ครีมทาฝ้า ยี่ห้อไหนดี ครีมทาฝ้ายี่ห้อไหนดังใช้มาหมดแล้ว หน้าก็ยังไม่ดีขึ้น?
หนึ่งในสภาพผิวที่ปัญหาสร้างให้กับผิวหน้าได้อย่างไม่หยุดหย่อน แถมยังไม่มีวี่แววว่าจะรักษาให้หายขาดได้นั่นก็คือ “ฝ้า” ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการที่เซลล์เม็ดสีหรือเมลานิน (Melanin Pigment) ที่มีอยู่ในร่างกายทำงานผิดปกติ อันเนื่องมาจากสิ่งเร้าหรือปัจจัยกระตุ้นทั้งจากภายนอกและภายใน ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด ความร้อน ฝุ่นควัน ฝุ่นละออง การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน รวมถึงความเครียดและพักผ่อนไม่เพียงพอ ก็สามารถทำให้เกิดฝ้าขึ้นมาได้ ถึงแม้ฝ้าจะไม่ได้สร้างปัญหาให้กับร่างกายโดยตรง แต่เชื่อว่าส่งผลต่อสภาพจิตใจและความมั่นใจต่อทุกคนที่ประสบกันปัญหานี้ และถึงแม้ว่าทุกวันนี้ จะมีวิธีการรักษาฝ้าในหลากหลายรูปแบบและวิธีการ แต่ปัญหาซ้อนปัญหาก็คือว่ารักษาอย่างไรก็ไม่ดีขึ้น รักษาอย่างไรก็ไม่หาย กลายเป็นปัญหาใหญ่ระดับสากลของผิวหน้า รวมถึงการรักษาโดยใช้ครีมทาฝ้าที่มีอยู่ในท้องตลาดด้วยเช่นกัน วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกันค่ะว่าครีมทาฝ้าแบบไหนที่รักษาฝ้าได้ถึงต้นตอ
ทำไม ครีมทาฝ้า ทั่วไปในท้องตลาดจึงใช้แล้วไม่ได้ผล?
สาเหตุที่ทำให้ครีมทาฝ้าในท้องตลาด ไม่สามารถตอบโจทย์ หรือใช้แล้วไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการนั้น มีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
- ครีมทาฝ้าเหล่านั้น ไม่ได้ช่วยรักษาฝ้าที่ต้นตอ
โดยปกติในร่างกายของคนเราจะมีเซลล์ที่เรียกว่า “เมลาโนไซด์” อยู่ ซึ่งเซลล์ตัวนี้เป็นเหมือนโรงงานผลิตเม็ดสีเลยก็ว่าได้ โดยจะมีหน้าที่ในการสร้างถุงเม็ดสี “เมลานิน” ซึ่งเมลานินจะผลิตเม็ดสีเพิ่มมากขึ้นเมื่อถูกกระตุ้นด้วยปัจจัยต่างๆไม่ว่าจะเป็นแสงแดด ความร้อนหรือระบบฮอร์โมนในร่างกายและจะมีการสะสมของเม็ดสีเพิ่มมากขึ้นที่ชั้นผิว นั่นจึงเป็นที่มาของฝ้า กระ จุดด่างดำ และปัญหาเหล่านี้ก็จะไม่มีวันจบสิ้น ตราบใดที่เซลล์ผลิตเม็ดสีเมลาโนไซด์ ยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง นั่นจึงเป็นคำตอบสำหรับคำถามที่ว่า ทำไมเมื่อใช้ครีมทาฝ้าในท้องตลาดมานานแล้ว หน้าก็ไม่เห็นดีขึ้น นั่นก็เป็นเพราะว่าครีมเหล่านั้นไม่ได้ช่วยรักษาฝ้าที่ต้นเหตุ ไม่มีออกฤทธิ์ในการหยุดยั้งกระบวนการทำงานของการผลิตเม็ดสี เพียงแค่ผลัดเซลล์ผิวชั้นบนเท่านั้น จึงไม่ได้ทำให้ฝ้าจางลงหรือดีขึ้นได้ - ไม่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อะไรคือความจำเป็นของการผลัดเซลล์ผิว? จำเป็นแน่นอนค่ะ เพราะเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น บวกกับความร้อน แสงแดด มลพิษ มลภาวะรอบด้านในแต่ละวัน ทำให้เซลล์ผิวชั้นนอกมีการสะสมตัวกันหนามากขึ้น และส่งผลเสียต่อสภาพผิวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นผิวหมอง ดำคล้ำ ผิวหยาบ แห้งกร้าน รวมถึงฝ้า กระ จุดด่างดำ แถมยังทำให้ครีมที่ทาไม่สามารถซึมลงลึกสู่ชั้นผิวได้ ดังนั้นการผลัดเซลล์ผิวจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ และหนึ่งในวิธีที่ผู้คนนิยมใช้ในการผลัดเซลล์ผิวกันก็คือใช้ครีมทาฝ้าที่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่มีความเข้มข้นในปริมาณที่เหมาะสมและไม่เป็นอันตรายต่อผิว ไม่ว่าจะเป็น AHA (Alpha hydroxy acid) , BHA (Beta hydroxy acid) และ PHA (Poly hydroxy acid) ทั้งยังสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว โดยไม่ทำให้ผิวระคายเคืองหรืออุดตันได้ง่าย ดังนั้น เป็นไปได้ว่า การที่ใช้ครีมทาฝ้าแล้วไม่ได้ผล ก็เนื่องมาจากครีมทาฝ้าดังกล่าวไม่มีส่วนผสมของสารที่ใช้ผลัดเซลล์ผิวหรืออาจจะมี แต่มีในปริมาณน้อยนั่นเอง - ส่วนผสมที่อยู่ในครีมทาฝ้าไม่มีคุณสมบัติในการรักษาฝ้าโดยตรง
อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ครีมทาฝ้าในท้องตลาด ไม่สามารถตอบโจทย์ได้ก็คือไม่มีส่วนผสมหลักในการรักษาฝ้าโดยตรง ซึ่งครีมทาฝ้าที่มีสรรพคุณในการรักษาฝ้า จะต้องมีส่วนผสมของสารสกัดต่อไปนี้- กรดโคจิก(Kojic Acid)
กรดโคจิก เป็นส่วนผสมที่ยืนหนึ่งในครีมทาฝ้าที่มีประสิทธิภาพสูง เป็นกรดอินทรีย์ที่ผลิตมาจากเชื้อราหลายชนิด โดยกระบวนการหมักแบบใช้อากาศ มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวตั้งแต่ระดับเซลล์ผลิตเม็ดสีเมลาโนไซต์ เรียกได้ว่ารักษาฝ้ากันตั้งแต่ต้นตอกันเลยทีเดียว ทั้งยังช่วยปรับสภาพผิวให้ขาวกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติอีกด้วย - อัลฟ่า อาร์บูติน (Alpha Arbutin)
เป็นส่วนผสมสำคัญในครีมทาฝ้า เป็นสารสกัดจากพืชชนิดหนึ่งที่เรียกว่า bearberry ที่ช่วยในการยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวได้โดยตรง ซึ่งจากการศึกษาพบว่าอาร์บูตินชนิดอัลฟา (alpha arbutin)นี้ มักถูกนำไปใช้ในครีมทาฝ้า เนื่องจากสามารถออกฤทธิ์ในการยับยั้งการทำงานของปฏิกิริยาออกซิเดชั่น(Oxidation) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ช่วยในการยับยั้งเม็ดสีเมลานินได้โดยตรง - Vitamin B3 (วิตามิน บี3)
อีกหนึ่งส่วนผสมที่ช่วยลดปริมาณเม็ดสีในผิวได้ดีคือวิตามินบี 3 หรือ Niacinamide นอกจากนั้น ยังมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มเมตาบอลิซึ่มและลดของเสียภายในผิวได้ดีอีกด้วย ทั้งยังช่วยเพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวแน่น กระชับ พร้อมช่วยเสริมประสิทธิภาพในการรักษาฝ้า จุดด่างดำได้ดีมากยิ่งขึ้นด้วย - Ectoin (Extremolytes)
เรื่องการเสริมเกราะปกป้องผิวและสร้างความแข็งแรงให้กับผิว ต้องยกให้ส่วนผสมนี้เลย ซึ่งนับเป็นกรดอะมิโน(post-biotic) ที่สกัดจากชีวโมเลกุล Extremophilic organisms ที่ครีมทาฝ้าที่มีประสิทธิภาพนิยมนำมาเป็นส่วนผสมสำคัญ นอกจากนั้นยังสามารถช่วยป้องกันผิวจากการทำร้ายของรังสี UV-B ทั้งยังช่วยลดการสะสมของอนุมูลอิสระบนชั้นผิว ช่วยยับยั้งกระบวนการอักเสบของผิวที่เกิดจากรังสี UV-A และยังทำให้ผิวมีความชุ่มชื้นที่ยาวนานอีกด้วย - Squalane (สควาเลน)
เป็นน้ำมันชนิดหนึ่งที่ร่างกายของเราสามารถผลิตออกมาได้เอง แต่จะลดลงเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้เกิดปัญหาผิวตามมามากมาย แต่ในปัจจุบันได้มีการสกัดน้ำมันชนิดนี้ขึ้นมา เพื่อช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ ทั้งยังช่วยเสริมเกราะปกป้องผิว ช่วยเคลือบผิวให้มีความชุ่มชื้น ไม่ให้สูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงตามธรรมชาติไป - Bisabolol
เป็นสารสกัดจากดอกคาโมมายล์ มีสรรพคุณช่วยยับยั้งและลดการระคายเคืองของผิวหนัง ช่วยให้ผิวผ่อนคลาย ต้านเชื้อแบคทีเรีย ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น เพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิว ทำให้ผิวกระชับแน่น และกระจ่างใส - สารสกัดจากว่านหางจระเข้ (Aloe barbadensis Leaf Juice)
มีคุณสมบัติช่วยในการบำรุงผิวให้นุ่มชุ่มชื้นอยู่เสมอ ช่วยให้ผิวเรียบเนียน พร้อมกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ป้องกันการอักเสบของผิว อุดมไปด้วยสารที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระมากมาย
- กรดโคจิก(Kojic Acid)
- มีสารอันตรายปนเปื้อน
หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อของ “ครีมเถื่อน” เป็นครีมที่มีส่วนผสมของพวกสารอันตรายที่ทำให้หน้าขาวใสใน 3 วัน 7 วัน จำพวกสารไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) สารปรอท (Mercury) สารสเตียรอยด์ (Steroids) สารตะกั่ว (Lead) รวมถึงพาราเบน (Paraben) ที่ทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง ทำลายเกราะปกป้องผิว ทำให้เกิดอาการแพ้ที่แสดงออกมาในลักษณะของสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ รูขุมขนกว้าง ผิวแห้งกร้านและอื่นๆตามมาอีกเพียบ - ขาดความต่อเนื่องในการใช้ครีมทาฝ้า
ไม่ว่าจะรักษาฝ้าด้วยวิธีไหนมาก็ตาม สิ่งสำคัญที่จะต้องทำตามมาคือ การดูแลผิวอย่างต่อเนื่องด้วยครีมทาฝ้าและครีมบำรุงที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและเสริมเกราะปกป้องผิวให้แข็งแรง นอกจากนั้นควรทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกครั้งทั้งตอนออกจากบ้านที่ต้องเผชิญกับรังสีอัลตร้าไวโอเล็ต แสงแดดจ้า และตอนที่อยู่ในร่ม เนื่องจากเราต้องได้สัมผัสกับแสงสีฟ้าจากจอคอมพิวเตอร์ จอมือถือ ความร้อนจากเตาทำอาหารหรือหลอดไฟจากแสงนีออนอยู่ทุกวัน ดังนั้นการทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ ทุกวัน จึงเป็นสิ่งสำคัญที่คนเป็นฝ้าต้องใช้ควบคู่กับครีมทาฝ้าเลยทีเดียว โดยให้เลือกครีมกันแดดที่เหมาะกับสภาพผิว มีค่าการปกป้อง SPF สูง ช่วยปกป้องได้ทั้งรังสียูวีเอ และยูวีบีได้อย่างมีประสิทธิภาพ - เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต
ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีหลายพฤติกรรมที่เป็นอุปสรรคในการรักษาฝ้า เช่น มีความเครียดสะสม,พักผ่อนไม่เพียงพอ, รับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ทำให้ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ, ดื่มน้ำน้อย สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้เซลล์เม็ดสีทำงานผิดปกติจนทำให้เกิดเป็นฝ้าขึ้นมาได้ - ไม่อดทน
การรักษาฝ้าเป็นเรื่องที่ต้องอดทนเพราะต้องใช้ระยะเวลา ในกรณีของครีมทาฝ้าอาจจะไม่ได้ทาเพียงสัปดาห์แล้วหายและอาจจะไม่ได้เห็นผลลัพธ์ในทันทีทันใด ต้องใช้เวลา ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของแต่ละเคส - มีปัญหาผิวอย่างอื่นร่วมด้วย
อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้การใช้ครีมทาฝ้าไม่ได้ผลลัพธ์เท่าที่ควร คือการที่ผิวหน้าของเรามีปัญหาผิวอื่นๆร่วมด้วย ไม่ได้มีแค่ฝ้าเพียงอย่างเดียว เช่น มีสิว กระ หน้าหมองคล้ำ รูขุมขนกว้าง หรือจุดด่างดำด้วยเป็นต้น ซึ่งปัญหาเหล่านี้ อาจส่งผลให้ผลลัพธ์ของครีมทาฝ้าไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวัง
คุณสมบัติของครีมรักษาฝ้าที่ใช้แล้วได้ผลดี
“ฝ้า” ไม่ว่าจะมีสาเหตุมาจากอะไร ก็ล้วนแต่สร้างความหนักใจให้กับทุกคนที่เป็น ในปัจจุบันมีครีมทาฝ้ามากมาย ที่เคลมว่าสามารถช่วยทำให้ฝ้าจางลงได้ แล้วครีมทาฝ้าที่ดีต้องมีคุณสมบัติอย่างไร?
- สามารถรักษาฝ้าได้ตั้งแต่ต้นตอการเกิดฝ้า
ครีมทาฝ้าที่ดี จะต้องสามารถช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าตั้งแต่โรงงานผลิตเม็ดสีหรือ “เมลาโนไซด์” ที่มีการสร้างถุงเม็ดสีในร่างกายของคนเราอย่างต่อเนื่อง และถ้าหากมีสิ่งเร้าทั้งจากภายในและภายนอกมากระตุ้นก็ยิ่งทำให้มีการผลิตเม็ดสีออกมามากขึ้นจนทำให้เกิดเป็นฝ้าที่มองเห็นได้ ดังนั้นครีมรักษาฝ้าที่ดี จะต้องไม่เพียงแค่ช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นบน แต่ต้องตอบโจทย์การรักษาตั้งแต่รากลึกของการเกิดฝ้า โดยการช่วยป้องกันและลดการสร้างเม็ดสีผิว ทั้งยังช่วยเปลี่ยนเม็ดสีผิวที่เกิดขึ้นมาแล้วให้ดูจางลงด้วย - ช่วยทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรง
ครีมทาฝ้าที่ดี จะต้องช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นที่ชั้นผิวหนัง เพื่อให้ผิวดูกระชับ เต่งตึง ยืดหยุ่น ไม่หย่อนคล้อย ทั้งยังช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยและริ้วรอยที่จะเกิดใหม่ได้ด้วย เรียกได้ว่าเป็นการซ่อมแซมผิวให้แข็งแรงขึ้นจากภายใน - ป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว
เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น บวกกับสิ่งกระตุ้นจากปัจจัยต่างๆ ทำให้เซลล์ผิวของคนเราเสื่อมสภาพลงตามธรรมชาติ และยังมีปัญหาผิวมากมายตามมา - ช่วยบำรุงผิวให้มีความชุ่มชื้น อิ่มน้ำ ดูสุขภาพดี
ถ้าหากผิวหน้าขาดความชุ่มชื้นหรือน้ำหล่อเลี้ยงผิว ก็จะทำให้ผิวแห้งกร้านและทำให้เกิดฝ้าขึ้นมาได้ ดังนั้น ครีมทาฝ้าที่ดีจะต้องมีส่วนผสมของสารสกัดว่านหางจระเข้ ที่จะช่วยบำรุงผิวให้นุ่มชุ่มชื้น ลดการสูญเสียน้ำ ทำให้ผิวอิ่มน้ำ ลดการระคายเคืองของผิวได้ ทั้งยังช่วยปลอบประโลมผิวและช่วยกระชับรูขุมขนให้เล็กลงได้ด้วย - มีส่วนผสมที่เข้มข้นแต่อ่อนโยนต่อสภาพผิว
ครีมทาฝ้าที่ดี ไม่เพียงแต่มีส่วนผสมที่ช่วยรักษาฝ้าได้อย่างตรงจุดเท่านั้น แต่ยังมีต้องมีส่วนผสมที่เข้มข้น เพื่อที่จะสามารถรักษาฝ้า จุดด่างดำได้ถึงรากถึงโคน ที่สำคัญส่วนผสมเหล่านั้นจะต้องมีความอ่อนโยน โดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือเกิดอาการแพ้ ไม่สร้างความเสียหายให้ผิวทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว - ไม่มีส่วนผสมของสารอันตราย
สารอันตรายต่างๆที่ถูกนำมาผสมในเครื่องสำอางค์หรือครีมที่ไม่ได้มาตรฐาน มี่มักอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง สามารถทำลายได้ตั้งแต่โครงสร้างผิวและทำให้ผิวเกิดปัญหามากมายตามมา รวมถึงปัญหาเรื่องฝ้าและจุดด่างดำด้วย ดังนั้น ถ้าไม่อยากฝันร้ายระยะยาว ควรเลี่ยงการใช้ครีมทาฝ้าที่มีส่วนผสมของสารอันตรายเหล่านี้ - เป็นครีมที่ได้รับการรับรอง
แน่นอนว่าการเลือกครีมทาฝ้ามาใช้ ควรพิจารณาในเรื่องชื่อเสียงของแบรนด์ ความน่าเชื่อถือ มีงานศึกษาวิจัยรองรับ โดยให้เลือกผลิตภัณฑ์จากบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในการดูแลผิวหน้าโดยเฉพาะ เพื่อความปลอดภัยพร้อมให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ยิ่งมีบริการให้คำแนะนำด้วย ก็จะยิ่งช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้ได้มากยิ่งขึ้น
ทำไมต้องประเมินผิวหน้าก่อนใช้ ครีมทาฝ้า?
การประเมินผิวหน้าก่อนการรักษาฝ้าเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็น เพื่อที่จะได้วางแผนการรักษาได้อย่างถูกต้องและตรงจุด โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
- การประเมินผิวหน้า เป็นการช่วยระบุปัญหาผิวได้อย่างชัดเจน ว่าเป็นฝ้าประเภทใด มีระดับความรุนแรงมากน้อยเพียงใด มีปัญหาผิวอย่างอื่นร่วมด้วยหรือไม่
- การประเมินผิวหน้า ช่วยให้สามารถเลือกผลิตภัณฑ์ครีมทาฝ้าที่เหมาะสมกับปัญหาผิว เพื่อการรักษาที่ได้ผลดี
- การประเมินผิวหน้า จะช่วยประเมินความสามารถของผิว ว่าผิวมีแนวโน้มที่จะระคายเคืองง่ายหรือไม่ ผิวบอบบางหรืออ่อนโยนหรือไม่ รวมถึงความสามารถในการทนทานต่อส่วนผสมที่อยู่ในครีมทาฝ้าด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยป้องกันผิวหน้าไม่ให้มีความเครียดหรือพร้อมรับมือกับผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น
cosmelan ตอบโจทย์การรักษาฝ้าด้วยส่วนผสมจากสารสกัดธรรมชาติเกรดพรีเมี่ยม
Cosmelan by mesoestetic เป็นหนึ่งในครีมทาฝ้าสัญชาติสเปน เมดิคอลเกรด(Medical Grade) ที่ได้รับความนิยมจากผู้คนมาทั่วทุกมุมโลก มีการศึกษาวิจัยมายาวนานกว่า 38 ปี โดยได้มีการจัดจำหน่ายไปแล้วมากกว่า 1 ล้านชุด กว่า 90 ประเทศทั่วโลก ซึ่งจากผลการศึกษาพบว่า ครีมทาฝ้า Cosmelan สามารถกำจัดฝ้า จุดด่างดำที่ฝังลึกมานานหลายปีได้มากถึง 81% โดยได้ยับยั้งการสร้างเม็ดสีที่โรงงานผลิตเม็ดสีเมลาโนไซต์ ช่วยยับยั้งการขนส่งเม็ดสีจากด้านล่างของเซลล์สู่ผิวหนังชั้นบน ช่วยลดการสะสมของเม็ดสีในชั้นผิว และที่สำคัญช่วยขจัดเม็ดสีบนผิวออกไป เรียกได้ว่าเป็นกระบวนการกำจัดฝ้าตั้งแต่ต้นตอเลยก็ว่าได้ ไม่เพียงเท่านั้น ครีมทาฝ้า cosmelan ยังช่วยลดการเกิดใหม่ของฝ้าได้อีกด้วย ด้วยส่วนผสมจากสารสกัดธรรมชาติเกรดพรีเมี่ยมมากมาย ที่คัดสรรมาเพื่อช่วยรักษาและฟื้นฟูผิวหน้าให้กลับมาแข็งแรงได้อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น กรดโคจิก (Kojic Acid) ที่เรียกได้ว่าเป็นราชินีของส่วนผสมในการรักษาฝ้าเลยก็ว่าได้ , อัลฟ่า อาร์บูติน (Alpha Arbutin) ที่ช่วยยับยั้งปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของผิว และช่วยยับยั้งการผลิตเม็ดสีผิวเมลานินโดยตรง,วิตามินบี 3 หรือ Niacinamide ที่ช่วยเพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจนและอีลาสตินภายในผิว ช่วยให้ผิวกระชับ พร้อมปรับสีผิวให้กระจ่างใส, Ectoin(Extremolytes) ที่มีหน้าที่ช่วยสร้างความแข็งแรงให้แก่ผิว และช่วยต้านอนุมูลอิสระจากภายนอก, Squalane(สควาเลน) ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้นได้ยาวนานยิ่งขึ้น, Phytic Acid ช่วยป้องกันการเกิดจุดด่างดำ ทำให้หน้ากระจ่างใส, Azelaic Acid ช่วยลดเลือนจุดด่างดำและลดความหมองคล้ำของผิว , Ascorbic Acid ช่วยปรับสีผิวให้ดูกระจ่างใสยิ่งขึ้น , Licorice ช่วยลดเลือนริ้วรอย ทำให้ผิวดูกระจ่างใสและช่วยป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอยขึ้นมาใหม่ , Aloe barbadensis Leaf Juice สารสกัดจากว่านหางจระเข้ ที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น พร้อมกระตุ้นคอลลาเจน ลดการอักเสบ การระคายเคืองผิวได้, Retinyl Palmitate ช่วยฟื้นบำรุงและปรับสภาพผิวและ Salicylic Acid ช่วยผลัดเซลล์ผิวให้กระจ่างใสและสีผิวสม่ำเสมอ เรียกได้ว่าเป็นการผสมผสานส่วนผสมสำคัญได้อย่างลงตัว อัดแน่นลงในครีมทาฝ้าโดยให้ใช้ควบคู่กัน ทั้ง cosmelan1 และ cosmelan2
ในส่วนของ cosmelan1 เป็นมาส์กลอกฝ้าที่ใช้มาส์กหน้าเพียงครั้งเดียว ช่วยผลัดเซลล์ผิวด้านบนให้หลุดออก ด้วยสารสกัดธรรมชาติที่มีความเข้มข้นสูง ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอก ช่วยลดเลือนฝ้ากระบนผิวได้ดี โดยให้มาส์กทิ้งไว้ประมาณ 8-12 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและประเภทของสีผิว ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีการประเมินผิวก่อนจากผู้เชี่ยวชาญ ก่อนมาส์กให้ทาวาสลีนบริเวณผิวหนังที่บอบบาง อย่างเช่นบริเวณมุมปาก ใต้ตาหรือร่องจมูก เพื่อป้องกันการระคายเคือง
ในส่วนของครีมทาฝ้า cosmelan 2 เป็น maintenance cream ให้ใช้ทาได้อย่างต่อเนื่อง มีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิวและยับยั้งการสร้างเม็ดสี ให้ใช้หลังจากที่ใช้ cosmelan 1 ซึ่งสามารถช่วยป้องกันการเกิดรอยดำขึ้นมาใหม่ ป้องกันการเกิดรอยดำซ้ำ ทั้งยังช่วยคงไว้ซึ่งผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว ส่วนวิธีการใช้ ให้ทำความสะอาดผิวหน้า ซับหน้าให้แห้ง จากนั้นให้ทาครีมทาฝ้า cosmelan 2 ให้ทั่วผิวหน้า ยกเว้นรอบดวงตา
ดูแลผิวหน้าอย่างไรในช่วงรักษาฝ้า
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในช่วงการใช้ครีมทาฝ้าเพื่อการรักษา มีข้อควรปฏิบัติดังต่อไปนี้
- ทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาด
ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่มีความอ่อนโยน ปราศจากสารอันตราย เหมาะกับสภาพผิว ที่มีคุณสมบัติช่วยชะล้างสิ่งสกปรกบนผิวหน้าได้อย่างสะอาดหมดจด หลังจากที่หน้าสะอาดแล้ว ซับหน้าให้แห้ง แล้วให้ใช้ Degreasing solution จาก mesoestetic ที่อยู่ในเซ็ทครีมทางฝ้ามาเช็ดทำความสะอาดผิวหน้าอีกครั้ง ก่อนที่จะทำการบำรุงด้วยครีมต่อไป ซึ่งตัว Degreasing solution จะช่วยขจัดน้ำมันส่วนเกินและสิ่งที่ตกค้างอยู่บนผิวหน้า เป็นการเปิดช่องทางให้ผิวสามารถดูดซึมสารสำคัญจากครีมได้ดีมากยิ่งขึ้น - ทำตามคำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ
ในการใช้ครีมทาฝ้าให้ปลอดภัย จำเป็นที่จะต้องได้รับความแนะนำที่เหมาะสมจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากอาจเกิดอาการหรือผลข้างเคียงขึ้น จะได้รับคำปรึกษาที่ถูกต้องและมีความปลอดภัยในการใช้ - ทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ
แสงแดด ความร้อน นี่คือตัวการสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าและจุดด่างดำ ถ้าหากไม่ป้องกัน มีโอกาสที่ฝ้าจะเข้มขึ้น ลึกขึ้น ยากต่อการรักษา ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดเป็นเวลานานๆ แต่ถ้าหากจำเป็นควรหาอุปกรณ์ที่ช่วยป้องกันแสงแดด ไม่ว่าจะเป็นหมวก ร่ม เสื้อผ้า และที่สำคัญให้ทาครีมกันแดดทุกครั้งทั้งที่ต้องเผชิญกันแสงแดดและที่อยู่ในร่ม เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามใหญ่โตออกไป ให้เลือกครีมกันแดดที่มีค่าการปกป้องสูง และให้ทาซ้ำระหว่างวัน ที่สำคัญเลือกครีมกันแดดที่เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละคนด้วย เราขอแนะนำครีมกันแดดประสิทธิภาพสูงด้วย SPF 50+ mesoprotech melan 130 pigment control ที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวี ทั้งยูวีเอและยูวีบี ที่ช่วยลดเลือนและป้องกันการเกิดจุดด่างดำและลดความหมองคล้ำของผิว ด้วยเนื้อครีมกันแดดสีเบจ ที่ช่วยปกปิดจุดด่างดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ - รับการประเมินผิวหน้าอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อติดตามความคืบหน้าในการรักษาฝ้า รวมถึงการขอรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญในขณะที่ใช้ผลิตภัณฑ์ครีมทาฝ้า เพื่อการรักษาที่ปลอดภัยและได้ผลจริง
การรักษาฝ้าด้วย ครีมทาฝ้า แน่นอนว่าอาจจะต้องใช้เวลาในการรักษาที่แตกต่างกันตามแต่ละสภาพผิวของแต่ละคน แต่สิ่งสำคัญคือควรเข้ารับการประเมินสภาพผิวหน้าก่อนเริ่มรักษา และควรเลือกใช้ครีมทาฝ้าที่เหมาะกับสภาพผิวและระดับความรุนแรงของฝ้า ควรมีการศึกษาข้อมูล รายละเอียดและวิธีการใช้ครีมทาฝ้านั้นๆอย่างละเอียด เพื่อจะได้รักษาได้อย่างตรงจุด ปลอดภัย และเห็นผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจอย่างแท้จริง