ทา ‘ครีมกันแดด’ ยังไงไม่ให้เป็นฝ้า

“แสงแดด” หนึ่งในศัตรูตัวฉกาจที่สามารถทำร้ายผิวได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากในแสงแดดมีพลังความร้อนจากรังสีอัลตร้าไวโอเลต ทั้งรังสียูวีเอและรังสียูวีบี ที่ไม่เพียงทำให้เกิดเหงื่อหรือความเหนียวเหนอะหนะขึ้นทั้งใบหน้าและร่างกายเท่านั้น แต่แสงแดดยังเป็นต้นเหตุสำคัญ ที่ทำให้เกิดปัญหาผิวหนังตามมาได้อีกมากมายแบบไม่รู้จักจบสิ้น โดยเฉพาะฝ้า กระ จุดด่างดำ ที่ทำให้หน้าหมองคล้ำ ไม่สดใส  ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงแสงแดดในชีวิตประจำวันได้ตลอดเวลา  แต่เราสามารถปกป้องผิวสวยๆได้ด้วยการทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน  ควรเลือกทา ครีมกันแดด แบบไหน ต้องทาในปริมาณเท่าไร จึงจะมีประสิทธิภาพมากพอที่จะยับยั้งพลังงานความร้อนที่สามารถทะลุเข้าไปถึงเซลล์ผิวชั้นในได้ ไปหาคำตอบด้วยกัน

โทษและประโยชน์ของแสงแดด

ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักกับแสงแดดกันสักนิด ซึ่งแท้จริงแล้ว แสงแดดไม่ได้มีเพียงโทษหรืออันตรายเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้

อันตรายจากแสงแดด
ในแสงแดดมีรังสีUV ที่ส่งผลเสียทั้งต่อสภาพผิวและสภาพร่างกายได้ ดังต่อไปนี้

  • ผิวแห้งกร้าน ไม่ชุ่มชื้น ทำให้หน้าดูแก่ก่อนวัย ทั้งยังเป็นที่มาของปัญหาผิวอีกมากมาย ทั้งฝ้า กระ จุดด่างดำ  ผิวเหี่ยวย่น หย่อนคล้อย เป็นต้น
  • ผิวไหม้แดด เมื่อสัมผัสกับแสงแดดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจทำให้ผิวไหม้ได้ในบางรายอาจมีอาการระคายเคืองหรือแสบร่วมด้วย
  • เกิดอาการฮีทสโตรก(Heatstroke) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของ “โรคลมแดด”  ที่มีอาการหน้ามืด ตาลาย คล้ายๆจะเป็นลม เนื่องจากร่างกายได้รับความร้อนมากจนเกินไปและขับออกมาไม่ทัน ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้ และไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
  • มะเร็งผิวหนัง การอยู่กลางแสงแดดเป็นเวลานานและต่อเนื่องทุกวัน โดยไม่มีการป้องกันอย่างถูกต้องและถูกวิธี อาจทำให้เซลล์ผิวถูกทำลายด้วยแสงแดดจนอ่อนแอ ไม่เพียงเท่านั้น รังสีความร้อนจากแสงแดด ยังสามารถเข้าไปทำร้าย DNA ของผิวได้ด้วย ส่งผลให้เกิดมะเร็งผิวหนังตามมา

ประโยชน์จากแสงแดด
ในอีกด้านหนึ่ง แสงแดดก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพของคนเราด้วยเช่นกัน เพราะในแสงแดด โดยเฉพาะในช่วงเวลาประมาณ เวลา 6.00-8.00 น. จะมีวิตามินดีในปริมาณที่มาก ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากมาย ดังต่อไปนี้

  • ช่วยบำรุงผิวพรรณให้ดูอ่อนเยาว์
    เนื่องจากแสงแดดอ่อนๆสามารถช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในร่างกายได้ดีขึ้น ทำให้ผิวพรรณดูสดใส เปล่งปลั่ง สุขภาพดี
  • แสงแดดช่วยให้การนอนหลับพักผ่อนดีขึ้น
    มีงานวิจัยระบุว่า แสงแดดสามารถควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจได้ ทั้งยังสามารถควบคุมระดับของเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ร่างกายสร้างขึ้น มีส่วนสำคัญต่อการนอนหลับ การได้รับแสงแดดในยามเช้า จะกระตุ้นให้เมลาโทนินหลั่งออกมาเป็นเวลามากขึ้น ทำให้ไม่รู้สึกง่วงในระหว่างวัน แต่ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้นในเวลากลางคืน
  • ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
    วิตามินดีที่อยู่ในแสงแดด สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเม็ดเลือดขาวได้ โดยฮฮร์โมนโซลิทอนจากต่อมไพเนียลที่อยู่ใต้สมอง จะทำปฏิกิริยากับวิตามินดี ทำให้ร่างกายผลิตเม็ดเลือดขาวที่แข็งแรงมากขึ้น ส่งผลให้ภูมิต้านทานของร่างกายดีไปด้วย
  • ช่วยปรับสภาวะของอารมณ์
    วิตามินดีที่อยู่ในแสงแดดยามเช้า สามารถช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเซโรโทนิน ช่วยลดระดับความเครียด ทำให้ไม่หงุดหงิดง่าย

ครีมกันแดด

เมื่อไรที่ควรทา ‘ครีมกันแดด’?

หลายคนเข้าใจว่า ควรทาครีมกันแดดเฉพาะตอนที่ต้องออกจากบ้าน ไปเผชิญกับความร้อนของรังสีอัลตร้าไวโอเลตเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว ในขณะที่อยู่ในร่ม ก็จำเป็นที่จะต้องทาครีมกันแดดด้วยเช่นกัน เนื่องจากเราต้องเผชิญกับแสงสีฟ้าของจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ รวมถึงแสงจากไฟนีออน พลังงานความร้อนจากการทำอาหาร ซึ่งเป็นพลังงานที่สามารถทำร้ายผิวได้  สำหรับท่านที่ต้องออกไปเผชิญกับแสงแดดข้างนอก ควรต้องทาครีมกันแดดก่อนออกบ้านอย่างน้อย 15-20 นาที เพื่อให้เนื้อครีมกันแดดสามารถเคลือบผิวเป็นชั้นบางๆและสามารถปกป้องผิวจากแสงแดดได้อย่างครอบคลุม และควรทาซ้ำเป็นครั้งที่ 2 ภายในชั่วโมงแรก เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปกป้องให้ดีมากยิ่งขึ้น

ประเภทของ ‘ครีมกันแดด’

โดยทั่วไป ครีมกันแดดสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือแบบ Mineral Sunscreens และแบบ Chemical Sunscreens ซึ่งทั้ง 2 ประเภท ก็ล้วนแต่มีวิธีการทำงานที่แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้

  • ครีมกันแดดแบบ Mineral Sunscreens
    Mineral Sunscreens มีคุณสมบัติที่ช่วยปกป้องแสงแดดได้ทันที โดยมีหลักการทำงานคือ เมื่อแสงแดดมาตกกระทบที่ผิวหนัง สารที่อยู่ในครีมกันแดดชนิดนี้ จะทำหน้าที่หักเหแสงแดดออกไป สามารถช่วยป้องกันรังสียูวีเอและยูวีบีได้อย่างเต็มที่ ทำให้ผิวปลอดภัยจากแสงแดดที่ทำร้ายผิว โดยเนื้อครีมมักมีลักษณะที่บางเบา ไม่ก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขน แต่ครีมกันแดดแบบ Mineral Sunscreens มีข้อเสียคือ เมื่อเหงื่อออกหรือโดนน้ำ เนื้อครีมกันแดดจะหลุดออกมาได้ง่าย จะต้องหมั่นทาบ่อยๆ และอาจมีคราบสีขาวเกิดขึ้นบนผิวหนังได้
  • ครีมกันแดดแบบ Chemical Sunscreens  ครีมกันแดดแบบ Chemical Sunscreens มีคุณสมบัติที่ช่วยดูดซับแสงแดดหรือรังสียูวีที่กระทบลงบนผิว จากนั้นจะเปลี่ยนให้เป็นพลังงานความร้อนที่ปล่อยออกมาทางผิวหนัง  จำเป็นต้องทาครีมกันแดดประเภทนี้ก่อนออกแดดประมาณ 20 นาที เพื่อให้เนื้อครีมค่อยๆซึมลงสู่ชั้นผิว แต่หากผิวมีการสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง เนื้อครีมจะระเหยค่อนข้างไว ทำให้ต้องหมั่นทาครีมกันแดดอยู่บ่อยๆ ส่วนใหญ่เนื้อครีมจะเกลี่ยง่าย ไม่เหนียวเหนอะหนะ  ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายหรือผิวมัน เพราะอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ง่าย ทั้งยังสามารถทำให้เกิดการอุดตัน สิว และรอยดำขึ้นมาได้

ก่อนเลือกใช้ ‘ครีมกันแดด’ ป้องกันฝ้าต้องรู้อะไรบ้าง?

ก่อนเลือกครีมกันแดดเพื่อป้องกันฝ้าและเพื่อการปกป้องผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีข้อควรพิจารณามากมาย  ที่จำเป็นต้องใส่ใจและศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้ละเอียด เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการปกป้องผิวให้ดีมากยิ่งขึ้น ดังต่อไปนี้

พิจารณาสภาพผิวของตนเอง
เพื่อประสิทธิภาพในการปกป้องแสงแดดได้ดีมากขึ้น โดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว จำเป็นที่จะต้องเลือกครีมกันแดดที่เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละคน ดังนี้

  • ผิวแพ้ง่าย
    สำหรับท่านที่มีผิวแพ้ง่าย  ต้องเลือกครีมกันแดดที่มีความอ่อนโยน ไม่มีส่วนผสมของสารอันตราย น้ำหอม แอลกอฮอล์ และพาราเบน เพราะสารเหล่านี้ สามารถก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือเกิดอาการแพ้ขึ้นมาได้ ทั้งยังควรเลือกครีมกันแดที่มีความบางเบา เป็นเนื้อเจลหรือเซรั่มที่ซึมซาบลงสู่ชั้นผิวได้ง่าย
  • ผิวมัน
    สำหรับท่านที่มีผิวมัน ควรเลือกครีมกันแดดที่มีเนื้อครีมที่ไม่เหนียวเหนอะหนะ และไม่ก่อให้เกิดการอุดตันได้โดยง่าย ปราศจากน้ำมันและไม่ทำให้เกิดสิว
  • ผิวแห้ง
    การเลือกครีมกันแดดสำหรับคนผิวแห้ง จะต้องเลือกครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยบำรุงและให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว  โดยไม่ทิ้งร่องรอยหรือคราบ แต่จะช่วยให้ผิวอ่อนนุ่ม ชุ่มชื้นมากขึ้น

พิจารณาเลือก ‘ครีมกันแดด’ ที่มีค่า SPF ให้เหมาะกับสีผิว
ค่า SPF (Sunburn Protection Factor)  เป็นค่าความยาวนานในการปกป้องผิวจากแสงแดด ยิ่งค่า SPF ยิ่งสูง ก็ยิ่งสามารถปกป้องผิวจากแสงแดดได้สูง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคนด้วย ดังนี้

  • สำหรับคนที่มีผิวขาวซีด
    คนผิวขาวซีด เมื่อออกแดดจะสามารถมองเห็นรอยไหม้ของผิวได้ชัดเจนมากกว่าคนที่มีผิวสีอื่นๆ ทั้งยังเป็นสภาพผิวที่ไวต่อแสงแดด ดังนั้น ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่าการปกป้องที่สูง ตั้งแต่ SPF 45-60
  • สำหรับคนที่มีผิวขาวอมชมพู
    เป็นสภาพผิวที่ไวต่อแสงแดดและความร้อนมาก จึงมีความเสี่ยงที่ผิวอาจเสียได้ง่ายกว่าสภาพผิวอื่นๆ ดังนั้น ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่าการปกป้องสูง ตั้งแต่ SPF 30-45 เพื่อปกป้องผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • สำหรับคนที่มีผิวขาวเหลือง
    ผิวขาวเหลือง เป็นผิวของคนในโซนเอเชีย  จะมีเมลานินค่อนข้างสูงกว่าผิวขาว 2 ประเภทข้างต้น เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวถูกแสงแดดทำร้าย ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่าการปกป้อง SPF 30
  • สำหรับคนที่มีผิวคล้ำ
    ผิวคล้ำ ถูกแสงแดดทำร้ายได้ง่าย จะสังเกตได้ว่าผิวที่ถูกแดดจะไม่เป็นรอยไหม้ แต่สีผิวจะคล้ำเสียมากกว่าปกติ ครีมกันแดดที่แนะนำควรมีค่าการปกป้องตั้งแต่ SPF 15 เป็นต้นไป

พิจารณาเลือก ‘ครีมกันแดด’ ที่มีส่วนผสมของ Broad spectrum Broad spectrum ที่เป็นส่วนผสมในครีมกันแดด เป็นอีกหนึ่งมาตรฐานที่ระบุถึงคุณสมบัติที่สำคัญของครีมกันแดด ที่มีประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากทั้งรังสี UVA และ UVB ได้อย่างครอบคลุม เนื่องจากรังสี UVA มีมากถึง 95% ของรังสีอัลตร้าไวโอเลตที่ส่องมายังผิวโลก มีทุกช่วงเวลา ทั้งในวันที่มีแสงแดดจ้าและในวันที่มีเมฆมาก เป็นรังสีที่มีความรุนแรงเพราะสามารถส่องทะลุผ่านก้อนเมฆมายังเซลล์ผิวชั้นหนังแท้ได้  กระตุ้นให้มีการผลิตอนุมูลอิสระในร่างกาย เป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวถูกทำลายในระยะยาว โดยทำให้ผิวแก่ เนื่องจากแสงแดด(Photoageing) โดยเป็นผลสืบเนื่องมาจากโครงสร้างผิว ที่มีคอลลาเจนและอีลาสตินเกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้ผิวหย่อนคล้อยและเกิดริ้วรอยขึ้นได้ง่าย , ผิวแพ้แสงแดด ซึ่งอาจปรากฏเป็นรอยแดง มีอาการคัน หรือเป็นผื่น , การสร้างเม็ดสีผิวที่มากผิดปกติ ทำให้เกิดฝ้าสีน้ำตาลและจุดด่างดำ และยังสามารถพัฒนาเป็นมะเร็งผิวหนังได้ด้วย  ส่วนรังสี UVB จะเป็นรังสีที่ถูกบล็อคด้วยเมฆหรือกระจก แต่ยังสามารถที่จะแทรกซึมลงไปสู่ผิวชั้นหนังกำพร้าได้  ส่งผลให้ผิวมีสีที่คล้ำลง เกิดผิวหนังอักเสบเนื่องจากปฏิกิริยาภูมิแพ้แสงแดด และเป็นต้นเหตุสำคัญของมะเร็งผิวหนังได้อีกด้วย

พิจารณาเลือก ‘ครีมกันแดด’ ที่สามารถป้องกันน้ำและเหงื่อ
เนื่องจากประเทศไทยของเราอยู่ในโซนร้อน ที่อากาศมักจะอบอ้าว ทำให้มีเหงื่อออกตลอดเวลา ดังนั้น ควรเลือกครีมกันแดดที่สามารถกันเหงื่อและกันน้ำได้ โดยไม่ไหลเยิ้มหรือเป็นคราบ สามารถติดทนนานได้หลายชั่วโมง และควรทาครีมกันแดดซ้ำอยู่บ่อยๆ ในวันที่เหงื่อออกมากหรือเมื่อต้องทำกิจกรรมทางน้ำเป็นเวลานาน

พิจารณาถึงสารประกอบหรือส่วนผสมใน ‘ครีมกันแดด’ ที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้
ส่วนผสมที่อยู่ในครีมกันแดด เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนเลือกใช้ โดยให้เลือกครีมที่ไม่มีสารอันตราย หรือสารต่างๆที่สามารถก่อให้เกิดการระคายเคือง ไม่ว่าจะเป็นน้ำหอม แอลกอฮอล์ สารกันเสีย พาราเบน เป็นต้น เพราะสารเหล่านี้ สามารถดึงความชุ่มชื้นออกจากผิวของคนเราได้  ทั้งยังมีฤทธิ์ทำลายเกราะป้องกันผิวชั้นบน ส่งผลให้ผิวแห้ง ขาดน้ำ ขาดความชุ่มชื้น ทำให้ผิวเสียสมดุล  เกิดการอุดตัน เกิดผดผื่น หรือเกิดเป็นสิวอักเสบขึ้นได้ ดังนั้น ก่อนเลือกใช้ ควรมีการทดสอบด้วยตนเองเบื้องต้น โดยให้ทาครีมกันแดดในบริเวณที่มีความบอบบาง เช่น  ข้อพับแขน หลังหู หรือท้องแขน จากนั้นให้ทิ้งเอาไว้ประมาณ 1-3 ชั่วโมง เพื่อรอดูอาการ หากมีอาการแพ้ ในบริเวณที่ทดสอบจะมีอาการแดง คัน หรือเกิดผื่นขึ้นได้

ควรทา ‘ครีมกันแดด’ ป้องกันฝ้าปริมาณเท่าไรในแต่ละครั้ง

การทาครีมกันแดดในแต่ละครั้ง ควรทาในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไป เพื่อให้เกิดการปกป้องที่ดีที่สุดสำหรับผิว โดยมีหลักการ ดังต่อไปนี้

  • ในการทาครีมกันแดดทั่วทั้งตัว ให้ใช้ประมาณ  1 ออนซ์ (28 กรัม) หรือประมาณครึ่งฝ่ามือต่อ 1 ครั้ง
  • ในการทาครีมกันแดดให้เด็ก ให้ทาประมาณครึ่งออนซ์ หรือ 14 กรัม ต่อ 1 ครั้ง
  • สำหรับการทาครีมกันแดดสำหรับผิวหน้า ให้ใช้ประมาณ ¼ ออนซ์ ต่อการทา 1 ครั้ง

ครีมกันแดด

ทา ‘ครีมกันแดด’ อย่างไรไม่ให้เป็นฝ้า?

เพื่อปกป้องผิวหน้าจากอันตรายจากแสงแดด จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้วิธีการทาครีมกันแดดด้วยวิธีการที่ถูกต้อง โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

ต้องรู้เวลาในการทาครีมกันแดด
เมื่อทาครีมกันแดด จะต้องรอให้เนื้อครีมซึมลงเข้าสู่ชั้นผิวประมาณ 20-30 นาที  เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการปกป้อง และหลังจากที่ทาครีมกันแดด ก็สามารถทาแป้งตามได้เลย เพื่อช่วยให้ครีมกันแดดติดแน่นกับผิว พร้อมทั้งสามารถช่วยลดความมันจากเนื้อครีมกันแดดได้ด้วย

ให้ทาครีมกันแดดซ้ำระหว่างวัน
การทาครีมกันแดดเพียงครั้งเดียวก่อนออกจากบ้าน สามารถช่วยป้องกันแสงแดดได้ในระยะเวลาที่จำกัด ไม่กี่ชั่วโมง และถ้ายิ่งต้องเผชิญกับแสงแดดจัดเป็นระยะเวลาต่อเนื่องยาวนาน มีการออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาที่ทำให้เสียเหงื่อมากขึ้น ก็จะทำให้เนื้อครีมกันแดดที่ทาค่อยๆหลุดออกไป ดังนั้น เพื่อประสิทธิภาพในการปกป้องแสงแดดได้อย่างเต็มที่ ควรทาครีมกันแดดซ้ำบ่อยๆทุกๆ 2 ชั่วโมงหรือในระยะเวลา 90 นาที และควรเลือกครีมกันแดดที่สามารถกันน้ำ กันเหงื่อได้ด้วย

ไม่ออกแดด ก็ต้องทาครีมกันแดด
นอกจากรังสียูวีที่อยู่ในแสงแดด สามารถทำร้ายผิวของเราได้แล้ว ยังมีแสงสีฟ้า (Blue Light) จากจอคอมพิวเตอร์และจอมือถือ ที่สามารถส่องทะลุเข้าสู่ผิวชั้นหนังแท้และทำร้ายผิวได้ไม่แพ้แสงจากดวงอาทิตย์ ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีแสงจากไฟนีออน พลังงานความร้อนจากการทำอาหาร ก็สามารถส่งผลเสียหายต่อผิว ทำให้เกิดฝ้าหรือปัญหาผิวอื่นๆตามมาได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะออกจากบ้านหรืออยู่ในบ้าน ก็มีความจำเป็นที่จะต้องทาครีมกันแดดเป็นประจำ เราขอแนะนำครีมกันแดดสุดพรีเมี่ยม สูตรพิเศษสำหรับผิวที่ต้องการการปกป้องเป็นพิเศษระหว่างวันอย่าง mesoprotech melan 130 pigment control ที่มีค่า SPF 50+  ที่มีประสิทธิภาพช่วยปกป้องผิวทั้งจากรังสี UVA & UVB พร้อมทั้งช่วยลดเลือน และป้องกันการเกิดจุดด่างดํา ความหมองคลํ้าของผิว ด้วยเนื้อกันแดดสีเบจ ช่วยปกปิดจุดด่างดํา และรอยหมองคลํ้าอย่างเป็นธรรมชาติ มีเนื้อสัมผัสที่บางเบา เกลี่ยง่าย ไม่ทิ้งคราบบนใบหน้า ด้วยส่วนผสมที่สำคัญที่คัดสรรเพื่อผิวสวยของคุณโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น mesoprotech complex ที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVB นอกจากนี้ยังมีสารแอนติออกซิแดนท์ที่ช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ ในรังสีอินฟราเรด และแสงสีฟ้าที่มากระทบผิว ,Azeloglicina ( Azelaic acid) ช่วยป้องกันรอยหมองคลํ้าหรือจุดด่างดํา ที่มีสาเหตุมาจากแสงแดด และSunflower seed oil (NMF) ที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นผิวตามธรรมชาติ ทำให้ผิวไม่แห้งกร้าน แลดูสุขภาพดี

ใช้ครีมกันแดดให้ถูกที่
ปกติครีมกันแดดจะแบ่งเป็น ครีมกันแดดสำหรับผิวกาย และครีมกันแดดสำหรับผิวหน้า ซึ่งไม่ควรนำมาใช้รวมกัน เนื่องจากครีมกันแดดทั้งสองประเภทนี้ มีคุณสมบัติและการปกป้องที่แตกต่างกัน และผิวหน้าของคนเรานั้น ก็บอบบางมากกว่าผิวกายบริเวณอื่นๆ ที่จะมีความหนาและหยาบมากกว่า นอกจากนั้น ครีมกันแดดแต่ละชนิดก็มีสูตรและส่วนประกอบที่แตกต่างกันอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ ครีมกันแดดแบบทาตัว จึงมีส่วนผสมที่เข้มข้นกว่าครีมกันแดดสำหรับผิวหน้า ถ้าหากนำครีมกันแดดสำหรับผิวกายมาทาหน้า ก็อาจจะทำให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคือง รวมถึงเกิดการอุดตัน จนกลายเป็นสิวขึ้นมาได้ ดังนั้นควรเลือกครีมกันแดดให้ถูกประเภท ไม่ควรนำครีมกันแดดที่ทาผิวกายมาทาผิวหน้า เพราะอาจเกิดปัญหาที่ไม่คุ้มตามมาอีกมากมาย

ให้ทาครีมกันแดดก่อนแต่งหน้าเสมอ
ในวันที่จะต้องแต่งหน้า ควรมีขั้นตอนการเตรียมผิวอย่างถูกต้อง โดยก่อนอื่น ให้ลงเซรั่ม หรือมอยเจอร์ไรเซอร์ก่อน รอให้ครีมซึมลงสู่ชั้นผิว จากนั้นให้ทาครีมกันแดดให้ทั่วทั้งใบหน้า ก่อนที่จะแต่งหน้าในลำดับต่อไป

ทาครีมกันแดดในปริมาณที่เหมาะสม
เพื่อประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากแสงแดดหรือความร้อน ควรทาครีมกันแดด 1-2 ข้อนิ้วชี้ ในกรณีที่เป็นเซรั่มกันแดดหรือกันแดดชนิดน้ำ ให้ทาในปริมาณเท่ากับเหรียญสิบบาท 1 เหรียญ หรือถ้าหากท่านใดที่กลัวเนื้อครีมจะเหนียวเหนอะหนะเกินไป สามารถแบ่งทา 2 รอบได้ โดยรอให้เนื้อครีมรอบแรกซึมลงสู่ผิวหนังก่อน แล้วจึงทาครีมรอบที่ 2 ตามลงไป

เกลี่ยครีมกันแดดให้ถูกวิธี
อีกหนึ่งเทคนิค ที่จะช่วยให้การทาครีมกันแดดกระจายไปทั่วใบหน้าได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น คือ ให้แต้มเนื้อครีมกันแดด 5 จุดบนใบหน้า ได้แก่ บริเวณหน้าผาก 1 จุด แก้มทั้งสองข้างอย่างละ 1 จุด และที่บริเวณคางอีก 1 จุด จากนั้นให้เกลี่ยครีมกันแดดให้ทั่วใบหน้าอย่างเบามือ โดยให้เกลี่ยไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ควรใช้วิธีถูขึ้นๆลงๆ นอกจากนั้น ให้ทาครีมกันแดดบริเวณใบหู และลำคอทั้งด้านหน้าและด้านหลังด้วย เพื่อให้สีผิวมีความสม่ำเสมอกัน

ให้เช็คอายุครีมกันแดด
โดยทั่วไป ครีมกันแดดจะมีอายุอยู่ 6-12 เดือนเท่านั้น ดังนั้น เมื่อเปิดใช้มานานแล้ว ให้ลองสังเกตเนื้อครีม สี และกลิ่นว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ หากมีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เหมือนเดิม ไม่ควรนำมาใช้ต่อ เพราะประสิทธิภาพของครีมอาจลดลงและอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ง่ายๆอีกด้วย

ควรทา ‘ครีมกันแดด’ ที่ส่วนใดบ้าง?

ในการทาครีมกันแดด ไม่ว่าจะบริเวณผิวหน้าหรือผิวกาย จะต้องทาในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้ครีมสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

  • ใบหน้าและลำคอ
    ผิวหน้าและลำคอ นับเป็นส่วนที่มีความบอบบางมาก และสามารถถูกแสงแดดไหม้ได้ง่ายๆ ปริมาณครีมกันแดดที่เหมาะสมสำหรับทาในจุดนี้คือ 2 ข้อนิ้วมือ
  • แขน
    ในการทาครีมกันแดดที่แขน ควรทาทั้งในส่วนที่เป็นหน้าแขนและหลังแขน เพื่อป้องกันอาการผิวไหม้และแสบร้อน และควรทาในปริมาณ 2 ข้อนิ้วเช่นกัน เพื่อการปกป้องได้อย่างเต็มที่
  • บริเวณด้านหลังและลำคอ
    ในการทาครีมกันแดดที่บริเวณหลังไหล่ และลำคอด้านหลังนั้น สามารถปรับในเรื่องของปริมาณได้ตามความเหมาะสม แต่ประเด็นสำคัญคือ ให้เกลี่ยครีมกันแดดให้ทั่วทั้งแผ่นหลังและไหล่ เพื่อการปกป้องที่ครอบคลุม
  • ขา
    ควรทาครีมกันแดดทั้งในส่วนบริเวณต้นขาด้านหน้าและด้านหลังในปริมาณ 2-3 ข้อนิ้วสำหรับขาแต่ละข้าง ในกรณีที่จะต้องทำกิจกรรมกลางแจ้ง เล่นน้ำทะเลหรือว่ายน้ำจะต้องทาในบริเวณฝ่าเท้าร่วมด้วย

เก็บรักษา ‘ครีมกันแดด’ อย่างไรให้ถูกวิธี?

เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ครีมกันแดดเสื่อมสภาพไปก่อนเวลาอันควร และสามารถใช้ได้นานขึ้น มีข้อควรปฏิบัติ ดังต่อไปนี้

ไม่ควรเก็บครีมกันแดดไว้ในห้องน้ำ
การเก็บครีมกันแดดหรือสกินแคร์อื่นๆไว้ในห้องน้ำ สามารถทำให้เนื้อครีมเสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น เนื่องจากอุณหภูมิภายในห้องน้ำมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มีทั้งความร้อนและความเย็นสลับกันไปมา ส่งผลให้เนื้อครีมอาจเกิดเชื้อราและส่งผลเสียต่อผิวได้ง่ายๆ

ไม่ควรเก็บครีมกันแดดไว้ในรถ
ภายในรถ มักมีอุณภูมิที่สูง มีความร้อนสะสมอยู่ในนั้น เพราะต้องเจอกับแสงแดดตลอดเวลา การเก็บครีมกันแดดเอาไว้ในรถ สามารถทำให้เนื้อครีมเสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น

ไม่ควรเก็บครีมกันแดดไว้ใกล้หน้าต่าง
บริเวณที่อยู่ใกล้ๆหน้าต่าง เป็นพื้นที่ที่เนื้อครีมมีโอกาสได้สัมผัสกับความร้อนและแสงแดดได้โดยง่าย  จึงเป็นเหตุผลที่ไม่ควรวางครีมกันแดดในบริเวณดังกล่าว เพราะความร้อนอาจส่งผลให้เนื้อครีมเสื่อมสภาพได้เร็วกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้น สถานที่ที่ควรเก็บครีมกันแดดคือ ควรเก็บเอาไว้ในที่ที่แสงส่องเข้าไปไม่ถึงหรือเก็บไว้ในกล่องใส่สกินแคร์โดยเฉพาะ เพื่อช่วยรักษาสภาพของเนื้อครีมให้คงอยู่  สามารถใช้ได้ยาวนานและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

วิธีการอื่นๆที่จะช่วยรักษาครีมกันแดดให้อยู่ในสภาพดีและพร้อมใช้งาน  เช่น  ให้ตรวจสอบวันหมดอายุ , ไม่นำครีมกันแดดแช่ตู้เย็น เพราะอากาศที่เย็นชื้น  อาจมีเชื้อโรคปะปนอยู่หลายชนิด สามารถทำให้ครีมกันแดดเสื่อมสภาพ ,ให้ปิดฝาครีมกันแดดทุกครั้งหลังใช้งาน เป็นต้น

ป้องกันแสงแดดอย่างไรไม่ให้เป็นฝ้าและดูอ่อนเยาว์

มีหลากหลายวิธีในการปกป้องผิวไม่ให้ถูกทำร้ายจากแสงแดด ซึ่งเป็นที่มาของผิวหมองคล้ำ เป็นฝ้า กระ จุดด่างดำ ยากต่อการรักษา ที่นอกจากทาครีมกันแดดแล้ว ยังต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอื่นๆร่วมด้วย ดังนี้

  • หลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่แดดร้อนจัด
    จากการวิจัยพบว่าช่วงเวลาที่แดดร้อนจัดและมีอันตรายมาก คือช่วง  10.00-16.00 น. เนื่องจากเป็นช่วงที่มีรังสียูวีในปริมาณที่เข้มข้นมากกว่าปกติ สามารถทำให้ผิวไหม้ได้ แม้อยู่กลางแสงแดดเพียง 20-30 นาทีเท่านั้นก็ตาม และยังทำให้ผิวคล้ำเสีย  เหี่ยวย่น  เกิดฝ้าตามมาได้ง่ายๆ ในช่วงเวลานี้หากจำเป็นต้องออกแดด ให้ทาครีมกันแดดที่มีค่าการปกป้องที่สูงเพียงพอ
  • ทาลิปมันสูตรป้องกันแสงแดด
    ไม่เพียงผิวเท่านั้น ที่ต้องการการปกป้องจากแสงแดด แต่ริมฝีปากก็ต้องการการดูแลด้วยเช่นกัน เนื่องจากการเผชิญกับแสงแดดหรือความร้อน สามารถส่งผลทำให้ริมฝีปากมีสีที่คล้ำขึ้นหรือเกิดรอยดำได้ จึงควรเลือกลิปมันที่มีส่วนผสมของสารกันแดด ที่มีค่าการปกป้องอยู่ที่ SPF 15-50
  • แต่งกายให้มิดชิด
    เมื่อต้องเผชิญกับแสงแดด ควรเลือกสวมใส่เสื้อผ้าให้มิดชิด เพื่อช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด ไม่ว่าจะเป็น เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว หรือเสื้อคลุม รวมถึงเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่ให้ความรู้สึกสบายอย่างผ้าฝ้ายหรือผ้าลินิน ที่สามารถระบายความร้อนได้เป็นอย่างดี และให้เลือกเสื้อผ้าสีอ่อน ที่ไม่ดูดความร้อน เช่น สีขาว สีครีม หรือสีเบจ เป็นต้น
  • หาอุปกรณ์เสริมช่วยกันแสงแดด
    นอกจากการสวมเสื้อผ้าที่มิดชิดแล้ว  ควรจะมีพวกร่มกันแดด หมวกปีกกว้าง รวมถึงแว่นกันแดด ที่จะช่วยปกป้องแสงแดดทั้งจากใบหน้า ร่างกาย และช่วยถนอมดวงตาได้อีกทางด้วย
  • รับประทานผลไม้บำรุงผิว
    นอกจากการปกป้องผิวภายนอกแล้ว จำเป็นที่จะต้องดูแลผิวสวยจากภายใน ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง รวมถึงมีวิตามินเอและวิตามินอี ที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใส ทั้งยังช่วยฟื้นฟูผิวคล้ำเสียจากแสงแดดได้ เช่น สตรอเบอร์รี่ แคนเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ และอะโวคาโด เป็นต้น
  • ดื่มน้ำสะอาดวันละ 8 แก้ว
    การดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ  ไม่เพียงช่วยให้ร่างกายสดชื่นขึ้นหลังจากการโดนแดดเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยบำรุงผิวหนังชั้นลึกได้ด้วย ทั้งยังเป็นการปกป้องไม่ให้ผิวขาดน้ำ หรือแห้งกร้านได้อีกด้วย

ใครๆก็ปรารถนาผิวที่สดใส ไม่มีฝ้า กระ จุดด่างดำกวนใจ ยิ่งเมืองไทยเป็นเมืองร้อน การรู้จักปกป้องผิว เป็นการช่วยแก้ปัญหาแต่ต้นเหตุ และหนึ่งในวิธีการดูแลผิว เมื่อต้องเผชิญกับแสงแดดคือ การทาครีมกันแดด ที่มีค่าการปกป้องที่เหมาะสมกับสีและสภาพผิวหนังที่แตกต่างกันของแต่ละคน โดยให้ทาในปริมาณที่เหมาะสมและทาซ้ำเพื่อการป้องกันที่เต็มประสิทธิภาพด้วยความมั่นใจ พร้อมเผยผิวกระจ่างใส หน้าไม่ไหม้ ไม่หมองคล้ำ บอกลาฝ้ากวนใจไปได้เลย