เคล็ดลับการดูแลรักษาฟิลเลอร์ปาก เพื่อคงผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ฟิลเลอร์ปากคืออะไร ?

เคล็ดลับการดูแลรักษาฟิลเลอร์ปาก เพื่อคงผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ฟิลเลอร์ปาก (Lip Filler) เป็นกระบวนการทางเวชกรรมเสริมความมีประสิทธิภาพของปาก โดยการฉีดสารเติมเต็มลงไปในปาก เพื่อเพิ่มปริมาณและลดริ้วรอย ซึ่งสารที่ใช้ทั่วไปในฟิลเลอร์ปากคือสารเติมเต็มชนิดไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid) ซึ่งเป็นสารที่เพิ่มปริมาณของน้ำในเนื้อเยื่อที่มีคุณสมบัติอุ้มน้ำ ฉีดบริเวณริมฝีปากเพื่อเพิ่มเนื้อและปรับขนาดโครงสร้างของปาก ช่วยให้ปากอวบอิ่ม ชุ่มชื้น เต่งตึง เรียบเนียน ปรับรูปทรงปากให้ได้ตามต้องการ มีหลายแบรนด์ที่ใช้สารนี้ในการผลิตฟิลเลอร์ปาก

กระบวนการฉีดฟิลเลอร์ปากมีความสะดวกสบายและไม่ต้องใช้เวลานานมาก จึงเป็นที่นิยมในปัจจุบัน เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพในการปรับปรุงลักษณะของปาก หลังจากทำกระบวนการนี้แล้วผลลัพธ์สามารถเห็นได้ทันที ไม่เจ็บ ไม่ต้องผ่าตัด ใช้เวลาทำไม่นาน และผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน และไม่จำเป็นต้องพักผ่อนนานมาก ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้

ฟิลเลอร์ปากสามารถให้ผลลัพธ์ที่หลากหลายได้ตามความต้องการของผู้รับบริการ เช่น เพิ่มปริมาณ, ปรับรูปร่าง, หรือลดริ้วรอยรอบปาก ปรับรูปทรงปากให้ได้ตามต้องการ เช่น ปากกระจับ ปากยกมุมปาก เป็นต้น

ทำไมถึงฉีดฟิลเลอร์ปาก ฟิลเลอร์ปากเหมาะกับใคร ?

ฟิลเลอร์ปากเหมาะกับผู้ที่มีปัญหา ดังนี้

  • ริมฝีปากบาง ริมฝีปากที่มีเนื้อน้อย มีลักษณะแบนราบ ไม่อวบอิ่ม อาจเป็นมาตั้งแต่กำเนิด หรือเกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่น พันธุกรรม การขาดสารอาหาร การสูบบุหรี่ การสวมหน้ากากอนามัยเป็นเวลานาน เป็นต้น

○ ริมฝีปากบางอาจส่งผลต่อบุคลิกภาพและความรู้สึกของผู้ที่มีริมฝีปากบาง เช่น ทำให้ดูอ่อนเยาว์ น่ารัก หรือดูแก่กว่าวัย เป็นต้น

  • ริมผีปากแห้ง คล้ำ

○ ปัจจัยทางร่างกาย เช่น พันธุกรรม ผิวแห้ง ขาดสารอาหาร โรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคไทรอยด์ โรคขาดวิตามินบี 2 เป็นต้น

■ พันธุกรรมเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อสีผิวของริมฝีปาก คนที่มีผิวคล้ำก็มักจะมีริมฝีปากคล้ำตามไปด้วย นอกจากนี้ ผิวแห้งก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ริมฝีปากแห้ง คล้ำได้ เนื่องจากผิวแห้งจะสูญเสียความชุ่มชื้น ทำให้ริมฝีปากแห้งและลอก ซึ่งอาจทำให้ริมฝีปากดูคล้ำขึ้นได้

○ ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม เช่น แสงแดด ลม อากาศเย็น การสูบบุหรี่

■ แสงแดดเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ริมฝีปากแห้ง คล้ำ เนื่องจากแสงแดดจะกระตุ้นให้เซลล์เม็ดสีเมลานินในผิวหนังผลิตเม็ดสีเมลานินมากขึ้น ทำให้ริมฝีปากดูคล้ำขึ้น นอกจากนี้ ลมและอากาศเย็นก็อาจทำให้ริมฝีปากแห้ง แตก ลอก และคล้ำขึ้นได้เช่นกันการสูบบุหรี่เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อสีของริมฝีปากโดยตรง สารนิโคตินในบุหรี่จะทำลายคอลลาเจนและอิลาสตินในริมฝีปาก ทำให้ริมฝีปากแห้ง เหี่ยวย่น และคล้ำขึ้น

○ พฤติกรรมส่วนตัว เช่น การเลียริมฝีปากบ่อยๆ การกัดริมฝีปาก การทาลิปสติกที่มีส่วนผสมของสารเคมีรุนแรง

  • ริมฝีปากไม่สมมาตร ต้องการปรับรูปทรงปากให้เท่ากัน ริมฝีปากที่มีขนาด รูปร่าง หรือสีสันไม่เท่ากันทั้งสองข้าง อาจเป็นมาตั้งแต่กำเนิด หรือเกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่น พันธุกรรม อุบัติเหตุ การสวมหน้ากากอนามัยเป็นเวลานาน เป็นต้น

○ ริมฝีปากไม่สมมาตรอาจส่งผลต่อบุคลิกภาพและความรู้สึกของผู้ที่มีริมฝีปากไม่สมมาตร เช่น ทำให้ดูไม่มั่นใจ หรือดูแก่กว่าวัย เป็นต้น

  • ริมฝีปากมีร่องลึก ริมฝีปากที่มีรอยย่นหรือร่องรอยลึกบริเวณริมฝีปาก ร่องลึกที่อยู่ตามริมฝีปากมักเรียกว่า “Philtrum” (ฟิลทรัม) เป็นช่องลึกลงไปบริเวณปาก มักมีลักษณะเป็นเส้นตรงเมื่อมองจากด้านหน้า

  • ริมฝีปากเหี่ยวย่น มีริ้วรอย อาจเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการแก่ชราและการเสื่อมสภาพของผิวหนังที่เกิดขึ้นตามเวลา การเสื่อมสภาพของผิวหนังและลดสมรรถภาพของเนื้อเยื่ออาจทำให้ริมฝีปากดูเหี่ยวย่นและมีริ้วรอย

  • ผู้ต้องการปรับรูปทรงปากให้สวยงาม เพื่อปรับรูปร่างและขนาดของปาก ให้ได้รูปทรงที่ทันสมัยมีลักษณะที่สวยงาม ช่วยให้ได้ลุคที่ต้องการ

นอกจากนี้ ฟิลเลอร์ปากยังสามารถใช้เพื่อแก้ไขริมฝีปากที่มีปัญหาอื่นๆ เช่น

  • ริมฝีปากคว่ำ ต้องการยกมุมปากขึ้น

  • ริมฝีปากมีร่องลึก ต้องการเติมเต็มร่องลึกบริเวณริมฝีปาก

  • ริมฝีปากมีรอยแผลเป็น ต้องการปกปิดรอยแผลเป็นบริเวณริมฝีปาก

ประโยชน์ของฟิลเลอร์ปาก ช่วยอะไรได้บ้าง ?

ฟิลเลอร์ปากมีหลายประโยชน์และสามารถช่วยปรับปรุงลักษณะของปากได้หลายด้าน

  1. ช่วยให้ปากอวบอิ่ม ชุ่มชื้น เต่งตึง ฟิลเลอร์ปากจะทำหน้าที่เติมเต็มเนื้อเยื่อบริเวณริมฝีปาก ทำให้ปากดูอวบอิ่ม ชุ่มชื้น เต่งตึง เรียบเนียน

  2. ปรับรูปทรงปากให้ได้ตามต้องการ ฟิลเลอร์ปากสามารถฉีดเพื่อปรับรูปทรงปากให้สวยงามได้ เช่น ปากกระจับ ปากยกมุมปาก เป็นต้น

  3. แก้ปัญหาริมฝีปากบาง แห้ง คล้ำ ฟิลเลอร์ปากสามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปาก ทำให้ริมฝีปากดูอวบอิ่ม ชุ่มฉ่ำ แลดูสุขภาพดี

  4. แก้ปัญหาริมฝีปากไม่สมมาตร ฟิลเลอร์ปากสามารถฉีดเพื่อปรับสมดุลของริมฝีปากทั้งสองข้าง ทำให้ริมฝีปากดูสมมาตรสวยงาม

  5. แก้ปัญหาริมฝีปากมีร่องลึก ฟิลเลอร์ปากสามารถฉีดเพื่อเติมเต็มร่องลึกบริเวณริมฝีปาก ทำให้ริมฝีปากดูเรียบเนียน

  6. แก้ปัญหาริมฝีปากเหี่ยวย่น ฟิลเลอร์ปากสามารถช่วยเติมเต็มเนื้อเยื่อบริเวณริมฝีปาก ทำให้ริมฝีปากดูเต่งตึง ไม่เหี่ยวย่น

รูปทรงปากยอดนิยมในการฉีดฟิลเลอร์ปาก ได้แก่

  • ทรงปากกระจับ เป็นทรงปากที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ลักษณะของทรงปากกระจับ คือ ริมฝีปากบนจะมีทรงเป็นกระจับ ขอบปากบนโค้งมน มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย

  • ทรงปากอวบอิ่ม เป็นทรงปากที่เน้นความอวบอิ่ม ริมฝีปากบนและล่างจะมีความหนาเท่ากัน ขอบปากชัด

  • ทรงปากยิ้ม เป็นทรงปากที่เน้นความเรียวเล็ก ริมฝีปากบนจะเรียวเล็กกว่าริมฝีปากล่าง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย

นอกจากนี้ ยังมีรูปทรงปากอื่นๆ ให้เลือก เช่น ทรงปากบาง ทรงปากทรงหยดน้ำ เป็นต้น

การเลือกรูปทรงปากควรพิจารณาจากปัจจัยดังนี้

  • รูปหน้า รูปทรงปากควรเข้ากับรูปหน้า เพื่อให้ใบหน้าดูสมส่วน

  • ลักษณะนิสัย รูปทรงปากควรเข้ากับลักษณะนิสัย เพื่อให้ใบหน้าดูมีบุคลิกภาพ

  • ความชอบส่วนตัว เลือกรูปทรงปากที่ชอบและมั่นใจ

10 ทริคสุดปัง! เลือกฟิลเลอร์ปากอย่างไรให้คุ้มค่าและมีคุณภาพ

1.เลือกคลินิกหรือแพทย์ที่มีประสบการณ์ : ค้นหาคลินิกหรือแพทย์ที่มีประสบการณ์และมีที่ปรึกษากับแพทย์คอสเมติก เพื่อให้คำปรึกษาและแนะนำที่เหมาะกับความต้องการของคุณ

2.ตรวจสอบสารส่วนประกอบ : สารที่ใช้ในฟิลเลอร์ปากมีหลายแบบ, แต่สารที่พบบ่อยคือ ไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid) ซึ่งเป็นสารประสิทธิภาพและปลอดภัย คุณควรถามแพทย์เกี่ยวกับสารที่ใช้และประสิทธิภาพ

3.ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ : ดูผลลัพธ์ที่ได้จากผู้ที่ได้ทำฟิลเลอร์ปาก รีวิวต่างๆ รวมถึงการดูภาพก่อนหลังจากการทำฟิลเลอร์ปาก

4.คำปรึกษากับแพทย์ : คำปรึกษากับแพทย์คอสเมติกหรือผู้ทำฟิลเลอร์ปากเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับประสิทธิภาพ, ความถูกต้องของผลลัพธ์, และความเหมาะสมกับความต้องการของคุณ

5.ความรู้เกี่ยวกับผลข้างเคียง : ทราบถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังจากการทำฟิลเลอร์ปาก, และต้องรับรู้ถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

6.การบำรุงรักษา : คุณต้องรู้ถึงวิธีการดูแลตนเองหลังจากทำฟิลเลอร์ปาก, รวมถึงการป้องกันและการดูแลผลลัพธ์ให้ยืนยาว

7.ยี่ห้อและรุ่น : ฟิลเลอร์ปากมีหลากหลายยี่ห้อและรุ่นให้เลือก แต่ละยี่ห้อและรุ่นจะมีจุดเด่นและข้อดีแตกต่างกันไป ควรเลือกฟิลเลอร์ปากที่ผลิตจากบริษัทที่ได้มาตรฐานและผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.)

8.โมเลกุล : โมเลกุลของฟิลเลอร์ปากจะส่งผลต่อความยืดหยุ่นและความคงทนของฟิลเลอร์ ฟิลเลอร์ที่มีโมเลกุลขนาดเล็กจะมีความยืดหยุ่นสูง แต่อาจอยู่ได้ไม่นาน ส่วนฟิลเลอร์ที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่จะมีความคงทนสูง แต่อาจมีความยืดหยุ่นน้อย

9.จุดประสงค์ : ฟิลเลอร์ปากสามารถฉีดเพื่อปรับรูปทรงปากให้อวบอิ่มหรือปรับรูปทรงปากให้สวยงามได้ ควรเลือกฟิลเลอร์ปากที่เหมาะสมกับจุดประสงค์ที่ต้องการ

10.ค่าใช้จ่าย งบประมาณ : ฟิลเลอร์ปากมีราคาแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ รุ่น โมเลกุล และปริมาณที่ใช้ ควรเลือกฟิลเลอร์ปากที่คุ้มค่ากับงบประมาณ

นอกจากนี้ ควรสังเกตสิ่งต่อไปนี้ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ปาก

  • คลินิกมีห้องผ่าตัดที่สะอาด ปลอดภัย

  • แพทย์สวมใส่ชุดป้องกันอย่างครบถ้วน

  • ใช้อุปกรณ์และเครื่องมือที่สะอาด ปลอดเชื้อ

  • มีการฉีดยาชาก่อนฉีดฟิลเลอร์

 

ฟิลเลอร์ดีมีคุณภาพ

ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างฟิลเลอร์ปากที่ปลอดภัย

  • mesofiller global 20 mg/ml

เนื้อเจลที่มีความสมดุลระหว่างความยืดหยุ่นและความหนืด เหมาะสำหรับเติมเต็มและแก้ปัญหาบนใบหน้าได้หลากหลาย

○ เนื้อเจลมีความนุ่มยืดหยุ่นดี

○ เนื้อเจลมีความละเอียดทำให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ สามารถปรับให้เข้ากับรูปทรงของใบหน้าได้อย่างสมบูรณ์

○ ฉีดบริเวณไหน ?

■ ริ้วรอยร่องลึกระดับปานกลาง

■ การเสริมริมฝีปาก

■ เติมเต็มรอบปาก

■ มุมปาก

■ ร่องแก้

■ เติมเต็มขมับ

■ หน้าผาก

■ แก้ม

■ ติ่งหู

■ การปรับเปลี่ยนรูปทรงจมูก : สันจมูก

  • mesofiller intense 25 mg/ml

เนื้อเจลไฮยาลูโรนิกที่มีความเข้มข้นสูง ช่วยปรับรูปทรงของใบหน้า

○ เนื้อเจลมีความหนืดและความคงตัวสูง ทำให้สามารถคงรูปได้ดี

○ สามารถปรับแต่งให้ได้ตามรูปทรงที่ต้องการ

○ ฉีดบริเวณไหน ?

■ ริ้วรอยร่องลึก

■ ศัลยกรรม

■ ยกกระชับใบหน้า

■ ขมับ

■ บริเวณโหนกแก้ม

■ รอยพับลึกบริเวณจมูก-ปาก

■ ขากรรไกร

จุดเด่นของฟิลเลอร์ทั้ง 2 ชนิด

  • cross-linking process กระบวนการทำให้ ha มีโครงสร้างเป็นร่างแห เพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ภายในทำให้เกิดรูปทรง

  • เทคโนโลยีการทำ ha ให้อยู่ในรูป crosslink 100% โดยไม่มี free ha

  • มีความปลอดภัยสูง BDDE ต่ำ ไม่ก่อให้เกิดความระคายเคือง

  • สามารถคงรูปในการฉีดได้ดี ผิวเรียบเนียน

  • อัตราการบวมต่ำ สามารถกำหนดปริมาณการฉีดและสามารถจัดรูปทรงได้อย่างง่ายดาย

  • สามารถเข้าได้ดีกับเนื้อเยื่อ เติมเต็มได้ทันที และไม่ก่อให้เกิดลักษณะเป็นก้อนนูนหลังการฉีด

  • สามารถกระตุ้นการซ่อมแซมของเนื้อเยื่อที่ขาดน้ำทำให้เติมเต็มความชุ่มชื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • สามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 9-12 เดือน หลังจากการฉีดเพียงครั้งเดียว

ทั้งนี้ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ปาก ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินสภาพริมฝีปากและคำแนะนำฟิลเลอร์ปากที่เหมาะสม

ฉีดฟิลเลอร์ปาก บวมกี่วัน ?

การฉีดฟิลเลอร์ปากจะมีอาการบวมประมาณ 3-7 วัน โดยอาการบวมจะมากที่สุดในช่วง 2-3 วันแรก จากนั้นจะค่อยๆ ลดลงและหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์

ปัจจัยที่อาจทำให้อาการบวมหลังฉีดฟิลเลอร์ปากนานขึ้น ได้แก่

  • ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ ยิ่งฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณมาก อาการบวมก็จะนานขึ้น

  • บริเวณที่ฉีด บริเวณริมฝีปากเป็นบริเวณที่มีเส้นเลือดมาเลี้ยงมาก อาการบวมก็จะนานขึ้น

  • สภาพผิว ผู้ที่ผิวบางหรือแพ้ง่าย อาการบวมก็จะนานขึ้น

การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก

หลังจากการฉีดฟิลเลอร์ปาก การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ปากอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญจะช่วยบรรเทาอาการบวมได้ เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีและรักษาความสวยงามของฟิลเลอร์ปากได้อย่างยั่งยืนและดียิ่งขึ้น ควรดูแลตัวเองดังนี้

  1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ฉีด : หลีกเลี่ยงการแตะบริเวณปาก หลังจากการฉีดฟิลเลอร์เพื่อป้องกันการย้ายฟิลเลอร์ ฟิลเลอร์เคลื่อนตัวอาจทำให้ผลลัพธ์ไม่สมบูรณ์

  2. หลีกเลี่ยงการทำงานอย่างหนักบริเวณที่ฉีด : หลีกเลี่ยงการทำอย่างหนักหรือการบีบ, กัด, หรือดึงบริเวณที่ทำการฉีด

3.การป้องกันการบวม : ใช้ถุงน้ำแข็งหรือพัดลมเย็นบนบริเวณที่ทำการฉีด เพื่อลดการบวมช้ำ โดยประคบเย็นเป็นเวลา 20 นาที 3-4 ครั้งต่อวัน เป็นเวลา 2-3 วันแรก

4.หลีกเลี่ยงการทานอาหารหรือเครื่องดื่มร้อน : หลีกเลี่ยงการทานอาหารหรือเครื่องดื่มร้อน เพราะอาจทำให้ปากบวมมากขึ้น

5.ดื่มน้ำให้เพียงพอ : ช่วยให้ฟิลเลอร์อุ้มน้ำได้ดียิ่งขึ้น ใช้ครีมที่มีสารบำรุงเพียงพอเพื่อรักษาความชื้นในร่างกาย 6.การใช้ยาป้องกันอักเสบ : ใช้ยาป้องกันอักเสบตามที่แพทย์แนะนำ 7.การพักผ่อน : ให้ร่างกายมีเวลาพักผ่อนเพื่อส่งเสริมกระบวนการฟื้นตัว 8.ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ : หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์หลังฉีดฟิลเลอร์ เพื่อลดความเสี่ยงของการบวมและแดงบริเวณที่ทำการฉีด

  1. ไม่ทำกิจกรรมกีฬาหรือการออกกำลังกายหนัก : หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องใช้แรงกล้ามเนื้อมากหรือออกกำลังกายหนักที่อาจส่งผลต่อฟิลเลอร์ 10.การดูแลแผล : ถ้ามีแผลในระหว่างที่ฉีดฟิลเลอร์ ควรดูแลแผลตามคำแนะนำที่แพทย์ให้ 11.การใช้รูระบายน้ำ : ในบางกรณีแพทย์อาจวางแผนให้ใช้รูระบายน้ำเพื่อปรับทรงปาก 12.การนอนหลับที่ถูกต้อง : ควรนอนหลับในท่าที่ไม่ทำให้ฟิลเลอร์ปากได้รับแรงกดทับ 13.ติดตามนัดหมายหลังการฉีดฟิลเลอร์ : ไปตามนัดหมายการติดตามที่แพทย์กำหนด เพื่อให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ ควรนัดติดตามผลกับแพทย์ประมาณ 1 สัปดาห์หลังฉีด เพื่อประเมินผลลัพธ์และรับคำแนะนำในการดูแลตัวเองเพิ่มเติม

นอกจากนี้ ควรสังเกตอาการผิดปกติหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก หากมีอาการผิดปกติควรรีบพบแพทย์ทันที ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก มีดังนี้

  • อาการบวมช้ำ เป็นอาการที่พบได้บ่อยหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก อาการบวมช้ำจะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน

  • รอยแดง เป็นอาการที่พบได้บ่อยเช่นกัน รอยแดงจะค่อยๆ จางลงภายใน 1-2 วัน

  • คัน เป็นอาการที่พบได้น้อย อาการคันมักหายได้เองภายใน 1-2 วัน

  • ระคายเคือง เป็นอาการที่พบได้น้อย อาการระคายเคืองอาจเกิดจากสารเติมเต็มหรือยาชาที่ใช้ อาการระคายเคืองมักหายได้เองภายใน 1-2 วัน

  • การติดเชื้อ เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้น้อย อาการของการติดเชื้อ ได้แก่ อาการบวมแดง ปวด ร้อน มีหนอง หากมีอาการติดเชื้อควรรีบพบแพทย์

  • ผลลัพธ์ไม่เป็นตามที่ต้องการ ผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์ปากอาจไม่เป็นตามที่ต้องการ เช่น ปากไม่อวบอิ่มเท่าที่ต้องการ ปากผิดรูป เป็นต้น หากผลลัพธ์ไม่เป็นตามที่ต้องการควรปรึกษาแพทย์เพื่อแก้ไข

  • การหลุดลอกหรือหยุดทำงานของฟิลเลอร์บางครั้งอาจเกิดขึ้นได้ ทำให้จำเป็นต้องทำการปรับแก้หรือทำซ้ำ

  • การเปลี่ยนแปลงสีหรือประการของผิวหนัง สีของผิวหนังที่ทำการฉีดอาจมีการเปลี่ยนแปลง

  • อาการแพ้หรือปวด การแพ้ต่อสารฟิลเลอร์หรืออาการปวดในบางครั้งอาจเกิดขึ้น

ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นหลังฉีดฟิลเลอร์ปากส่วนใหญ่จะหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์

อย่างไรก็ตาม หากมีอาการผิดปกติที่รุนแรงหรือเป็นอยู่นานเกิน 2 สัปดาห์ ควรรีบพบแพทย์ทันที

คำแนะนำเพิ่มเติมในการดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก

  • หลีกเลี่ยงการใช้ลิปสติกที่มีส่วนผสมของสารระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์ น้ำหอม เป็นต้น

  • ทาลิปบาล์มเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปาก

  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เสื่อมสภาพเร็วขึ้น

การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ปากอย่างถูกวิธี จะช่วยให้ผลลัพธ์ของฟิลเลอร์ดูสวยและอยู่ได้นานยิ่งขึ้น

ข้อดี-ข้อเสีย

ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ปาก ได้แก่

  • เห็นผลได้ทันทีหลังฉีด

  • สามารถปรับแต่งรูปทรงปากได้ตามต้องการ

  • ปลอดภัยและไม่เป็นอันตราย

  • ใช้เวลาพักฟื้นน้อย

ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ปาก ได้แก่

  • อาจเกิดอาการบวมแดง เขียวช้ำบริเวณที่ฉีดได้

  • อาจเกิดอาการแพ้สารฟิลเลอร์ได้

  • อาจต้องฉีดซ้ำทุกๆ 6-12 เดือน

สรุปโดยรวม การฉีดฟิลเลอร์เป็นวิธีที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาร่องลึก ปรับรูปทรงหรือขนาดของใบหน้าให้สมส่วน แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ร่องลึก ใบหน้าไม่สมมาตร เป็นต้น ซึ่งเห็นผลได้ทันทีหลังฉีด และปลอดภัยหากฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

อย่างไรก็ตาม การฉีดฟิลเลอร์ก็อาจมีความเสี่ยง เช่น เกิดอาการบวมแดง เขียวช้ำบริเวณที่ฉีดได้ หรืออาจเกิดอาการแพ้สารฟิลเลอร์ได้ ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ เพื่อให้แพทย์ประเมินสภาพใบหน้าและเลือกประเภทและปริมาณฟิลเลอร์ที่เหมาะสม รวมถึงให้คำแนะนำในการฉีดฟิลเลอร์อย่างปลอดภัย