“ขาเบียด” ปัญหาที่มักมาพร้อมกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้นของหนุ่มสาวทุกยุคสมัย ที่ไม่เพียงทำลายความมั่นใจให้สูญหายไปเท่านั้น แต่ถ้าขาเบียดกันนานเข้า อาจทำให้เกิดแผลในจุดที่ขามีการเสียดสีกันบริเวณต้นขาด้านในได้ และอาจทำให้รู้สึกเจ็บ เดินไม่สะดวก ส่งผลต่อบุคลิกภาพไปกันอีกระดับ ในบทความนี้ เราจะมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับที่มาของอาการขาเบียด และเรียนรู้ถึงปัจจัยกระตุ้นต่างๆ เพื่อที่จะได้หาทางป้องกัน ทั้งยังเผยเคล็ดลับการลดต้นขาเพื่อลดอาการขาเบียดอีกด้วย
ขาเบียด คืออะไร?
“ขาเบียด” เป็นลักษณะของต้นขาที่มีขนาดใหญ่ เนื่องจากการสะสมของไขมันส่วนเกินรวมถึงเซลลูไลท์ที่บริเวณต้นขามากจนเกินไป จนไม่มีช่องว่างหรือระยะห่างระหว่างขาทั้งสองข้าง ทำให้ขาเกิดอาการแนบชิดติดกัน ส่งผลให้ผิวหนังบริเวณขาหนีบมีสีดำคล้ำขึ้น มีรอยแดงและอาจเกิดแผลได้ในบางรายที่ขาเสียดสีกันมากจนเกินไป ไม่เพียงเท่านั้นอาการขาเบียด ยังสามารถทำให้เกิดความอับชื้นในร่มผ้า เกิดปัญหาที่จุดซ่อนเร้นตามมาได้ด้วย นอกจากนั้น ไขมันที่สะสมอยู่ที่บริเวณต้นขา ยังสามารถพัฒนาให้กลายเป็นภาวะ Lipedema หรือภาวะบวมน้ำเหลือง ซึ่งเป็นภาวะที่ทำให้ไขมันกระจายออกไปตามส่วนต่าง ๆ มีความผิดปกติ จนสังเกตได้ชัดว่าบริเวณต้นแขน ต้นขา และสะโพก ดูบวมขึ้นนั่นเอง
เซลลูไลท์กับขาเบียด
เซลลูไลท์ (Cellulite) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “ผิวเปลือกส้ม” เป็นลักษณะอาการของเซลล์ไขมันที่เคลื่อนตัวสูงขึ้นมาสะสมอยู่ในชั้นใต้ผิวหนัง มีลักษณะขรุขระ เหมือนเปลือกส้มหรือผิวมะกรูด สามารถพบได้บ่อยทั้งบริเวณต้นขา สะโพก ต้นแขน และบริเวณหน้าท้อง โดยตัวเซลลูไลท์จะมีความแตกต่างจากไขมันธรรมดาที่สามารถกำจัดออกจากร่างกายได้ง่ายกว่า แต่เซลลูไลท์กำจัดได้ยาก ต้องอาศัยหลายวิธีและหลายปัจจัยร่วมด้วยช่วยกัน ทั้งการนวดผิวหนัง ร่วมกับการออกกำลังกายและควบคุมอาหาร
ขาเบียดเกิดจากอะไร
ปัญหาขาเบียดเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งปัจจัยภายในอย่างพันธุกรรม โรคอ้วน หรือจากลักษณะของการใช้ชีวิตในแต่ละวัน นอกจากนั้นยังมีพวกสิ่งเร้าหรือสิ่งกระตุ้น ซึ่งเกิดจากปัจจัยภายนอกได้อีกด้วย ซึ่งมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้
- เกิดจากพันธุกรรม
วิธีการสังเกตคือให้ดูพ่อแม่ ญาติพี่น้องว่ามีลักาณะโครงสร้างร่างกายแบบไหน ถ้าหากมีแนวโน้มเป็นคนลักษณะรูปร่างใหญ่ สะโพก ต้นขาใหญ่ คนรุ่นต่อมา ก็มีโอกาสสูงที่จะมีลักษณะรูปร่างเช่นนั้นด้วย รวมไปถึงโรคอ้วน ที่ในหลายกรณีเกี่ยวข้องกับลักษณะพันธุกรรม ที่มีบรรพบุรุษเป็นโรคอ้วน ลูกหลานก็เสี่ยงที่จะมีอาการเช่นนั้นด้วย - พฤติกรรมการรับประทานอาหาร
การรับประทานอาหารที่มากเกินพอดี มากเกินความจำเป็นของร่างกาย โดยเฉพาะอาหารจำพวก แป้ง น้ำตาลและอาหารที่มีไขมันทรานส์สูง เช่น ของทอด ของมัน ขนมขบเคี้ยวต่างๆ ทำให้เกิดอาการขาเบียดได้ เนื่องจากอาหารประเภทนี้ มักทำให้เกิดการสะสมของไขมันตามจุดต่างๆของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณต้นขา นานวันเข้าก็จะทำให้ขาเบียด เนื่องจากการพอกพูนของไขมันส่วนเกินที่มากเกินไป ไม่เพียงเท่านั้น การรับประทานอาหารอย่างไม่ระวังสามารถทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน หรือโรคอ้วนได้ - ดื่มน้ำน้อย
“น้ำ” นับเป็นองค์ประกอบหลักที่สำคัญของร่างกาย ไม่เพียงทำให้ระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆในร่างกายทำงานได้อย่างเป็นปกติเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบเผาผลาญได้อย่างดียอดเยี่ยมด้วย แต่ในทางกลับกัน ถ้าหากดื่มน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน ก็จะส่งผลกระทบต่อร่างกายโดยตรง โดยจะทำให้ระบบการทำงานของร่างกายขาดความสมดุล และทำให้ระบบการเผาผลาญบกพร่อง เมื่อร่างกายไม่สามารถเผาผลาญพลังงานได้ตามปกติ ก็จะทำให้เกิดการสะสมของไขมันบริเวณต้นขามากขึ้นจนกลายเป็นขาเบียดได้ - การนั่งไขว่ห้างเป็นเวลานาน
ไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหมคะ ว่าการนั่งไขว่ห้างเป็นเวลานานติดกันและทำอย่างสม่ำเสมอนั้น สามารถทำให้เกิดอาการขาเบียดได้ เนื่องจากจะทำให้เส้นเลือดในบริเวณต้นขาถูกกดทับเอาไว้ ส่งผลให้ระบบการไหลเวียนของเลือดเกิดการติดขัด จนทำให้เกิดการสะสมของไขมันบริเวณต้นขาได้ - ไม่ออกกำลังกาย
การออกกำลังกาย ดูเหมือนเป็นปัญหาใหญ่ของใครหลายคน เนื่องด้วยสภาพสังคมที่ทำให้เอื้อต่อการนั่งอยู่กับที่ นั่งอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ทำให้มีการขยับของร่างกายได้น้อยลง ร่างกายไม่ได้ใช้พลังงาน อาหารที่รับประทานเข้าไป ไม่ได้ถูกเผาผลาญ ทำให้เกิดการสะสมของไขมันที่บริเวณต้นขาได้โดยง่าย ถึงแม้จะไม่ได้รับประทานอาหารที่มีไขมันมากก็ตาม - การดื่มแอลกอฮอล์
การดื่มแอลกอฮอล์ จะส่งผลให้เซลล์มีการสูญเสียน้ำ ทำให้กระบวนการกำจัดของเสียออกจากร่างกายทำงานได้ไม่ดีนัก นอกจากนั้นแอลกอฮอล์ยังมีฤทธิ์ในการทำร้ายเซลล์ตับ ทำให้ตับไม่มีประสิทธิภาพในการกำจัดสารพิษได้ดีพอ จนเกิดการสะสมอยู่ในร่างกาย และกลายเป็นเซลลูไลท์เจ้าปัญหาที่เกาะอยู่ตามจุดต่างๆได้ - การสูบบุหรี่
การสูบบุหรี่มีแนวโน้มที่ทำให้เกิดการจับตัวของไขมันในร่างกายจนเกิดเป็นเซลลุไลท์ได้โดยง่าย เนื่องจากสารนิโคตินที่อยู่ในบุหรี่ จะเข้าไปอุดตันในเส้นเลือดใหญ่ ทำให้เส้นเลือดฝอยหดตัวลง นอกจากนั้นยังทำให้สารก่อมะเร็งต่างๆที่อยู่ในบุหรี่เข้าไปทำร้ายเซลล์ผิว ทำให้เกิดคลื่นเซลลูไลท์ได้โดยง่าย - ความไม่สมดุลของระบบฮอร์โมนในร่างกาย
โดยปกติฮอร์โมนเอสโตรเจนจะเป็นตัวกระตุ้นไขมันในร่างกาย และผู้หญิงจะมีฮอร์โมนเอสโตรเจนมากกว่าผู้ชาย ทำให้มีไขมันมากกว่าผู้ชาย ในขณะที่ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะเป็นตัวที่ทำลายระบบการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลืองให้เสียไป ทำให้เกิดการสะสมของสารพิษและยังทำลายโครงสร้างผิวหนังให้เกิดความหย่อนคล้อย สูญเสียความยืดหยุ่น จึงทำให้ผิวเป็นก้อน ไม่เรียบเนียน - ความบกพร่องของระบบขับถ่ายของเสีย
ถ้าหากระบบการขับถ่ายของเสียในร่างกาย ทำงานได้ไม่ดีหรือไม่เต็มประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นตับ ไตหรือระบบการไหลเวียนของเลือดผิดปกติ ของเสียที่สะสมเอาไว้ในร่างกายนานวันเข้าจะค่อยๆก่อตัวเป็นเซลลูไลท์หรือไขมันขึ้นได้
ขาเบียดแก้ไขได้อย่างไรบ้าง?
ในปัจจุบันมีวิธีการมากมายที่ช่วยในการแก้ปัญหาขาเบียด ที่ช่วยลดการสะสมของไขมันและเซลลูไลท์ที่บริเวณขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ที่ทำให้สามารถรักษาได้อย่างตรงจุดมากขึ้น ดังต่อไปนี้
- สลายไขมันต้นขาโดยการใช้ความเย็น (Coolsculpting)
วิธีสลายไขมันต้นขาโดยการใช้ความเย็น(Coolsculpting) ลดขาเบียด เป็นการใช้เทคโนโลยีสลายไขมันเฉพาะจุดด้วยความเย็น โดยมีหลักการทำงานคือ จะใช้หัวดูดปล่อยความเย็นที่มีอุณหภูมิ -11°C เข้าไปแช่แข็งเซลล์ไขมันที่ถูกดูดขึ้นมาประมาณ 35 นาที จากนั้นจะนวดเพื่อให้เซลล์ไขมันตายและมีการลดจำนวนลงอย่างถาวร ก่อนที่จะถูกขับออกไปตามธรรมชาติ วิธีการสลายไขมันต้นขาโดยการใช้ความเย็นนี้ จะทำให้เซลล์ไขมันบริเวณนั้นๆลดลงได้ถึง20-30% ต่อการทำ 1 ครั้งและจะสังเกตเห็นว่าต้นขามีสัดส่วนที่เล็กลง ทำให้ขาเบียดกันน้อยลง ช่องว่างระหว่างขาทั้งสองข้างมีมากขึ้น จะเห็นผลได้อย่างเต็มที่หลังทำประมาณ 3 เดือน ช่วยลดไขมันได้อย่างถาวร ไม่เป็นอันตรายต่อผิวชั้นนอก เป็นวิธีการที่เหมาะกับคนที่มีค่า BMI<35 ที่ต้องการสลายไขมันในปริมาณปานกลาง และไม่ต้องการเสี่ยงกับการผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการดูดไขมันต้นขา - เมโสแฟตต้นขา
เมโสแฟตต้นขา เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยลดขาเบียด ที่ไม่เพียงนิยมใช้ลดเหนียงหรือแก้มเท่านั้น แต่ยังสามารถนำมาฉีดเพื่อลดต้นขาได้ด้วย วิธีการคือ จะฉีดตัวยาเมโสที่มีคุณสมบัติในการสบายไขมันเข้าสู่ชั้นผิว ที่จะออกฤทธิ์กระตุ้นระบบการทำงานของ metabolism ทำให้ไขมันแตกตัวหรือสลายตัว แล้วหลังจากนั้นจะถูกขับออกทางระบบการขับถ่ายธรรมชาติของร่างกาย ในรูปแบบของเหงื่อ อุจจาะ และปัสสาวะ ไม่เพียงเท่านั้น เมโสแฟตต้นขา ยังสามารถดึงไขมันส่วนเกินในร่างกายมาใช้เป็นพลังงานได้ด้วย ส่งผลให้ปริมาณไขมันที่ต้นขาลดลง ทำให้ขาเล็กลง ไม่เบียดกัน มีความกระชับมากขึ้น ทั้งยังไม่ทำให้ผิวหย่อนคล้อยด้วย ซึ่งจะเห็นผลชัดเจนประมาณ 1-3 สัปดาห์ และผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 2-3 เดือน ในกรณีที่ลูกค้ามีไขมันในปริมาณที่มาก อาจจะต้องฉีดซ้ำประมาณ 4-5 ครั้ง จึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้น นอกจากนั้นยังสามารรถใช้วิธีการฉีดเมโสแฟตลดขาเบียดร่วมกับหัตถการอื่นๆได้ด้วย เช่นการสลายไขมันโดยการใช้ความเย็น เพื่อช่วยกระตุ้นให้เซลล์ไขมันลดจำนวนลงได้อย่างถาวร เป็นต้น - ยกกระชับต้นขาด้วย Thermage FLX
วิธี Thermage FLX เป็นการใช้พลังงานความร้อนจากคลื่นวิทยุ (Monopolar RF) ยิงลงสู่ชั้นผิวได้ลึกถึงชั้นผิวหนังแท้รวมถึงชั้นไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนัง มีประสิทธิภาพในการช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ทั้งยังสามารถช่วยสลายไขมันส่วนเกินตามจุดต่างๆของร่างกายได้ดี เช่นใบหน้า ลำตัว หน้าท้อง หรือต้นขา เป็นวิธีที่เหมาะกับคนที่มีปริมาณไขมันสะสมไม่มากแต่มีผิวหนังส่วนเกินในชั้นบนมาก ผิวย้วย ไม่กระชับ การทำ Thermage FLX จะช่วยให้ผิวที่ต้นขาด้านในมีความกระชับขึ้น ช่วยลดอาการขาเบียดได้ นอกจากนั้นพลังงานความร้อนจากคลื่นวิทยุ ยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตได้ ทำให้ร่างกายสามารกำจัดไขมันส่วนเกินออกไปได้ดีขึ้นด้วย
- การดูดไขมันต้นขา
การดูดไขมันต้นขา (Liposuction) เป็นหัตถการทางการแพทย์ที่อยู่ในข่ายของการศัลยกรรมรูปแบบหนึ่ง โดยแพทย์จะกรีดแผลที่ต้นขาด้านใน ที่มีขนาด 3 mm. เข้าไปตามจุดที่จะดูดบริเวณละ 1-2 จุด เพื่อที่จะสามารถสอดท่อที่ใช้ดูดไขมัน จากนั้นจะใช้เครื่องดูดไขมันที่มีระดับของพลังงานที่แตกต่างกัน โดยเป็นคลื่นความถี่วิทยุ (Radio Frequency Assisted Liposuction) ที่จะเข้าไปเพื่อกระตุ้นให้ก้อนไขมันในชั้นผิวเกิดการแตกตัวเป็นโมเลกุลที่มีขนาดเล็ก หลังจากนั้นเริ่มทำการดูไขมันที่ต้นขาด้านใน ต้นขาด้านหน้า และด้านหลังออกมา การดูดไขมันต้นขา (Liposuction) เป็นวิธีที่เหมาะกับคนที่มีปริมาณไขมันมากๆ(มีค่า BMI > 35) หลังทำอาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้น เช่น มีอาการปวดหรือบวมช้ำ จะต้องใช้เวลาในการพักฟื้นนานกว่า 1 เดือน สิ่งสำคัญ เพื่อความปลอดภัย ควรเลือกดูดไขมันกับแพทย์ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการทำหัตถการดังกล่าว ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้เกิดรอยแผลเป็น ผิวหนังเป็นคลื่น มีการอักเสบติดเชื้อจนถึงขั้นเสียชีวิตตามที่เป็นข่าวมากมายที่ปรากฏอยู่ในสื่อ - การผ่าตัดยกกระชับต้นขา
การผ่าตัดเพื่อช่วยในการยกกระชับต้นขา และลดขาเบียด เป็นลักษณะของการผ่าตัดเพื่อนำเนื้อที่หย่อนยานและไขมันที่สะสมที่บริเวณต้นขาด้านในออกมา ในวิธีการนี้เป็นหัตถการที่ต้องมีการดมยาสลบ เหมาะกับคนที่มีปริมาณการสะสมของไขมันเป็นจำนวนมาก แต่หลังจากที่ผ่าตัดแล้วจะช่วยให้ต้นขากระชับขึ้นและมีสัดส่วนที่ดีขึ้น ซึ่งอาจจะต้องมีการพักฟื้นเป็นเวลานาน ต้องทำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและคลินิกที่ได้มาตรฐานเท่านั้น เนื่องจากจะต้องมีการเย็บแผลที่บริเวณขาหนีบ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดรอยแผลเป็นแบบถาวรขึ้นได้ และในการผ่าตัดลดขาเบียดนี้ ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นแผลคีลอยด์ได้ง่าย - ใช้เจลร้อน
เจลร้อน เป็นหนึ่งวิธีที่ถูกนำมาใช้สำหรับการลดสัดส่วน โดยส่วนใหญ่จะประกอบด้วยสารสกัดที่ช่วยเร่งให้เกิดการเผาผลาญ เช่น สารสกัดจากพริก, คาเฟอีน, แคปซาซิน ส้มแขก ไคโตซาน และโกโก้ ทำให้เกิดความร้อนลงสู่ชั้นใต้ผิว วิธีการคือ ให้ใช้เจลร้อนนั้นนวดคลึงที่ต้นขาไปเรื่อยๆอย่างน้อย 20-30 นาทีต่อวัน เพื่อให้ไขมันเกิดการแตกตัว วิธีการเช่นนี้ สามารถช่วยให้เซลลูไลท์ที่ต้นขาลดลง ทั้งยังช่วยให้ต้นขาเล็กลงได้ แต่จะต้องทำอย่างต่อเนื่องจึงจะเห็นผลชัดเจน - การนวดขาเรียว
การนวดต้นขาไม่เพียงแค่ช่วยให้เกิดการผ่อนคลายและลดความตึงของกล้ามเนื้อเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ทำให้ไขมันส่วนเกินที่บริเวณต้นขาแตกตัว มีขนาดที่เล็กลง และมีการขับของเสียเหล่านั้นออกมาทางน้ำเหลืองได้ง่ายขึ้น วิธีการนวดที่ถูกต้องคือ ให้ใช้มือโกยเนื้อต้นขาด้านนอกและด้านในขึ้นเป็นวงกลมถี่ๆ ในทิศทางเข้าหาต่อมน้ำเหลือง ข้างละ 20 ครั้งจากนั้นใช้มือทั้งสองข้างบิดเนื้อต้นขาในทิศทางตรงกันข้ามกันเหมือนเวลาบิดผ้า ข้างละ 30 ครั้ง ทำต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน ไม่เพียงแต่ช่วยลดไขมันที่ต้นขา แต่ยังทำให้ขาเรียวขึ้น ช่วยลดขาเบียดได้ - วิธี Carboxy Therapy
Carboxy Therapy เป็นการใช้เข็มที่มีขนาดเล็กแทงผ่านผิวหนังลงไป จากนั้นให้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ให้กระจายตัวเข้าไปในเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังบริเวณต้นขา เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เส้นเลือดในบริเวณนั้นเกิดการขยายตัว ทำให้เลือดมีการไหลเวียนไปเลี้ยงต้นขาได้ดีขึ้น ทำให้ต้นขาได้รับปริมาณออกซิเจนที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดการคั่งของของเหลวระหว่างเซลล์ในส่วนนั้นๆ ทำให้เซลล์ไขมันเกิดการสลายตัวลดลง ส่งผลให้เนื้อเยื่อผิวหนังมีความกระชับเต่งตึงขึ้น ทำให้ขาดูเรียวขึ้น ช่วยลดอาการขาเบียดได้ แต่จะต้องทำอย่างต่อเนื่อง 15-20 ครั้งขึ้นไป และทำทุก1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ - การฉีดขาเรียว (Lipo Dissolve)
การฉีดขาเรียว (Lipo Dissolve) หรือ LLD (Lipolytic Lymphatic Drainage) เป็นลักษณะวิธีการของการสลายเซลล์ไขมัน โดยตัวยาจะออกฤทธิ์ในการทำลายเซลล์ไขมันในเนื้อเยื่อชั้นไขมันให้เกิดการแตกตัว พร้อมทั้งช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของระบบน้ำเหลืองที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนังให้สามารถทำงานได้ดีขึ้น ดังนั้นจึงมีประสิทธิภาพช่วยกำจัดไขมันในบริเวณต้นขาได้อย่างรวดเร็ว มีความปลอดภัยสูง เห็นผลได้ชัดเจนภายใน 2-4 สัปดาห์ โดยที่ไม่ทำให้เกิดอาการบวม - วิธี Z Lipo & Z Wave
Z Lipo & Z Wave เป็นการผสาน 2 เทคนิคในการลดไขมันเฉพาะจุดเข้าด้วยกัน โดยใช้ระดับความเย็น -5°C ถึง -10°C ควบคู่กับการสั่นสะเทือนใต้ชั้นผิว ในส่วนของ Z Lipo จะทำหน้าที่ในการดูดไขมันในบริเวณที่ต้องการขึ้นมา แล้วทำให้เกิดการสั่นสะเทือน เพื่อให้เซลล์ไขมันเกิดการแตกตัวเป็นโมเลกุลเล็กๆให้สามารถกำจัดออกไปจากร่างกายได้ง่ายขึ้น แล้วหลังจากนั้น จึงปล่อยคลื่นความเย็นเพื่อไปแช่แข็งเซลล์ไขมันที่ตายแล้ว ส่วน Z Wave จะทำหน้าที่ส่งคลื่นความถี่เข้าไปที่ชั้นไขมัน เพื่อให้ระบบน้ำเหลืองลำเลียงไขมันส่วนเกินให้ออกจากร่างกายได้ง่ายขึ้น วิธีการเช่นนี้ จะส่งผลให้ไขมันที่จับตัวกันเป็นก้อนและเซลลูไลท์ที่เกาะอยู่ในชั้นไขมันบริเวณต้นขาลดลง ทำให้ขาเล็กลง เบียดกันน้อยลง อาจจะมีผลข้างเคียงหลังทำ คือมีรอยแดงหรือรอยช้ำบ้างเล็กน้อย เป็นวิธีการที่เรียกได้ว่ามีความปลอดภัย โดยไม่ส่งผลข้างเคียงในระยะยาวให้กับผิว - การฉีดโบท็อกลดต้นขา
การฉีดโบท็อกลดต้นขา เป็นการใช้สาร Botulinum toxin ฉีดเข้าไปยังกล้ามเนื้อบริเวณต้นขา โดยโบท็อกจะมีสารที่ช่วยคลายกล้ามเนื้อทั้งเล็กและใหญ่ให้เล็กลงชั่วคราว เป็นวิธีที่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาต้นขาใหญ่จากกล้ามเนื้อเท่านั้น เนื่องจากว่าสารโบท็อกจะไม่สามารถกำจัดในส่วนที่เป็นไขมันได้ หลังฉีดจะเห็นผลลัพธ์ภายใน 7-14 วัน แต่จะเห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจนใน1 เดือน และผลลัพธ์ดังกล่าวจะอยู่ได้นาน 4-6 เดือน และจะต้องกลับมาฉีดซ้ำใหม่ - การใส่สายรัดขาเรียว
สายรัดขาเรียว มีลักษณะคล้ายปลอกขาที่ช่วยป้องกันการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อสำหรับออกกำลังกาย แต่มีความยืดหยุ่นมากกว่า มักใส่สายรัดต้นขาก่อนเข้านอนหรือในระหว่างวัน เพื่อช่วยเก็บต้นขาที่หย่อนคล้อยให้ดูกระชับมากขึ้น เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน จะต้องใส่เป็นประจำและต่อเนื่องจึงจะเห็นผล
ทำไมต้องแก้ปัญหาขาเบียดด้วย bodycare solutions by mesoestetic
เพื่อลดปัญหาขาเบียด ต้นขาใหญ่ mesoestetic ได้คิดต้นและพัฒนา bodycare solutions ผลิตภัณฑ์ดูแลรูปร่างและผิวพรรณ ช่วยแก้ปัญหาไขมันส่วนเกิน ปัญหาเซลลูไลท์ รวมถึงผิวขาดความยืดหยุ่น รอยแตกลาย ได้อย่างตรงจุด โดยมีผลิตภัณฑ์ในเซ็ททั้งหมด 4 ผลิตภัณฑ์ด้วยกัน คือ
- Bodyshock intensive mist
เป็นสเปรย์เข้มข้น ที่ช่วยสลายไขมันเนื้อ biphasic โดยแยกเป็นสองส่วน ช่วยในการสลายไขมัน ลดการสะสมของไขมันเฉพาะจุด โดยเฉพาะจุดที่กำจัดออกได้ยาก โดยเนื้อสเปรย์มีความบางเบา เมื่อนวดแล้วจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นน้ำมันและซึมซาบลงสู่ผิวอย่างรวดเร็ว สามารถใช้ก่อนออกกำลังกาย เพื่อเพิ่มผลลัพธ์ของการออกกำลังกายให้ดีมากขึ้น โดยมีส่วนประกอบที่สำคัญคือ - L-Canitine ที่ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญไขมัน ทั้งยังช่วยสลายและลดการสะสมไขมันตามส่วนต่างๆของร่างกายได้ดีอีกด้วย
- Caffeine ช่วยส่งเสริมกระบวนการเผาผลาญไขมัน
- (meso) adipoactive complex ช่วยสลายไขมันอย่างได้ผล ลดการสะสมไขมัน ลดการเกิดเซลลูไลท์ ทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญเซลล์ไขมันอย่างได้ผล โดยการทำงานร่วมกันของ glycerophosphocholine lysine และ valine เพื่อช่วยกระตุ้นกระบวนการเมทาบอลิซึ่มของร่างกาย
- Sylbum marium extract เป็นสารสกัดจากพืชธรรมชาติ ที่ช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการอักเสบ
- Arnica extract เป็นสารสกัดจากดอกอาร์นิก้า ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับผนังหลอดเลือด ช่วยป้องกันอาการบวม
- Bodyshock celluxpert
เป็นเจลครีมนวดเซลลูไลท์ ที่ช่วยป้องกันและลบเลือนผิวเปลือกส้ม ด้วยการกระตุ้นการกำจัดของเสีย ช่วยสลายไขมัน ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทั้งยังช่วยให้ผิวกระชับขึ้นด้วย โดยมีส่วนผสมของสารสกัดเกรดพรีเมี่ยม ดังนี้ - L-Carnitine ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญไขมัน ช่วยสลายและลดการสะสมไขมันตามส่วนต่างๆของร่างกาย ลดการเกิดเซลลูไลท์
- Caffeine ช่วยส่งเสริมกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย
- Arnica extract เป็นสารสกัดจากดอกอาร์นิก้า ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับผนังหลอดเลือด ช่วยป้องกันอาการบวมอักเสบ
- brassicaalbaและCapsaicin สารสกัดจากดอกเบราซิกา ที่อุดมไปด้วยกรดอะมิโน ช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญ และแคปไซซิน ซึ่งเป็นสารสกัดที่ได้จากพริกแดง ช่วยเพิ่มอุณหภูมิในร่างกาย ช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันส่วนเกิน
- Organicsilicon ช่วยในการสร้างคอลลาเจน และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ช่วยให้โครงสร้างของผิวแข็งแรงมากขึ้น มีความเรียบเนียน พร้อมทั้งช่วยป้องกันการเกิดเซลลูไลท์
- Bodyshock firm’ up
เป็นครีมกระชับสัดส่วน สำหรับบริเวณของผิวที่มีความหย่อนคล้อย สูญเสียความยืดหยุ่น ช่วยทำให้ผิวกระชับและมีความ เต่งตึงมากยิ่งขึ้น โดยมีส่วนประกอบสำคัญ ดังต่อไปนี้
- Firmactivecomplex ประกอบด้วยคาเฟอนีและแอลคาร์ทินี ซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยไลโปโซม ช่วยให้สารซึมผ่านผิวชั้นนอกได้ดี ทำให้ผิวหน้าท้อง และขากระชับขึ้นได้
- Kigelia Africana เป็นสารสกัดจากผลไม้แอฟริกา มีสารซาโปนิน(Steroidal Saponins)และสารฟลาโวนอยด์ ลูทิโอนินและควอซิทิน(Luteolin and Quercetin) ช่วยทำให้เส้นใยคอลลาเจนใต้ผิวมีความแข็งแรงมากขึ้น มีความยืดหยุ่นและช่วยให้ผิวกระชับ
- CentellaAsiatica ช่วยฟื้นบำรุงและให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ทำให้ผิวรู้สึกกระชับ
- กรดอะมิโนและโปรตีนจากพืช (serine, arginine, proline, hydrolyzed soy protein & wheat protein) ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ช่วยส่งเสริมการสังเคราะห์องค์ประกอบในการสร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน คอลลาเจน อีลาสติน เพื่อปรับปรุงโครงสร้างค้ำจุนผิว ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น แข็งแรงและมีความกระชับมากขึ้น
- Bodyshock essential cream
เป็นมอย์เจอร์ไรเซอร์ที่ช่วยป้องกันและลดรอยแตกลาย เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ทำให้ผิวรู้สึกสดชื่น เนียนนุ่มในทันที โดยมีส่วนผสมดังต่อไปนี้
- L-Carnitine ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญของไขมัน ช่วยลดการสะสมของไขมันตามส่วนต่างๆของร่างกาย ทั้งยังช่วยลดการเกิดเซลลูไลท์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- สารสกัดจากพืช Astragus root extract & Codonopsis pilosula ช่วยเสริมประสิทธิภาพในการฟื้นฟูคอลลาเจนและอีลาสตินในร่างกาย ทำให้โครงสร้างของผิวแข็งแรงและมีความกระชับมากขึ้น ป้องกันการเกิดรอยแตกลาย ทั้งยังช่วยให้รอยแตกลายที่เกิดขึ้นแล้วจางลงได้
- น้ำมันสกัดจากเมล็ดทานตะวัน อาร์แกนออยล์ เมล็ดMeadowfoam ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนมูลอิสระ ปกป้องและบำรุงผิวให้แข็งแรงและเนียนนุ่มมากขึ้น
- เชียบัตเตอร์ (Shea Butter) เป็นไขมันธรรมชาติที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
- CentellaAsiatica ช่วยฟื้นบำรุงและให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ส่งเสริมการสร้างคอลลาเจน
เลือกคลินิกสลายไขมันที่ต้นขาอย่างไรดี?
ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีเทคนิควิธีการมากมาย ที่ถูกคิดค้นและพัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยลดปัญหาขาเบียด และแน่นอนว่าในการเลือกใช้บริการสถานเสริมความงามหรือคลิกนิกต่างๆจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก เพราะถ้าหากทำผิดวิธีหรือไม่มีความสะอาด แพทย์ไม่เชี่ยวชาญหรือทำกับหมอเถื่อน ไม่เพียงผลลัพธ์ไม่ชัดเจนเท่านั้น แต่อาจส่งผลร้ายถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้นควรเลือกสถานเสริมความงามที่มีคุณสมบัติต่อไปนี้
- เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองของกระทรวงสาธารณสุข และมีเลขที่ใบอนุญาต 13 หลัก แจ้งติดป้ายเอาไว้ให้เห็นอย่างชัดเจน
- เลือกคลินิกที่มีแพทย์ประจำอยู่ด้วย เพื่อที่แพทย์จะได้ประเมินสภาพปัญหา พร้อมแนะนำวิธีการรักษาที่ตรงจุด ซึ่งแน่นอนว่าวิธีการสลายไขมันต้นขามีหลากหลายวิธี แต่ทั้งนี้ ผู้ที่เข้ารับบริการควรปรึกษาแพทย์เพื่อจะได้รักษาได้อย่างเหมาะสม เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน และในบางรายอาจจะเป็นไปได้ว่าจะต้องใช้การรักษามากกว่า 1 วิธี
- มีเครื่องมือที่ทันสมัย ไม่เก่าจนเกินไป โดยเฉพาะในส่วนของเครื่องที่ต้องใช้พลังงานความร้อนในการรักษา ถ้าใช้เครื่องที่ไม่ได้มาตรฐาน ราคาถูกเกินไป หรือเครื่องเก่าเกินไป อาจทำให้ประสิทธิภาพในการปล่อยพลังงานคลื่น แสงต่างๆน้อยลง ทำให้เห็นผลได้ไม่ชัดเจนเท่าที่ควร
- มีความน่าเชื่อถือ ทั้งในส่วนของการรีวิวจากลูกค้าที่เข้ามารับบริการจริงและในส่วนของพนักงานที่ให้บริการ ต้องมีความเป็นมืออาชีพ สามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และมีความชัดเจนให้กับลูกค้าได้
- มีการเปิดเผยข้อมูลของตัวยา สารต่างๆที่ใช้ รวมถึงเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ โดยไม่ปิดบัง และให้บริการข้อมูลต่างๆอย่างตรงไปตรงมา
- มีการแจ้งราคาคอร์สต่างๆหรือโปรโมชั่นต่างๆอย่างชัดเจน โดยเน้นที่ประสิทธิภาพและผลลัพธ์ในการรักษามากกว่าเน้นการขายคอร์สที่เกินความจำเป็น
- มีการติดตามผลการรักษาที่เป็นระบบ พร้อมให้คำแนะนำที่เหมาะสมกรณีที่เกิดปัญหา
- มีช่องทางการติดต่อที่สะดวก และมีการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
ข้อควรรู้ก่อนลดต้นขา แก้ปัญหาขาเบียด
ก่อนที่จะลดต้นขา เพื่อแก้ปัญหาขาเบียด มีข้อควรรู้และต้องทำความเข้าใจก่อน ในเรื่องต่างๆดังต่อไปนี้
- ก่อนลดต้นขา ต้องรู้สาเหตุว่าเกิดจากอะไร
ก่อนเริ่มลดต้นขา ไม่ว่าจะเป็นการลดปริมาณอาหารบางชนิด การออกกำลังกาย หรือการทำหัตถการต่างๆ ควรหาสาเหตุให้พบว่า ปัญหาขาใหญ่ ขาเบียดที่เกิดขึ้นนั้น มีสาเหตุมาจากอะไร ซึ่งการที่ขาใหญ่ ขาเบียด มักเกิดจาก 2 ลักษณะคือ - ขาใหญ่ ที่เกิดจากการสะสมของไขมันมากเกินไป
- ขาใหญ่จากกล้ามเนื้อ
วิธีสังเกตง่ายๆคือให้นั่งเหยียดขาออก แล้วใช้มือบีบที่บริเวณต้นขาและดึงผิวหนังให้ยืดออก ถ้าหากว่าผิวมีการยืดออกได้มาก แสดงว่าต้นขาของคุณใหญ่ขึ้นเพราะมีการสะสมของไขมันและเซลลูไลท์มากกว่าปกตินั้นเอง
- เรียนรู้การกินที่ถูกต้องเพื่อช่วยลดต้นขา
ก่อนอื่น ต้องทราบว่าอาหารประเภทไหน ที่กระตุ้นให้มีการสะสมของไขมันตามผิวหนังรวมถึงต้นขา อย่างเช่นของทอด น้ำอัดลม ขนมขบเคี้ยวต่างๆ ที่อุดมไปด้วยแป้งและไขมัน ก็ให้ลดปริมาณการรับประทานอาหารประเภทนั้น แล้วเรียนรู้ที่จะรับประทานอาหารที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายอย่างแท้จริง
อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจ คือความเข้าใจที่ว่าการอดอาหารช่วยลดต้นขาได้ เนื่องจากหลายคนเชื่อว่า การอดอาหารทำให้ผอมลงได้อย่างรวดเร็วในระยะเวลาที่สั้น ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น เพราะถ้าไม่ทานอาหารก็จะไม่อ้วน นี่เป็นความเข้าใจผิดที่ต้องได้รับการแก้ไข เนื่องจากว่าร่างกายของคนเราถูกสร้างให้ต้องการสารอาหารเพื่อการเจริญเติบโตของร่างกายและเพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์เนื้อเยื่อต่างๆ ดังนั้น ถ้าหากอดอาหารจะส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม ทำให้ขาดสารอาหาร ผิวไม่สดใส ซีด เนื่องจากร่างกายต้องการพลังงานจากสารอาหารเพื่อนำไปใช้งาน แถมยังส่งผลกระทบต่ออารมณ์ เช่น อารมณ์เสียง่าย หงุดหงิดบ่อย และมีความคิดที่ช้าลงได้อีกด้วย ที่สำคัญ การอดอาหาร จะทำให้ร่างกายมีความโหยมากขึ้น ถ้าได้กินก็จะกินแบบไม่ยั้ง ไม่เพียงเท่านั้น การอดอาหารยังสามารถทำให้ระบบการเผาผลาญของร่างกายทำงานผิดปกติได้ด้วยเช่นกัน
ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องอดอาหาร เพื่อช่วยให้ปัญหาขาใหญ่ ขาเบียดลดลง เพียงแต่ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการกินให้มีความถูกต้องและเหมาะสม โดยที่ร่างกายยังได้รับประโยชน์จากสารอาหารครบถ้วน ลดการสะสมของไขมัน ทั้งยังสามารถช่วยให้ต้นขากระชับขึ้น ดังนี้
- เลี่ยงอาหารรสจัด
เนื่องจากอาหารที่มีรสชาติจัดจ้าน สามารถทำให้เกิดการสะสมของไขมันขึ้นมาได้ เพราะการปรุงอาหารที่มีรสจัดนั้น มักมีส่วนผสมของเครื่องปรุงที่ให้ความเค็มอย่างเกลือหรือน้ำปลา ที่สามารถทำให้ปริมาณโซเดียมในร่างกายเพิ่มสูงขึ้นได้ และทำให้ร่างกายเกิดการสะสมไขมันเพื่อเอาไว้ใช้มากขึ้นด้วย - เลือกรับประทานอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง เพื่อช่วยปรับสมดุลน้ำในร่างกาย ทั้งยังปราศจากไขมัน ไม่ว่าจะเป็นอาหารประเภท โยเกิร์ต ผลไม้รสเปรี้ยว กล้วย มันฝรั่ง แคนตาลูป มะเขือเทศ ผักใบเขียวทุกชนิด
- เลี่ยงอาหารที่มีรสหวาน
ไม่ได้หมายความว่าทานไม่ได้ แต่ให้รับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ โดยเฉพาะอาหารประเภท เค้ก น้ำอัดลม หรือช็อกโกแลต เป็นต้น - เริ่มต้นออกกำลังกาย
การออกกำลังกาย เป็นการทำงานร่วมกันของกล้ามเนื้อหลายส่วนที่เชื่อมโยงกัน ส่งผลให้กล้ามเนื้อในส่วนต่างๆของร่างกายมีความแข็งแรงและกระชับมากขึ้น รวมถึงต้นขาด้วย โดยมีวิธีออกกำลังกายที่หลากหลายให้เลือก ดังนี้ - การวิ่ง
เป็นประเภทการออกกำลังกายที่ตอบโจทย์ ในกรณีที่อยากจะลดไขมันที่ต้นขาแต่กล้ามเนื้อขาไม่มาก ที่นอกจากไขมันที่ต้นขาลดลงแล้ว ยังสามารถช่วยให้กล้ามเนื้อในส่วนอื่นกระชับขึ้นด้วย - Sumo Squat
Sumo Squat สามารถทำได้โดยการยืนตรง กางขาออกให้กว้าง กว่าหัวไหล่เล็กน้อย หลังจากนั้นให้เหยียดแขนไปด้านหน้าและย่อเข่าลงเหมือนกำลังจะนั่งลงบนเก้าอี้ ทำ 3 ครั้ง ครั้งละ 10-15 นาที การออกกำลังกายด้วยวิธีนี้ จะช่วยให้ต้นขา น่อง สะโพก และลำตัว แข็งแรงและกระชับมากขึ้น - ท่า Lungs
ท่า Lungs ทำได้โดย ให้ยืนตรง แล้วกางขาออกเท่าประมาณหัวไหล่ ก้าวเท้าข้างหนึ่งออกไปข้างหน้า พร้อมย่อตัวลงให้หัวเข่าทำมุมที่ 90 องศา ค้างเอาไว้สักพัก แล้วนำเท้ากลับที่เดิม ให้ทำสลับข้างกันไป - Leteral lunges
Leteral lunges มีวิธีการคือ ให้เริ่มด้วยการยืนตรง แยกขาออกจากกันประมาณช่วงหัวไหล่ จากนั้นให้ก้าวขาข้างขวาออกไปข้างลำตัวแล้วย่อลง ให้ขาซ้ายเหยียดตรงแล้วค้างไว้ ยืดตัวขึ้นนำขาขวากลับเข้าที่ ให้ทำสลับกันไปซ้ายขวา การออกกำลังกายท่านี้จะช่วยยกกระชับต้นขาด้านในได้เป็นอย่างดี - Side-Lying Leg Lift
Side-Lying Leg Lift สามารถทำได้โดย เริ่มต้นที่การนอนตะแคง เท้าแขนหนุนศีรษะ เหยียดขาออกวางซ้อนกัน หลังจากนั้นให้หายใจเข้า แล้วยกขาบนขึ้น หายใจออก เอาขาบนลงไว้ที่เดิม ให้ทำประมาณรอบละ 10-12 ครั้ง แล้วเปลี่ยนข้างสลับกันไป การออกกำลังกายเช่นนี้ จะช่วยทำให้ต้นขากระชับและแข็งแรงขึ้น - Leg Raise
ท่า Leg Raise สามารถทำได้โดยให้นอนราบกับพื้น แล้วยกขาทั้งสองข้างขึ้นพร้อมกัน ปลายเท้าชี้ขึ้นฟ้า ทำมุม 90 องศากับลำตัว ขณะที่ยกขาขึ้นลงแขนและหลังต้องแนบชิดกับพื้น ทำซ้ำประมาณ 10 ครั้ง ต่อ 1 เซ็ท การออกกำลังกายท่านี้ สามารถลดขาเบียดและลดพุงได้ด้วย - การออกกำลังกายแบบโยคะ
สำหรับใครที่ไม่ชอบออกกำลังกายแบบหนักๆ การออกกำลังกายแบบโยคะในท่าต่างๆก็สามารถช่วยได้ ทั้งในส่วนของต้นขา ต้นแขน ลำตัว กระชับและยืดหยุ่นได้ดีขึ้น โดยให้ทำต่อเนื่องวันละครึ่งชั่วโมงถึง 1 ชั่วโมง นอกจากสุขภาพดีแล้ว ยังสามารถคลายเครียดได้ด้วย
ป้องกันขาเบียด ขาใหญ่อย่างไรให้ได้ผล
แน่นอนว่า ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีมากมายที่ถูกนำมาใช้ในด้านหัตถกรรมความงาม เพื่อช่วยลดปัญหาความบกพร่องต่างๆที่เกิดขึ้น รวมถึงปัญหาต้นขาใหญ่ ขาเบียดจนทำให้ความคล่องตัวในการใช้ชีวิตลดลง แล้วจะมีวิธีการช่วยลดต้นขา ไม่ให้ขาเบียดกันได้อย่างไรบ้าง
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การออกกำลังกาย ไม่เพียงแต่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายมีความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า หรือสร้างความแข็งแรงให้กับเนื้อเยื่อหรืออวัยวะต่างๆของร่างกายโดยรวมเท่านั้น แต่ยังเป็นการช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญไขมันในร่างกายให้ดีขึ้นอีกด้วย เพราะเมื่อกระบวนการเผาผลาญในร่างกายดีขึ้น ก็จะส่งผลให้ปริมาณไขมันลดลง ช่วยลดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับต้นขาได้ วิธีการออกกำลังกายที่ผู้คนนิยมอยู่ตอนนี้เรียกว่า “HIIT” ซึ่งเป็นลักาณะการออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นสูง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้พลังงานให้หมด จากนั้นจะเป็นการดึงเอาไขมันที่สะสมในร่างกายมาใช้เผาผลาญเป็นพลังงานทดแทน ทำให้ไม่มีไขมันส่วนเกินสะสมที่ต้นขาและส่วนต่างๆของร่างกาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ควรทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ การออกกำลังกายในลักษณะนี้ จะใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที นอกจากนั้น ยังสามารถออกกำลังกายวิธีอื่นร่วมด้วย โดยเน้นเฉพาะส่วนของต้นขา เช่น การออกกำลังกายแบบคาดิโด, Squat, Sumo Squat, Lunges, Wall Sit Squat, Jumping Jacks, Squat Jumps, Leg raises เป็นต้น - ควบคุมการรับประทานอาหาร
วิธีการควบคุมการรับประทานอาหารที่ได้ผลดี คือการหลีกเลี่ยงอาหารประเภทของทอด ของมัน แป้งขัดสี และน้ำตาล โดยให้ควบคุมปริมาณแคลลอรี่ที่รับประทานเข้าไปในแต่ละวัน ให้อยู่ที่ประมาณ 250-500 กิโลแคลอรีต่อวัน แล้วหันมารับประทานโปรตีน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง และช่วยให้อิ่มนานขึ้น ลดการทานจุกจิกระหว่างวันได้ ซึ่งอาหารที่มีโปรตีนสูงได้แก่ ปลาแซลมอน เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ทูน่า และไข่ เป็นต้น ถ้าหากสามารถทำได้ จะช่วยให้น้ำหนักลดลงได้อย่างน้อย 1/2 กิโลกรัมต่อสัปดาห์เลยทีเดียว ทำให้ร่างกายสามารถดึงไขมันส่วนเกินมาใช้เป็นพลังงาน ช่วยลดไขมันที่สะสมตามส่วนต่างๆของร่างกาย โดยเฉพาะในส่วนของต้นขา ทำให้อาการขาเบียดลดลง ขาดูเล็กและเรียวขึ้น นอกจากนั้น ควรลดอาหารที่มีโซเดียมสูง เพราะการรับประทานอาหารที่มีโซเดียมมากเกินไป จะทำให้ร่างกายเกิดภาวะบวมน้ำ เนื่องจากมีการกักเก็บน้ำส่วนเกินไว้ ทำให้ต้นขาใหญ่ขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น ให้หันมารับประทานอาหารประเภทผักและผลไม้ให้มากขึ้น เพราะอาหารประเภทนี้อุดมไปวิตามินต่างๆที่ร่างกายต้องการ และมีกากใยสูง ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น และผักใบเขียวยังประกอบด้วยด้วยอิเล็กโทรไลต์ ที่มีคุณสมบัติช่วยปรับความสมดุลของเหลวภายในร่างกายได้อีกด้วย - งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
โดยปกติเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มักทำมาจากการหมักผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง เช่น องุ่น, อ้อย, ข้าวต่างๆ ดังนั้น เมื่อดื่มเป็นประจำจะทำให้ร่างกายได้รับปริมาณของน้ำตาลที่เพิ่มมากขึ้น และเมื่อถูกนำไปเผาผลาญได้ไม่หมด น้ำตาลเหล่านั้นก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมันที่เข้าไปสะสมอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกายแทน รวมถึงในส่วนของต้นขา ที่มีการสะสมของไขมันในปริมาณที่มาก ทำให้เกิดขาเบียดขึ้นมาได้ - ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
การดื่มน้ำสะอาด เป็นการช่วยกระตุ้นกระบวนการขับของเสียออกจากร่างกายอย่างได้ผล พร้อมทั้งช่วยในกระบวนการเผาผลาญไขมันในร่างกายได้อีกด้วย แต่ในทางกลับกัน ถ้าหากร่างกายได้รับน้ำในปริมาณที่น้อยเกินไป ของเสียต่างๆเหล่านั้นก็จะไปสะสมอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย รวมถึงบริเวณต้นขา ดังนั้นถ้าต้องการให้ร่างกายสดชื่น ผิวพรรณเปล่งปลั่งและลดปัญหาขาเบียด ควรดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ให้ได้วันละประมาณ 5-2 ลิตร - ไม่ควรสวมใส่กางเกงแน่นคับมากจนเกินไป
ในช่วงที่น้ำหนักตัวมากขึ้นและเกิดปัญหาขาเบียด ให้สวมกางเกงที่พอดีตัวหรือหลวมนิดหน่อยก็จะดี โดยเฉพาะคนที่ชอบใส่กางเกงขาสั้น เพราะการใส่กางเกงที่รัดจนผิวหนังปลิ้นออกมาล้นขอบกางเกงอยู่บ่อยๆ เมื่อนานไปจะทำให้ผิวที่ปลิ้นออกมานั้นไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ ทำให้ผิวบริเวณนั้นเกิดการหย่อนคล้อย และเพิ่มโอกาสในการเกิดปัญหาขาเบียดตามมา - พักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จะส่งผลให้ร่างกายสามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้ดีขึ้น ในขณะที่การพักผ่อนน้อยจะทำให้ระดับของฮฮร์โมนความเครียดอย่างคอร์ติซอลเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ร่างกายสูญเสียการควบคุมกลูโคส อาจทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้
ข้อเท็จจริงและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับลดเซลลูไลท์ต้นขา
ในเรื่องของเซลลูไลท์ที่ต้นขา ที่มักมาพร้อมกับขาใหญ่และขาเบียด มีทั้งข้อเท็จจริงและความเข้าใจผิดมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจในประเด็นต่างๆด้วยกัน ดังต่อไปนี้
- ผู้หญิงมักมีเซลลูไลท์มากกว่าผู้ชาย
การเกิดเซลลูไลท์ สามารถมีได้ทั้งในชายและหญิง แต่จากรายงานพบว่าโอกาสในการเกิดเซลลูไลท์ที่ต้นขา สามารถพบได้ง่ายที่สุด 9 ใน 10 ของผู้หญิง เนื่องจากผู้หญิงมีฮอร์โมนที่เรียกว่า “เอสโตรเจน” (Estrogen)มากเกินไป ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยกระตุ้นการสะสมไขมันในร่างกาย ทำให้มีการสะสมของไขมันได้ง่ายและมากขึ้น นอกจากนั้นยังสามารถทำให้เกิดโรคอ้วน โรคไขมันในหลอดเลือด และเซลลูไลท์ที่ต้นขาได้ด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ผู้หญิงยังมีระดับของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่สูงกว่าผู้ชาย ซึ่งฮอร์โมนตัวดังกล่าว จะเป็นตัวทำลายระบบไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลืองให้เสียไป ทำให้ร่างกายสะสมสารพิษได้ง่ายขึ้น พร้อมทั้งยังทำลายโครงสร้างผิวหนัง ทำให้ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่น มีความหย่อนคล้อย ผิวเป็นก้อน ไม่เรียบเนียน และนอกจากนี้ เนื้อเยื่อเกี่ยวพันในผู้หญิงยังเรียงกันเป็นแนวตั้งและปริมาณเซลล์ของไขมันจะจับตัวกันเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่อัดรวมกันอยู่อย่างหนาแน่น จากนั้นก็จะเกิดการดันตัวออกมาให้มองเห็นอย่างชัดเจนในรูปของเซลลูไลท์นั่นเอง ในขณะที่การเรียงตัวของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันของผู้ชายจะเป็นสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนเล็ก ๆ และมีปริมาณไขมันสะสมน้อย จึงทำให้พบเซลลูไลท์ได้น้อยกว่า - ปริมาณเซลลูไลท์จะเพิ่มมากขึ้นตามอายุ
ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ก็คือ เมื่อผู้หญิงมีอายุที่เพิ่มมากขึ้น ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้น้อยลง ซึ่งฮอร์โมนชนิดนี้ มีหน้าที่ช่วยให้หลอดเลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น แต่ถ้าหากมีปริมาณที่น้อยลง อาจส่งผลทำให้ประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือดน้อยลงด้วย และทำให้การผลิตคอลลาเจนใหม่ของร่างกายลดน้อยลงเช่นกัน เมื่อคอลลาเจนน้อยลง ก็จะทำให้มองเห็นเซลลูไลท์ชัดเจนขึ้น ทำให้ผิวเกิดความหย่อนคล้อยมากขึ้นตามมา ซึ่งในแต่ละช่วงอายุจะมีประเภทของเซลลูไลท์ที่แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้ - อายุ 20 ปีขึ้นไป จะพบเซลลูไลท์ที่เรียกว่า “Soft Cellulite”
โดยจะมีลักษณะเป็นก้อนขนาดเล็ก เป็นริ้วลูกคลื่นแบบนิ่ม เกิดจากพันธุกรรมเป็นส่วนใหญ่ มักเกิดขึ้นบริเวณชั้นผิวหนังแท้ ซึ่งปกติร่างกายจะสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นในชั้นผิวหนังแท้ ทำให้ผิวมีความเรียบเนียน กระชับ และมีความยืดหยุ่น แต่เมื่อคอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อมสภาพไป และมีการสร้างใหม่ได้น้อยลง ผิวก็จะเริ่มเกิดริ้วรอยและมีความหย่อนคล้อยเกิดขึ้นตามมา สำหรับท่านที่มีปัญหาเซลลูไลท์ประเภทนี้ที่ต้นขา สามารถแก้ไขได้ไม่ยาก เพียงเปลี่ยนพฤติกรรมการกินหรือการออกกำลังกาย เซลลูไลท์ก็สามารถลดลงได้แล้ว - อายุ 30 ปีขึ้นไป จะพบเซลลูไลท์ที่เรียกว่า “Hard Cellulite”
โดยมีลักษณะเป็นก้อนเล็กๆและมีความแข็ง พบได้มากบริเวณบั้นท้ายและสะโพก ในวัยนี้ คอลลาเจนและอิลาสตินถูกทำลายมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้เกิดปัญหาในชั้นผิวหนังแท้ได้มากขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น ผิวชั้นนอกสุดหรือชั้นหนังกำพร้า ก็จะผลัดตัวได้ช้าลงด้วย ทำให้มองเห็นเซลลูไลท์ได้ชัดเจนขึ้น สำหรับใครที่มีปัญหาเซลลูไลท์ที่ต้นขาในช่วงอายุนี้ ควรมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมร่วมกับการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและลดการสูญเสียคอลลาเจนในร่างกายร่วมด้วย - อายุ 40 ปีขึ้นไป จะพบเซลลูไลท์ที่เรียกว่า “Flaccid Cellulite”
โดยเซลลูไลท์ประเภทนี้ จะมีลักษณะเป็นก้อนไขมันนุ่ม เนื่องจากผิวมีการเสื่อมสภาพ เซลล์ผิวไม่แน่นเหมือนช่วงวัยรุ่น ทำให้ผิวเกิดการยุบตัว หรือที่เรารู้จักกันดีว่า “Baby Fat”หายไป นอกจากนั้น ชั้นผิวที่เรียกว่า SMAS หรือเนื้อเยื่อพังผืดที่อยู่ระหว่างชั้นไขมันและกล้ามเนื้อ ซึ่งทำหน้าที่โอบอุ้มผิวให้มีความกระชับได้รูป ก็เริ่มเสื่อมสภาพและอ่อนแอลง ส่งผลให้ประสิทธิภาพการพยุงผิวแย่ลง ผิวจึงเริ่มหย่อนคล้อยมากขึ้น โดยมีสาเหตุมาจากการที่ไม่ชอบออกกำลังกาย สามารถพบเซลลูไลท์ได้มากบริเวณหน้าท้อง รอบเอว ท้องแขน และคาง ในวัยนี้ถ้าอยากจะลดเซลลูไลท์ต้นขา จะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดเซลลูไลท์ร่วมกับกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อไม่ให้ผิวหย่อนคล้อย รวมถึงการลดไขมันส่วนเกินใต้ผิวด้วย
นอกจากนั้น ยังมีอีกหนึ่งประเภทของเซลลูไลท์ที่สามารถพบได้ในช่วงของอายุที่เพิ่มมากขึ้นที่เรียกว่า “Edmatous Cellulite” ซึ่งเกิดจากการคั่งตัวของน้ำเหลือง จนทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือดไม่ดี ทำให้ผิวมีลักษณะบวมน้ำ ถ้ากดดูจะเป็นรอยบุ๋มเข้าไป ส่วนใหญ่พบมากในบริเวณสะโพก และต้นขา ซึ่งเป็นบริเวณที่ผิวหนังมีความบอบบาง ที่สามารถมองเห็นเส้นเลือดได้ชัดเจนและมีลักษณะบวม
- เซลลูไลท์เกิดจากพันธุกรรม
ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ สามารถอธิบายได้ดังนี้คือ ลักษณะพันธุกรรม (Genetic factors) เป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดเซลลูไลท์ขึ้นได้ ถ้าหากว่าคนในครอบครัวมีประวัติการมีเซลลูไลท์ คนในรุ่นต่อมาก็มีโอกาสสูงที่จะพบเซลลูไลท์เพิ่มได้มากขึ้นเช่นกัน เนื่องจากมียีนส์บางตัวที่ส่งผลต่อการสร้างเซลลูไลท์ มีผลต่อการเผาผลาญ การไหลเวียนเลือด และการกระจายตัวของไขมันใต้ผิวหนังในร่างกาย แต่ถึงแม้ท่านจะเป็นคนที่มีเซลลูไลท์ที่เกิดจากลักษณะทางพันธุกรรม แต่ก็สามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้ ด้วยการดูแลพฤติกรรมการกิน การออกกำลังกายและการพักผ่อนควบคู่กันไป - เซลลูไลท์เกิดขึ้นเฉพาะกับคนที่มีรูปร่างไม่สมส่วนเท่านั้น
เซลลูไลท์เกิดจากการมีไขมันส่วนเกินสะสมในส่วนต่างๆของร่างกาย รวมถึงบริเวณต้นขา ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่า เซลลูไลท์จะเกิดกับคนที่รูปร่างไม่ดี ไม่สมส่วนเท่านั้น แต่นี่คือความเข้าใจผิด เพราะแท้จริงแล้ว เซลลูไลท์สามารถเกิดขึ้นได้ในคนทุกประเภทรูปร่างไม่ว่าอ้วนหรือผอม บางคนมองเห็นการสะสมของเซลลูไลท์ได้ชัดเจน แต่ในบางคนก็อาจจะมีการสะสมของไขมันน้อยจนอาจจะมองแทบไม่เห็นเลยก็ว่าได้ ซึ่งเราสามารถแบ่งเซลลูไลท์ ออกเป็น 4 ระยะ ดังต่อไปนี้- ระยะ 0 (ศูนย์)
เรียกได้ว่า เป็นระยะที่เริ่มมีพังผืดเกิดขึ้นบ้าง แต่ยังไม่มากนัก และไม่สามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่มีวิธีทดสอบคือให้ใช้มือบีบเนื้อบริเวณนั้นๆขึ้นมา ก็จะเกิดเป็นรอยบุ๋ม มีลักษณะเหมือนเปลือกส้ม - ระยะที่ 1
ในระยะนี้จะมีรอยบุ๋มเพิ่มมากกว่าระยะที่ 0 แต่ยังมองเห็นเซลลูไลท์ได้ไม่ชัดเจนนัก แต่ถ้าหากใช้มือลูบหรือบีบเนื้อในบริเวณนั้น ก็จะเห็นเซลลูไลท์เป็นรอยบุ๋มชัดเจนขึ้น - ระยะที่ 2
ในระยะที่ 2 นี้จะมองเห็นรอยของเซลลูไลท์ได้ชัดเจนขึ้น โดยที่ไม่ต้องกดหรือหยิบผิวหนัง แต่ถ้านอนราบจะไม่สามารถมองเห็นได้ - ระยะที่ 3
เป็นระยะที่สามารถมองเห็นเซลลูไลท์ได้ชัดเจนมากที่สุด ไม่ว่าจะยืนหรือนอนก็ตาม ถือเป็นระดับที่มีความรุนแรงที่สุดและรักษาได้ยาก
- ระยะ 0 (ศูนย์)
- การออกกำลังกายสามารถลดการเกิดเซลลูไลท์ได้
แน่นอนที่เดียวว่าการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอกจากจะช่วยกระตุ้นการสร้างมวลกล้ามเนื้อแล้ว ยังช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย ทำให้ระบบต่างๆในร่างกายทำงานได้อย่างราบรื่นและมีความสมดุลมากขึ้น ไม่พียงเท่านั้น ยังช่วยลดเซลลูไลท์ที่ปรากฏอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย รวมถึงบริเวณต้นขา ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ และช่วยลดน้ำหนักตัวได้ด้วย ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดได้ดีขึ้น ทำให้สารอาหารเข้าไปเลี้ยงเซลล์ผิวได้อย่างเต็มที่ แต่อย่างไรก็ดี ควรออกกำลังกายในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากจนเกินไป เพราะจะทำให้ความเต่งตึงของผิวถูกดึงไปใช้ ทำให้ผิวเหี่ยวย่นได้ ถ้าอยากเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน ควรออกกำลังกาย สัปดาห์ละ 3 ครั้ง หรือวันเว้นวัน แต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 10 – 30 นาที - การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอเหมาะที่สุดสำหรับการลดเซลลูไลท์ต้นขา
คาร์ดิโอ (Cardio) เป็นการออกกำลังกายประเภทหนึ่งที่กำลังเป็นที่นิยม ที่ช่วยเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจให้อยู่ในระดับที่สูงกว่า 60% ของจุดที่เรารู้สึกเหนื่อยที่สุดอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีการลดระดับลง ซึ่งจะช่วยเผาผลาญพลังงานและไขมันส่วนเกินในร่างกายได้ดีกว่าการออกกำลังกายในลักษณะอื่น ดังนั้นจึงสามารถช่วยลดเซลลูไลท์ที่บริเวณต้นขาได้ แต่ก็มีปัจจัยอื่นๆที่เสริมประสิทธิภาพการออกกำลังกายในลักษณะนี้ด้วย เช่น ความเข้มข้นที่ใช้, น้ำหนักตัว, อัตราการเต้นของหัวใจในช่วงนั้น ๆ รวมไปถึงระยะเวลาในการออกกำลังกายด้วย ถึงแม้ว่า คาร์ดิโอ จะไม่ได้เป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุดเพื่อตอบโจทย์สำหรับการลดต้นขา เพราะถ้าจะให้ได้ผลดี จะต้องทำควบคู่กับ ”เวทเทรนนิ่ง” เนื่องจากว่า “คาร์ดิโอ” จะช่วยในส่วนของการเผาผลาญไขมันและรักษาน้ำหนักไว้ ส่วน “เวทเทรนนิ่ง” จะช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อที่สูญเสียไปจากการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอนั่นเอง - การสูบบุหรี่เสี่ยงทำให้เกิดเซลลูไลท์
ในบุหรี่ มีสารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “สารนิโคติน” (Nicotine) ที่สามารถเข้าไปอุดตันในเส้นเลือด ทำให้เส้นเลือดฝอยหดตัว เส้นเลือดตีบ เลือดไหลเวียนได้ช้าลง เลือดไปเลี้ยงเซลล์ไขมันไม่พอ และสุดท้ายทำให้เกิดพังผืดและเกิดภาวะเซลลูไลท์ได้ง่ายขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น บุหรี่ยังเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ไตและปอด ซึ่งเป็นอวัยวะที่ช่วยขับถ่ายของเสีย ทำงานผิดปกติ เมื่อของเสียถูกขับออกไม่หมด ก็จะเกิดการตกค้าง ทำให้เกิดอาการบวม นอกจากนั้นยังเป็นตัวทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินให้เสื่อมสภาพลงได้โดยง่ายด้วย ทำให้ผิวแห้ง หยาบกร้าน ไม่เต่งตึง ไม่กระชับ - การดูดไขมันทำให้เซลลูไลท์ต้นขาดีขึ้น
ถึงแม้ว่าการดูดไขมันจะเป็นหนึ่งวิธีการที่ช่วยกำจัดเซลลูไลท์ ไขมันและลดขาเบียด ขาใหญ่ ช่วยให้รูปร่างมีสัดส่วนที่สวยงามได้ และมักได้ผลดีในการลดสัดส่วนและการลดไขมันเฉพาะจุด แต่ไม่ได้รับประกันว่าจะช่วยให้เซลลูไลท์หายไปได้ ต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมร่วมกับการรักษาด้วย อาหารบางชนิดสามารถช่วยต่อสู้กับเซลลูไลท์ได้
จากผลการศึกษาพบว่า การรับประทานผักและผลไม้มาก ๆ สามารถช่วยลดเซลลูไลท์ที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งช่วยป้องกันการเกิดใหม่ของเซลลูไลท์ได้มากถึงร้อยละ 75 เลยทีเดียว แต่ควรเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูงหรือรสหวานจัด เพราะถ้าหากได้รับปริมาณน้ำตาลมากจนเกินไป แล้วไม่มีการเผาผลาญ ร่างกายจะเปลี่ยนน้ำตาลให้กลายเป็นไขมัน เข้าไปสะสมตามส่วนต่างๆของร่างกายและก่อให้เกิดเป็นเซลลูไลท์ในที่สุด ส่วนผลไม้ที่มีฤทธิ์ช่วยลดเซลลูไลท์ที่ต้นขา ก็อย่างเช่น แบล็กเบอร์รี่ (blackberry) ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่เข้าไปสลายไขมันได้โดยตรง ก่อนไขมันจะเข้าไปจับตัวเซลล์เนื้อเยื่ออ่อน จนเกิดเป็นก้อนใต้ชั้นผิว และทำให้เกิดเซลลูไลท์ ผิวหย่อนคล้อย และไม่กระชับในที่สุด นอกจากนั้น แบล็กเบอร์รี่ยังช่วยสร้างคอลลาเจนและกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาได้ด้วย ทำให้ผิวมีความกระจ่างใส เรียบเนียนมากขึ้น
ปัญหาขาเบียด สามารถรักษาได้ด้วยนวัตกรรมใหม่ๆของเครื่องมือที่ทันสมัย รวมถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ถูกคิดค้นขึ้นมา เพื่อช่วยรักษาขาเบียด ขาใหญ่ ไขมันสะสมได้อย่างตรงจุดมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่า เพื่อการรักษาที่ได้ผลลัพธ์ชัดเจนและคงไว้ซึ่งผลลัพธ์ที่ยาวนาน จะต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการกิน การพักผ่อน รวมถึงการออกกำลังกายที่ต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ก็จะให้ผลดีทั้งต่อเรื่องความสวยงามและสุขภาพที่แข็งแรงในระยะยาว