญเสียไปจนทำให้เกิดปัญหาผิว และนอกจากนั้น ควรหมั่นรับประทานอาหารที่มีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบ พร้อมกับวิตามินเสริมชนิดอื่นๆที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการดูดซึม ที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที และสำหรับเรื่องของผิวพรรณต้องมองหาตัวช่วยดีๆอย่าง collagen 360 มาเป็นไอเทมเสริมช่วยฟื้นบำรุงเติมเต็มคอลลาเจนให้กับผิวเพื่อให้ผิวของเราแข็งแรง ยกกระชับไม่หย่อนคล้อย ดูอ่อนเยาว์ขึ้น หน้าเด็กลงได้ด้วยวิธีง่ายๆแบบไม่ต้องพึ่งเข็ม