ได้เวลาเปลี่ยนผิวเครียดให้กลายเป็นผิวสวย สุขภาพดี

ใครกำลังเครียดอยู่ยกมือขึ้น! “ความเครียด” เป็นภาวะของอารมณ์หรือความรู้สึกของการที่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ต่างๆที่อยู่ตรงหน้าได้ เป็นกลไกธรรมชาติของมนุษย์ เพื่อตอบสนองสถานการณ์บางอย่างที่ท้าทาย อันตรายหรือสิ่งที่กำลังจะเจอ ทำให้เกิดเป็นความหงุดหงิด เป็นทุกข์ กังวลใจ ไม่สบายใจ รวมถึงเกิดภาวะกดดันได้อย่างง่ายดาย ยิ่งสภาพการณ์ที่อยู่รอบข้างเราทุกวันนี้ ล้วนแต่เอื้อให้เกิดภาวะเครียดได้อย่างง่ายดาย ความเครียดในระดับที่พอเหมาะ อาจช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้หรือพัฒนาการต่างๆได้ แต่ความเครียดที่มากเกินไปหรือความเครียดที่สะสมเอาไว้เกินพอดีก็สามารถส่งผลต่อสภาพร่างกาย สภาพจิตใจ และที่สำคัญสามารถส่งผลเสียหายต่อสภาพผิวของเราได้ด้วย หรือที่เรียกกันว่า “ผิวเครียด”นั่นเอง

ประเภทของความเครียด

โดยปกติทั่วไป ความเครียดแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ตามระยะเวลาที่เกิด คือ

  • ความเครียดแบบฉับพลัน เป็นความเครียดที่เกิดขึ้นในระยะสั้นๆในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งเท่านั้น เช่น ทะเลาะกับเพื่อน เป็นต้น
  • ความเครียดเรื้อรัง เป็นลักษณะของความเครียดที่สะสมแบบต่อเนื่องมายาวนาน และต้องตกอยู่ในสถานการณ์เหล่านั้นแบบซ้ำๆหรือเป็นวงจร อย่างเช่น การทำงานที่เต็มไปด้วยความคาดหวังสูง หรือภาวะหนี้สินรุงรัง เป็นต้น

รู้จักกลุ่มฮอร์โมนความเครียด

ในร่างกายของคนเรา มีฮอร์โมนที่ช่วยปรับสมดุลภายในร่างกาย ทำให้อวัยวะต่างๆทำงานได้อย่างราบรื่น ซึ่งฮอร์โมนดังกล่าวมีทั้งฮอร์โมนที่ให้ความสุขและฮอร์โมนความเครียด ในประเด็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับบรรดาฮอร์โมนต่างๆที่เกี่ยวข้องกับความเครียดของคนเรา รวมถึงหน้าที่และผลกระทบที่มีต่อร่างกายด้วย ดังนี้

  • ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol)
    คอร์ติซอล (Cortisol) เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากต่อมหมวกไต มีฤทธิ์เป็นสารสเตียรอยด์ที่ร่างกายสังเคราะห์ขึ้นมาเองได้ เรียกได้ว่าเป็นตัวท็อปของฮอร์โมนเกี่ยวกับความเครียดเลยก็ว่าได้ เพราะเมื่อเกิดสถานการณ์บางอย่างที่ไม่ปกติ มีความทุกข์ใจ มีความกังวล หรือมีความผิดปกติในร่างกาย คอร์ติซอลจะถูกกระตุ้นให้หลั่งออกมาในปริมาณที่มากขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมในการฟื้นฟูร่างกาย โดยฮอร์โมนชนิดนี้จะกระตุ้นการตอบสนองของเซลล์ในร่างกายต่อภาวะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาวะการอักเสบ ความเจ็บปวด ภาวะติดเชื้อ และกระตุ้นให้ตับสร้างน้ำตาลมากขึ้น เนื่องจากในช่วงที่เครียด ร่างกายจะต้องการพลังงานมากขึ้น โดยสังเกตได้จากการที่กินมากขึ้น หิวบ่อยขึ้น และน้ำหนักเพิ่มขึ้น ไม่เพียงเท่านั้นฮอร์โมนคอร์ติซอลยังช่วยควบคุมระดับน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย เพื่อช่วยรักษาระดับความดันให้ทำงานเป็นปกติได้เช่นกัน โดยทั่วไป ฮอร์โมนชนิดนี้จะหลั่งสูงในช่วงเวลาเช้าและจะลดลงในช่วงบ่าย และถ้าเรานอนเป็นเวลาระดับการเพิ่มลดของคอร์ติซอลจะเป็นปกติ แต่ถ้ากรณีที่นอนน้อย นอนไม่พอ ฮอร์โมนคอร์ติซอลจะหลั่งผิดปกติและไม่เป็นเวลา ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น และบางรายถึงขั้นไม่หลับเลยทีเดียว ดังนั้นหนึ่งในวิธีที่จะช่วยรักษาความสมดุลของฮอร์โมนคอร์ติซอลคือ พักผ่อนให้เพียงพอและนอนให้เป็นเวลา
  • ฮอร์โมนอะดรีนาลีน (Adrenaline) หรือที่เรียกว่าฮอร์โมน อิพิเนฟริน (Epinephrine) เป็นฮอร์โมนที่มีที่มาจากต่อมหมวกไตเช่นกัน เรียกกันว่าเป็นสารแห่งความโกรธ ร่างกายมักจะหลั่งฮอร์โมนชนิดนี้เมื่อมีภาวะบางอย่างที่เตรียมพร้อมให้ร่างกายมีการตอบสนองต่อภาวะฉุกเฉิน หรือป้องกันตัว ซึ่งในการเตรียมพร้อมเพื่อตอบสนองก็จะต้องใช้พลังงานด้วย จึงส่งผลให้กล้ามเนื้อหลอดเลือดหัวใจทำงานอย่างเต็มที่ หัวใจบีบตัวมากขึ้น ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้น ความดันเลือดสูงขึ้น และสามารถทำในสิ่งที่ก่อนหน้านี้อาจจะไม่สามารถทำได้ เช่นยกของหนักออกจากบ้านได้ตอนเกิดไฟไหม้ เป็นต้น ถ้าจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อะดรีนาลิน มักจะหลั่งออกมาในเวลาที่คนเราตื่นเต้น จากนั้นก็จะลดลงมาอยู่ในระดับที่ปกติ แต่ถ้ากรณีที่หลั่งออกมามากผิดปกติ ก็เป็นไปได้ว่ามีเนื้องอกเกิดขึ้นที่ต่อมหมวกไต ทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูงจนควบคุมได้ยาก
  • ฮอร์โมนเมลาโทนิน
    เป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ ทำให้ร่างกายผ่อนคลาย นอนหลับได้ดีขึ้น แต่ในทางกลับกัน ถ้าหากร่างกายขาดฮอร์โมนชนิดนี้ ก็จะทำให้นอนไม่หลับ หลับไม่ลึก ตื่นมาแล้วไม่สดชื่น เป็นต้น ส่วนวิธีในการเพิ่มฮอร์โมนเมลาโทนินก็คือ จะต้องปรับอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการนอนประมาณ 18-25 องศาเซลเซียส และให้หลับก่อน4 ทุ่ม เนื่องจากร่างกายจะเริ่มผลิตฮอร์โมนชนิดนี้ในช่วง 00 น. – 22.00 น. โดยจะมีอัตราการสร้างมากที่สุดช่วง 2.00 น. – 4.00 น. และความจริงอีกข้อหนึ่งก็คือเมลาโทนินจะถูกกระตุ้นโดยความมืด ดังนั้นห้องนอนควรมืดสนิท ไม่มีแสงรบกวน จึงจะทำให้ร่างกายสามารถผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผลกระทบจากความเครียด

ความเครียดที่สะสมมายาวนาน สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพแบบองค์รวม ไม่ว่าจะเป็น

  • ส่งผลกระทบต่อระบบสมอง
    เนื่องจากความเครียดที่เกิดขึ้นจะไปกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติก พร้อมทั้งไปกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนความเครียดอย่างคอร์ติซอลจากต่อมหมวกไต เพื่อส่งสัญญาณให้อวัยวะต่างๆตื่นตัว เตรียมพร้อมสำหรับการสู้หรือหนี โดยจะมีอาการต่างๆที่ผิดปกติแสดงออกมา อย่างเช่น ใจเต้นรัว ความดันเลือดสูง หลอดเลือดหดตัว หายใจถี่และสั้น และถ้าหากว่าปล่อยให้มีความเครียดเกิดขึ้นต่อเนื่องโดยไม่จัดการ โดยเฉพาะความเครียดที่สร้างผลกระทบรุนแรงต่อภาวะอารมณ์ ก็สามารถทำให้สมองฝ่อได้ โดยเฉพาะสมองส่วนส่วนอะมิกดาลา (อารมณ์ดิบ) และไฮโพทาลามัส (ศูนย์รวมสัญชาตญาณ)
  • ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจและอารมณ์
    ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความเครียด ทำให้สูญเสียความมั่นใจในการดำเนินชีวิต เนื่องจากประสิทธิภาพในการรับมือหรือการจัดการกับตนเองหรือการจัดการกับปัญหาจะลดน้อยลง โดยมีการแสดงออกมาคือจะกลายเป็นคนที่ขาดสมาธิ มีความวิตกกังวลได้ง่าย โมโหง่าย มีความขุ่นมัวในใจ ยิ่งถ้าหากมีความเครียดสะสมมาเป็นเวลานาน ก็จะทำให้ระดับฮอร์โมนความเครียดอย่างคอร์ติซอลเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เซลล์ประสาทลดจำนวนลงและฝ่อในที่สุด นอกจากนั้น ยังส่งผลต่อการทำงานของระบบสื่อประสาทที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับอารมณ์และพฤติกรรมของคนเราด้วย จนในที่สุดสามารถกลายเป็นคนที่เสพติดความกังวลและเป็นโรคซึมเศร้าในที่สุด
  • ส่งผลต่อสภาพร่างกาย
    เมื่อสภาพจิตใจย่ำแย่ แน่นอนว่าสามารถส่งผลกระทบต่อสภาพร่างกายได้โดยง่ายเช่นกัน เนื่องจากความเครียดที่เกิดขึ้นจะไปกระตุ้นระบบประสาท ส่งผลทำให้เกิดอาการต่างๆที่แตกต่างกันออกไป เช่นปวดหลัง อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ เป็นลม หน้ามืด ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือมีแนวโน้มเป็นโรคอ้วนได้โดยง่าย นอกจากนั้นยังทำให้สุขภาพแย่ลง เนื่องจากภาวะไม่สมดุลของระบบฮอร์โมนในร่างกาย และยังสามารถส่งผลร้ายถึงชีวิตได้เนื่องจากภาวะการทำงานที่ล้มเหลวของอวัยวะสำคัญในร่างกาย เช่น หัวใจ เป็นต้น
  • ส่งผลต่อพฤติกรรม
    ไม่เพียงร่างกายเท่านั้น ที่ได้รับผลกระทบจากความเครียดที่เกิดขึ้น แต่ความเครียดยังส่งผลถึงพฤติกรรมการแสดงออกด้วย ไม่ว่าจะเป็น เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ แยกตัวออกจากสังคม หรือในบางรายอาจแสดงออกเป็นความก้าวร้าว ทำร้ายตนเอง ทำร้ายผู้อื่น อันเนื่องมาจากความเครียดทำให้สารเคมีหรือระบบฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง

ความเครียดส่งผลต่อการเกิดโรค

ไม่เพียงอาการต่างๆที่แสดงออกเมื่อเกิดความเครียดเท่านั้น แต่ความเครียดยังเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดโรคได้ หรือคนที่เป็นโรคนั้นๆอยู่แล้ว อาการก็อาจกำเริบได้เช่นกัน เช่น

  • กระตุ้นให้เกิดโรคผิวหนังบางชนิด เช่น โรคผื่นลมพิษ โรคผิวหนังในระบบ Auto immune หรือโรคภูมิเพี้ยน(โรคตุ่มน้ำพอง) เริม งูสวัด ด่างขาว รวมถึงโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (Autoimmune disease) เป็นต้น
  • ทำให้อาการของผู้ที่เป็นโรคสิวหน้าแดง (Rosacea) กำเริบขึ้นได้
  • ทำให้อาการของผู้ที่เป็นโรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) ลุกลามขึ้นได้
  • ส่งผลต่ออาการของผู้ที่เป็น Chronic Eczema หรือว่าผิวหนังอักเสบเรื้อรัง

ความเกี่ยวข้องของโรคผิวหนังกับโรคทางใจ(ความเครียด)

จากที่กล่าวมา ก็คงพอสรุปได้ว่า โรคผิวหนังกับโรคทางใจหรือภาวะความเครียด มีความเกี่ยวข้องกันอย่างปฏิเสธไม่ได้ โดยสามารถแบ่งออกไปเป็น 3 กลุ่มคือ

  • กลุ่มที่เป็นโรคผิวหนังอยู่แล้ว แต่โรคทางใจทำให้โรคกำเริบขึ้น

ส่วนมากจะเกิดขึ้นในกลุ่มที่เป็นสิว  ผมร่วงเป็นหย่อมๆ  โรคผิวหนังภูมิแพ้ เริม เหงื่อออกมาก คัน สะเก็ดเงิน โรคผิวเปลือกไม้ (lichen simplex chronicus) ลมพิษ และหูด เป็นต้น

  • กลุ่มโรคผิวหนัง ที่เป็นตัวการทำให้จิตป่วย
    กลุ่มโรคผิวหนังดังกล่าว จะเป็นอาการที่ไม่น่าดูของผิวหนัง ทำให้ผู้ที่เป็นรู้สึกอาย ขาดความมั่นใจในตนเอง และเครียด เช่น สิวรุนแรง สะเก็ดเงิน ด่างขาว และเริม เป็นต้น
  • กลุ่มโรคทางใจที่แสดงอาการออกทางผิวหนัง
    เป็นลักษณะความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นบริเวณผิวหนัง ซึ่งเป็นผลมาจากโรคทางใจโดยตรง เช่น ชอบดึงผมเล่นจนร่วง จนผมบาง ,โรคดึงผิวหนังที่ลอกของตัวเองจนเป็นแผล,คิดว่ามีแมลงไต่ตามตัวตลอดเวลา รวมถึงโรคทั้งหลายที่แสดงให้เห็นว่าไม่พอใจในรูปร่างหน้าตาของตนเอง เป็นต้น

โรคผิวเครียดคืออะไร
“ผิวเครียด” เป็นโรคทางจิตวิทยาผิวหนังที่มีชื่อเรียกว่า Psychodermatology เป็นโรคที่เกิดจากสภาพจิตใจหรือกล่าวอีกนับหนึ่งคือความเครียดส่งผลต่อสภาพผิว เนื่องจากความเครียดไปกระตุ้นให้ร่างกายมีการหลั่งฮอร์โมนบางชนิดออกมามากกว่าปกติ ทำให้การทำงานของอวัยวะต่างๆรวน หรือขาดสมดุล ส่งผลโดยตรงต่อกระบวนการทำงานของร่างกายและผิวพรรณ เช่น กระตุ้นให้มีการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลมากเกินไปจนเป็นพิษต่อร่างกาย ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายลดต่ำลง ทำให้เกิดผดผื่น แพ้ง่าย เป็นสิวขึ้นมาแบบไร้สาเหตุ มีการติดเชื้อได้โดยง่าย นอกจากนั้นยังไปกระตุ้นกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานิน(Melanin)  ทำให้หน้าดูหมองคล้ำ ดำ เป็นฝ้า กระจุดด่างดำขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่เพียงเท่านั้นยังยับยั้งการหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone)  ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของร่างกาย หรือเป็นฮอร์โมนแห่งความหนุ่มสาว ทำให้ผิวแห้งกร้าน เกิดริ้วรอย หย่อนคล้อย หน้าดูแก่กว่าวัยอีกด้วย โรคผิวเครียด มักพบได้ในวัยทำงานและวัยเรียน ที่จะต้องเผชิญกับความกดดัน ความเครียดและความกังวลรอบด้าน

โรคผิวเครียดมักกำเริบในช่วงเวลาใด

โรคเครียดลงผิว หรือที่เรียกกันติดปากว่าโรคผิวเครียดนั้น มักจะเกิดขึ้นได้ในช่วงเวลาหรือสถานการณ์ต่างๆ ดังต่อไปนี้

  • ช่วงเวลาที่ร่างกายเกิดความตึงเครียด เช่น ช่วงที่มีประจำเดือน
  • ช่วงเวลาที่ทำงานหนัก เหนื่อยสะสม ไม่ค่อยได้พักผ่อน หลายครั้งมักมีผื่นขึ้นตามตัวและใบหน้า
  • ช่วงหลังการออกกำลังกายอย่างหนัก หักโหม
  • ช่วงที่นอนดึก นอนน้อย พักผ่อนไม่เพียงพอแบบต่อเนื่อง
  • เมื่ออยู่ในช่วงเวลาที่มีความเครียดสูง มีอารมณ์หงุดหงิด ส่วนใหญ่อาการจะแสดงออกมาโดยการเป็นผื่นขึ้นตามผิวหนัง

ผิวเครียดเกิดจากอะไร

ทุกคนมีโอกาสละเลยที่จะดูแลตัวเอง และปล่อยให้ความเครียดครอบงำชีวิตได้อยู่บ่อยครั้ง ที่ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสภาพร่างกาย จิตใจหรืออารมณ์เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อผิวพรรณ  ซึ่งมีสาเหตุหรือที่มาดังต่อไปนี้

  • มีความเครียดสะสม มีการหลั่งฮอร์โมนบางชนิดออกมามากกว่าปกติ ทำให้ร่างกายเสียสมดุล ส่งผลให้กระบวนการทำงานของผิวผิดปกติ ทำให้เกิดปัญหาผิวมากมายหลายอย่างตามมา
  • นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ รวมถึงสภาวะการนอนไม่ดี
  • สภาพแวดล้อมภายนอก ไม่ว่าจะเป็นมลภาวะต่างๆ ฝุ่น PM 2.5, รังสี UV จากแสงแดดและหลอดไฟ, ไวรัสหรือเชื้อโรคต่างๆ เป็นต้น
  • รับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลสูงเป็นประจำ
  • ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่เป็นประจำ ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น แห้งกร้าน

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าผิวเครียด

เมื่อผิวเครียด สามารถแสดงอาการต่างๆดังต่อไปนี้

  • ผิวเสียสมดุล
    การที่ผิวเสียสมดุล เกิดขึ้นจากการที่ร่างกายมีการหลั่งฮอร์โมนที่ผิดปกติ ส่งผลให้ต่อมเหงื่อทำงานหนักจนเกินไป ทำให้เหงื่อออกมาก ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นภายในผิว จากนั้นจะไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันออกมามากขึ้นเพื่อพยายามรักษาความชุ่มชื้นของผิว จนทำให้เกิดความมันส่วนเกินบนใบหน้า เมื่อรวมกับเชื้อโรค ฝุ่นละอองต่างๆในรูขุมขน ทำให้เกิดการอุดตันและอักเสบ จนกลายเป็นสิวในที่สุด
  • ผิวหมองคล้ำ
    เมื่อมีความเครียดเกิดขึ้น ร่างกายจะส่งการไหลเวียนของเลือดไปยังอวัยวะสำคัญที่มีผลต่อการอยู่รอดของชีวิตก่อน เช่น หัวใจ ปอด สมองและตับ และแน่นอนว่าเมื่อเลือดส่งไปยังอวัยวะเหล่านี้เป็นส่วนใหญ่ ทำให้เลือดมาเลี้ยงผิวหน้าได้น้อยลง ส่งผลทำให้สุขภาพผิวอ่อนแอ แพ้ง่ายขึ้น หน้าบางขึ้น หน้าอิดโรย ไม่กระจ่างใส  และมีความไวต่อแสงแดดได้ง่ายและทำให้ผิวหมองคล้ำ นอกจากนั้น ความเครียดยังส่งผลต่อกระบวนการผลิตเม็ดสีในร่างกายหรือเมลานิน ที่ไม่เพียงทำให้หน้าหมองแต่ยังเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดฝ้าขึ้นได้ง่ายอีกด้วย
  • ผิวแพ้ง่าย ระคายเคืองได้ง่ายขึ้น
    เมื่อมีความเครียดเกิดขึ้น เป็นปกติของกลไกร่างกายที่จะหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีนออกมามากขึ้น โดยจะเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและเพิ่มระดับความดันโลหิต ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมามากขึ้นด้วย ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอลง ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น ความเครียดยังสามารถส่งผลต่อระบบการย่อยอาหารที่จะทำงานได้ช้าหรือน้อยลง ส่งผลต่อสภาพภายนอกของร่างกาย และจะแสดงออกมาทางผิวหนัง เช่น ทำให้ผิวแพ้ง่ายขึ้น มีผื่นแดง ผิวอักเสบ ผิวลอกเป็นขุย และอาจทำให้เกิดโรคทางผิวหนังในบางราย เช่น โรคสะเก็ดเงิน หรือผื่นแพ้อักเสบ เป็นต้น
  • ผิวแก่ก่อนวัย
    อีกหนึ่งผลกระทบของความเครียดต่อผิว คือฮอร์โมนความเครียดที่ร่างกายหลั่งออกมาจะเข้าไปทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ส่งผลโดยตรงต่อความยืดหยุ่นของผิว แถมความเครียดยังไปกระตุ้นให้ร่างกายปล่อยสารสารอนุมูลอิสระและทำลายความแข็งแรงของเซลล์ผิว ซึ่งเป็นที่มาของการเกิดริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย และหน้าแก่ก่อนวัย และนอกจากนั้น ความเครียดยังส่งผลให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าเกร็งตัว ทำให้เกิดเป็นรอยย่นลึกที่บนใบหน้า เช่น ที่หน้าผากและหัวคิ้ว เป็นต้น
  • ผิวแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น
    เมื่อมีความเครียดสะสมเรื้อรัง ทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมามากขึ้น และส่งผลต่อผิวพรรณโดยตรง เนื่องจากฮอร์โมนตัวดังกล่าวจะไปลดความสามารถในการกักเก็บความชุ่มชื้นของผิวหนัง ทั้งยังไปกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีนออกมามากกว่าปกติ ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำเกินความจำเป็น ทำให้เกิดภาวะผิวขาดน้ำตามมา
  • ส่งผลต่อสภาพหนังศีรษะและเส้นผม
    เมื่อมีความเครียด หนังศีรษะและเส้นผม ก็เป็นอีกหนึ่งจุดสำคัญที่มีการตอบสนองที่แตกต่างกันออกไป เช่นบางรายจะมีน้ำมันออกมามากกว่าปกติ ในขณะที่บางรายพบว่าเส้นผมแห้ง เปราะบางและแตกปลาย เกิดรังแค มีขุยบนหนังศีรษะ จนถึงขั้นผมร่วงจนผิดสังเกต ที่เป็นเช่นนี้ เพราะว่า เมื่อมีความเครียดเกิดขึ้น ร่างกายจะหันไปซ่อมแซมอวัยวะที่อ่อนแอก่อน และจะหยุดการสร้างเส้นผม รวมถึงหยุดการไหลเวียนของเลือดที่จะไปหล่อเลี้ยงเส้นผมด้วย ทำให้เกิดความผิดปกติตามมา

ผลกระทบในส่วนอื่นๆของโรคผิวเครียด
ส่วนผลกระทบด้านอื่นๆที่เกิดจากความเครียด ที่แสดงออกมาเป็นพฤติกรรมต่างๆที่แสดงออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน ที่มีความเกี่ยวข้องกับผิวหนัง คือโรคจิตหลงผิดของผิวหนัง โดยมีลักษณะดังต่อไปนี้

  • โรคจิตหลงผิดโดยคิดว่ามีปรสิตที่ผิวหนัง โดยผู้ป่วยจะมีความรู้สึกว่ามีพยาธิหรือแมลงไต่ เจาะ หรือกัดผิวหนังอยู่บ่อยๆ
  • โรคฝังใจว่ามีเส้นใยผุดออกมาจากผิวหนัง
  • โรคจิตหลงผิดว่ามีกลิ่นตัว โดยผู้ป่วยจะมีความกังวลตลอดเวลาตัวตัวเองจะมีกลิ่นตัว กลิ่นปาก หรือกลิ่นจากช่องคลอด ทำให้หลีกเลี่ยงการเข้าสังคม และจะมีพฤติกรรมคือจะอาบน้ำหรือเปลี่ยนเสื้อผ้าบ่อยกว่าปกติ
  • โรคฉันไม่สวย ผู้ป่วยโรคนี้จะรู้สึกว่าตนเองมีความผิดปกติบางอย่างของผิวหนัง มีอวัยวะบางอย่างไม่ได้สัดส่วน มีความกังวลเรื่องผมบาง ขนดก รูขุมขนโต หรือที่เรียกกันว่าbody dysmorphic disorder (BDD) หรือบีดีดี เป็นภาวะที่ชอบเปรียบเทียบอวัยวะที่ตนเองคิดว่าผิดปกติกับคนอื่น โดยมีพฤติกรรมที่แสดงออกคือ จะชอบอาบน้ำหรือแต่งหน้า ทำผมเป็นเวลานานๆ ครุ่นคิดแต่เรื่องรูปร่างหน้าตาตนเอง มักพบอาการซึมเศร้ารุนแรงร่วมด้วย โรคบีดีดี เริ่มเป็นได้ตั้งแต่อายุ ๑๖-๑๗ ปี และสามารถเป็นแบบเรื้อรังได้ด้วยเช่นกัน
  • โรคกลัวแก่ขึ้นสมองหรือกลุ่มอาการดอเรียนเกรย์ (Dorian Gray syndrome)
    เป็นอาการที่ถูกตั้งขึ้นตามชื่อของนวนิยายที่มีชื่อว่า The Picture of Dorian Gray โดยมีตัวละครเอกคือดอเรียนเกรย์ ที่กลัวความแก่มากจนต้องขอให้ภาพวาดแก่แทน โดยผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีลักษณะอาการของโรคบีดีดีร่วมกับการมีพัฒนาการทางจิตใจที่ผิดปกติ นอกจากนั้น ยังมีประวัติการใช้ยาและการเสริมความงามแบบเสพติดร่วมด้วย เช่น ยาปลูกผม ยาลดไขมัน ยาเสริมสมรรถภาพทางเพศ ยาต้านอาการซึมเศร้า ทำเลเซอร์ผลัดผิว และทำศัลยกรรมตกแต่ง  ไม่ว่าจะเป็น การผ่าตัดดึงหน้า หรือดูดไขมัน เป็นต้น

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ทุกระบบในร่างกายมีการประสานเชื่อมต่อกันอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งร่างกายและจิตใจ และความเครียดเองก็สามารถทำให้ส่วนต่างๆทำงานผิดปกติได้และแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมและอาการทางผิวหนังที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาวะจิตใจภายใน ในกรณีเช่นนี้สามารถเข้าพบจิตแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยร่วมกับการรักษาของอายุรแพทย์ร่วมด้วย ก็จะทำให้เกิดการรักษาที่ตรงจุดและแก้ปัญหาได้อย่างครบถ้วน

เปลี่ยนผิวเครียดให้เป็นผิวสวยได้อย่างไรบ้าง
แน่นอนว่าเราอาจจะไม่สามารถเลี่ยงความเครียดได้ตลอดเวลาแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการกำจัดความเครียดในรูปแบบที่เหมาะสมกับตนเองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพกายและใจที่ดี แถมยังสามารถช่วยลดภาวะผิวเครียดได้ด้วย ดังนี้

  • ลดความเครียด
    อย่างที่เราทราบกันดีว่า เมื่อมีความเครียดเกิดขึ้น ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมา ทำให้ต่อมไขมันทำงานหนักขึ้น ทำให้มีการผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น เมื่อรวมกับเชื้อโรคและฝุ่นละออง ทำให้เกิดการอักเสบและกลายเป็นสิวขึ้นมาได้ และที่มากไปกว่านั้น คืออาจจะกลายเป็นผื่นแดง มีอาการคันและเสี่ยงต่อการติดเชื้ออื่นๆตามมา ดังนั้น จึงควรรักษาสภาพจิตใจไม่ให้เกิดความเครียดมากเกินกว่าที่ร่างกายจะรับไหว โดยการทำจิตใจให้แจ่มใส มองโลกในแง่บวก พักผ่อนให้เพียงพอ พร้อมทั้งหาวิธีคลายเครียด เช่นการออกกำลังกาย การนั่งสมาธิ ฝึกลมหายใจ เป็นต้น รวมถึงการได้ระบายความเครียดออกมา ปรึกษา พูดคุยกับเพื่อนหรือคนในครอบครัว หรือนักบำบัด จิตแพทย์ เพื่อให้สามารถรับมือกับความเครียดต่างๆในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
    การนอนหลับพักผ่อน เป็นช่วงที่อวัยวะหลายส่วนในร่างกายจะได้รับการฟื้นฟู ที่ร่างกายจะได้สร้างเซลล์ผิวใหม่เพื่อทดแทนเซลล์เก่าช่วยให้ผิวดูเต่งตึงเปล่งปลั่งมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดการเกิดสิวและรอยคล้ำใต้ตาได้ด้วย ดังนั้นควรนอนหลับพักผ่อนให้ได้ประมาณวันละ 7 – 9 ชั่วโมงต่อวัน สำหรับช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการนอนหลับพักผ่อนคือช่วง00 – 22.00 น. และตื่นเวลา 05.30 – 06.00 น. เพื่อการนอนที่มีประสิทธิภาพ ควรลดการเล่นมือถือบนเตียงนอน ปิดเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ที่มีแสงบลูไลท์ เพราะแสงประเภทนี้จะไปกระตุ้นการทำงานของสมอง ทำให้หลับยาก
  • หัวเราะบ่อยๆ
    เชื่อหรือไม่ว่า เมื่อหัวเราะ กล้ามเนื้อต่างๆที่อยู่บนใบหน้าและทั่วร่างกายจะมีการยืดตัว ชีพจรและความดันโลหิตก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้การลำเลียงออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อต่างๆดีขึ้น  ช่วยสร้างความแข็งแรงให้กับทุกส่วนของร่างกาย ตั้งแต่สมอง ระบบไหลเวียนเลือด ระบบย่อย และระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนั้น ยังทำให้ผิวหน้าได้มีการเคลื่อนไหว ยืดหยุ่น ไม่ตึงหรือเกร็ง ทั้งยังช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ดีอีกด้วย
  • ปกป้องผิวจากแสงแดด
    การปกป้องผิวจากแสงแดด สามารถทำได้ด้วยการทาครีมกันแดดปกป้องผิว ที่มีค่าปกป้องที่สูง อย่าง mesoprotech melan 130 pigment control ผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวจากแสงแดด SPF50+ ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อปกป้องผิวจากรังสีทั้ง UVA และ UVB ที่มีประสิทธิภาพช่วยลดเลือนและป้องกันการเกิดจุดด่างดำ ที่มาของความหมองคล้ำของผิว โดยเป็นเนื้อกันแดดสีเบจ ช่วยปกปิดจุดด่างดำและรอยหมองคล้ำได้อย่างเป็นธรรมชาติ ให้เนื้อสัมผัสที่บางเบา เกลี่ยง่าย ไม่เหนียวเหนอะหนะ โดยมีส่วนประกอบสำคัญ ดังต่อไปนี้
  • mesoprotech complex ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVB อีกทั้งยังมีสารแอนติออกซิแดนท์ที่ช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระในรังสีอินฟราเรด และแสงสีฟ้าที่มากระทบผิวได้ดีอีกด้วย
  • Azeloglicina ( Azelaic acid) ช่วยป้องกันรอยหมองคล้ำหรือจุดด่างดำที่มีสาเหตุมาจากแสงแดดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • Sunflower seed oil (NMF) ช่วยรักษาชุ่มชื้นผิวตามธรรมชาติ

นอกจากการทาครีมกันแดดแล้ว ควรเสริมด้วยอาหารที่มีสารไลโคปีน เบต้าแคโรทีน และกรดอะมิโน ซึ่งพบได้มากในมะเขือเทศและฟักข้าว ที่มีคุณสมบัติช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด ทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น ทั้งยังช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ดีอีกด้วย

  • ดื่มน้ำสะอาด
    การดื่มน้ำสะอาดวันละประมาณ 5-2 ลิตร สามารถสร้างผิวให้สวยขึ้นได้ เพราะการดื่มน้ำอย่างเพียงพอในแต่ละวัน ทำให้ระบบต่างๆภายในร่างกาย ทำงานได้ดีมากยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยขับของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้นด้วย นอกจากนั้น ควรเสริมด้วยการรับประทานโยเกิร์ต นมเปรี้ยว (สูตรไขมันต่ำ) หรือน้ำพรุนสกัดก่อนนอน ก็จะช่วยให้ระบบการขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ทำให้ผิวดูสดชื่นและเปล่งปลั่งอย่างเป็นธรรมชาติ
  • ออกกำลังกายกระชับผิว
    จากคำกล่าวที่ว่า “การออกกำลังกายเป็นยาวิเศษ” ที่ไม่เพียงช่วยให้ร่างกายแข็งแรงเท่านั้น แต่ยังทำให้ระบบโลหิตในร่างกายมีการสูบฉีดได้ดี ทำให้ผิวพรรณดูสดใส เปล่งปลั่ง ดังนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรจะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอแบบพอดี ไม่หักโหมเกินไป เพราะนอกจากจะทำให้ร่างกายทรุดโทรมแล้ว ยังทำให้ผิวเครียดได้อีกด้วย โดยสามารถเริ่มจากการออกกำลังกายแบบเบาๆ มีการวอร์มอัพก่อนออกกำลังกายประมาณ 5 นาที จากนั้นให้เดินหรือวิ่งสลับหนักเบาเป็นช่วงๆ เลือกวิธีการออกกำลังกายให้เหมาะกับสภาพหรือลักษณะของร่างกายและอายุ ทำต่อเนื่อง 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์
  • ลด ละ เลิกการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์
    แอลกอฮอล์และบุหรี่ เป็นตัวการสำคัญที่ทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินภายในผิว ทำให้ผิวซีด ไม่สดใส หมองคล้ำ ไม่เปล่งปลั่ง และแห้งกร้าน เนื่องจากทำให้การไหลเวียนของเลือดไม่สะดวก และมากไปกว่านั้นคือ ทำให้ร่างกายขาดวิตามินเอ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อผิวได้โดยง่าย เกิดรอยเหี่ยวย่นตามบริเวณหน้าผาก และเกิดรอยตีนการอบดวงตา
  • รับประทานอาหารเสริมบำรุงผิว
    อีกหนึ่งตัวช่วยที่จะช่วยให้ผิวพรรณดูสดใส คือการรับประทานอาหารเสริมบำรุงผิว ไม่ว่าจะเป็นวิตามินซี ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและเร่งการสร้างเซลล์ผิวใหม่ให้แก่ร่างกาย วิตามินอี ที่ช่วยในการปกป้องผิวจากสารอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวชุ่มชื้นและช่วยยืดอายุผิว เสริมกรดไขมันจำเป็นชนิดไม่อิ่มตัว อย่างโอเมก้า 6 ที่อุดมไปด้วยกรดแกมมาไลโนเลนิค (GLA) และกรดไลโนเลอิค (LA) ที่ช่วยรักษาเยื่อมหุ้มเซลล์ในร่างกายรวมถึงเซลล์ผิวหนังให้มีความแข็งแรง ช่วยรักษาความชุ่มชื้นภายในผิว พร้อมทั้งลดการอักเสบของผิวเมื่อเกิดการระคายเคือง รวมถึงการหมั่นเติมคอลลาเจนให้ร่างกายอย่างสม่ำเสมอ  เนื่องจากเมื่ออายุมากขึ้น คอลลาเจนที่มีอยู่ในร่างกายตามธรรมชาติ ก็จะลดลง อีกทั้งกระบวนการสร้างคอลลาเจนก็จะลดลงด้วย เป็นเหตุให้เกิดปัญหาผิวพรรณมากมายตามมา ดังนั้นควรรับประทานคอลลาเจนเสริม เพื่อช่วยลดความหมองคล้ำของผิวจากรังสียูวี ป้องกันการเบิร์นของผิวจากแสงแดด ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ทั้งยังช่วยกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนบริเวณผิวหนังและลดการสูญเสียอีลาสติน (Elastin) ในชั้นผิว ทำให้ผิวแข็งแรง สุขภาพดี นอกจากนั้น ควรรับประทานผักหรือผลไม้หลายสีเพิ่มเติม ให้ได้อย่างน้อยวันละ 4 ขีด เพื่อให้ได้รับสารอนุมูลอิสระที่หลากหลาย ช่วยเสริมภูมิต้านทานของร่างกายและทำให้ผิวพรรณสดใสขึ้นอีกระดับ
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ปัญหาผิวเครียด
    เมื่อผิวเครียด มักจะเกิดปัญหาผิวมากมายตามมา และหนึ่งในนั้นก็คือปัญหาสิว ฝ้ากระ จุดด่างดำ การป้องกันเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อยับยั้งไม่ให้ปัญหาเหล่านั้นลุกลามมากขึ้น แต่เมื่อเป็นแล้ว ควรมีการรับมือด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อการปรนนิบัติผิวอย่างมีประสิทธิภาพและให้ผลลัพธ์ที่ดีด้วย
  • ล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและเหมาะสมกับสภาพผิว
    การล้างหน้า เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการดูแลผิว Purifying mousse เป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าเนื้อมูสสูตรพิเศษสำหรับผิวมันและผิวที่มีแนวโน้มเป็นสิวง่าย ที่มีคุณสมบัติช่วยขจัดความมันส่วนเกินและสิ่งสกปรกต่างๆที่ตกค้างอยู่บนผิวหน้า ที่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสิว โดยไม่ทำให้ผิวแห้งตึง แต่กลับรู้สึกได้ถึงความเนียนนุ่มและสบายผิว โดยมีส่วนประกอบสำคัญคือ Chlorhexidine ที่ช่วยลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นต้นเหตุของสิว , Salicylic acid ที่ช่วยขจัดความมันส่วนเกินบนใบหน้า พร้อมช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออก ลดการอุดตันบนผิว , Lactic acid ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า ลดการอุดตันบนผิว, postbioticช่วยปรับความสมดุลของผิว เสริมเกราะปกป้องผิว ทำให้ผิวดูแข็งแรง สุขภาพดี , Anti-pollution ช่วยปกป้องผิวจากสารแอนติออกซิแดนท์ ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย , Menthol ทำให้ผิวสดชื่น ผ่อนคลาย และ Urea ที่ช่วยลดการระคายเคือง ให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื้นมากขึ้น
  • ใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับคนเป็นสิวโดยเฉพาะ
    อย่าง acne one เป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกคิดค้นเพื่อคนเป็นสิวโดยเฉพาะ ที่ช่วยขจัดความมันส่วนเกิน ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่หมดสภาพ ลดการอุดตันในรูขุมขน โดยมีส่วนประกอบสำคัญคือ acne complex ช่วยผลัดเซลล์ผิว เผยผิวใหม่ให้ดูกระจ่างใสขึ้น ลดเลือนจุดด่างดำ , Bexaretinyl complex เป็นอนุพันธ์ของเรตินอล ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้หลุดออกมา เพื่อลดการอุดตันหรือการสะสมของเซลล์ผิวที่ตายแล้ว, Serenoa serrulata Fruit Extract ช่วยขจัดความมันส่วนเกิน
  • ฟื้นบำรุงอย่างตรงจุด
    Imperfection Control เป็นผลิตภัณฑ์ที่ฟื้นบำรุงเฉพาะจุด สำหรับผิวมันและผิวที่เป็นสิวง่าย โดยเฉพาะในบริเวณที่เคยเป็นสิว รอยด่างดำต่างๆบนผิว ความพิเศษของผลิตภัณฑ์ตัวนี้คือเมื่อทาลงบนผิว เนื้อครีมจะเปลี่ยนเป็นสีเนื้อ ที่สามารถช่วยปกปิดรอยสิว รอยแดง รอยดำได้ ซึ่งมีส่วนประกอบที่สำคัญ คือ acne complex ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าเพื่อเผยผิวใหม่ที่กระจ่างใสมากขึ้น , Bexaretinyl complex ที่มีอนุพันธ์ของเรตินอล ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพให้หลุดออกมา เพื่อลดการอุดตันของเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และ Enoxolone ซึ่งเป็นสารสกัดจากชะเอมเทศ ที่ช่วยลดรอยด่างดำให้ดูจางลง

ไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหมคะ ว่าความเครียดสามารถส่งผลกระทบต่อสภาพผิวของคนเราได้มากขนาดนี้ สิ่งที่ช่วยได้มากคือการป้องกันไม่ให้ภาวะต่างๆเหล่านั้นเกิดขึ้นจนยากที่จะต้องกลับไปแก้ไข ด้วยการหันมาดูแล ใส่ใจสุขภาพจิตภายในกันอีกสักนิด ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อน การออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อไม่ให้เกิดภาวะความเครียดสะสมมากจนเกินไป แล้วส่งผลร้ายต่อผิวหน้าสวยๆของคุณ