“ครีมทาฝ้า” คือหนึ่งในวิธีการรักษาฝ้ายอดนิยม เพื่อจัดการกับฝ้า ที่เป็นปัญหาผิวที่สร้างความกังวลใจให้หลายคน ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นใจในชีวิตประจำวัน มีสรรพคุณช่วยลดเลือนฝ้าให้จางลงได้ แต่รู้หรือไม่ว่า หากใช้ไม่ถูกวิธี หรือเลือกครีมที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้ผิวระคายเคือง หรือเห็นผลลัพธ์ช้ากว่าที่ควรจะเป็น บทความนี้ จะพาคุณไปเจาะลึกวิธีการใช้ครีมทาฝ้าอย่างได้ผลไวและปลอดภัย พร้อมแนะนำการดูแลผิวให้แข็งแรง เพื่อผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและปลอดภัยในระยะยาว
ทำไม ครีมทาฝ้า ทั่วไปในท้องตลาดจึงใช้แล้วไม่ได้ผล?
สาเหตุที่ทำให้ครีมทาฝ้าในท้องตลาด ไม่สามารถตอบโจทย์ หรือใช้แล้วไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการนั้น มีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
- ครีมทาฝ้าเหล่านั้น ไม่ได้ช่วยรักษาฝ้าที่ต้นตอ
โดยปกติในร่างกายของคนเราจะมีเซลล์ที่เรียกว่า “เมลาโนไซด์” อยู่ ซึ่งเซลล์ตัวนี้เป็นเหมือนโรงงานผลิตเม็ดสีเลยก็ว่าได้ โดยจะมีหน้าที่ในการสร้างถุงเม็ดสี “เมลานิน” ซึ่งเมลานินจะผลิตเม็ดสีเพิ่มมากขึ้นเมื่อถูกกระตุ้นด้วยปัจจัยต่างๆไม่ว่าจะเป็นแสงแดด ความร้อนหรือระบบฮอร์โมนในร่างกายและจะมีการสะสมของเม็ดสีเพิ่มมากขึ้นที่ชั้นผิว นั่นจึงเป็นที่มาของฝ้า กระ จุดด่างดำ และปัญหาเหล่านี้ก็จะไม่มีวันจบสิ้น ตราบใดที่เซลล์ผลิตเม็ดสีเมลาโนไซด์ ยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง นั่นจึงเป็นคำตอบสำหรับคำถามที่ว่า ทำไมเมื่อใช้ครีมทาฝ้าในท้องตลาดมานานแล้ว หน้าก็ไม่เห็นดีขึ้น นั่นก็เป็นเพราะว่าครีมเหล่านั้นไม่ได้ช่วยรักษาฝ้าที่ต้นเหตุ ไม่มีออกฤทธิ์ในการหยุดยั้งกระบวนการทำงานของการผลิตเม็ดสี เพียงแค่ผลัดเซลล์ผิวชั้นบนเท่านั้น จึงไม่ได้ทำให้ฝ้าจางลงหรือดีขึ้นได้ - ไม่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อะไรคือความจำเป็นของการผลัดเซลล์ผิว? จำเป็นแน่นอนค่ะ เพราะเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น บวกกับความร้อน แสงแดด มลพิษ มลภาวะรอบด้านในแต่ละวัน ทำให้เซลล์ผิวชั้นนอกมีการสะสมตัวกันหนามากขึ้น และส่งผลเสียต่อสภาพผิวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นผิวหมอง ดำคล้ำ ผิวหยาบ แห้งกร้าน รวมถึงฝ้า กระ จุดด่างดำ แถมยังทำให้ครีมที่ทาไม่สามารถซึมลงลึกสู่ชั้นผิวได้ ดังนั้นการผลัดเซลล์ผิวจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ และหนึ่งในวิธีที่ผู้คนนิยมใช้ในการผลัดเซลล์ผิวกันก็คือใช้ครีมทาฝ้าที่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่มีความเข้มข้นในปริมาณที่เหมาะสมและไม่เป็นอันตรายต่อผิว ไม่ว่าจะเป็น AHA (Alpha hydroxy acid) , BHA (Beta hydroxy acid) และ PHA (Poly hydroxy acid) ทั้งยังสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว โดยไม่ทำให้ผิวระคายเคืองหรืออุดตันได้ง่าย ดังนั้น เป็นไปได้ว่า การที่ใช้ครีมทาฝ้าแล้วไม่ได้ผล ก็เนื่องมาจากครีมทาฝ้าดังกล่าวไม่มีส่วนผสมของสารที่ใช้ผลัดเซลล์ผิวหรืออาจจะมี แต่มีในปริมาณน้อยนั่นเอง - ส่วนผสมที่อยู่ในครีมทาฝ้าไม่มีคุณสมบัติในการรักษาฝ้าโดยตรง
อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ครีมทาฝ้าในท้องตลาด ไม่สามารถตอบโจทย์ได้ก็คือไม่มีส่วนผสมหลักในการรักษาฝ้าโดยตรง ซึ่งครีมทาฝ้าที่มีสรรพคุณในการรักษาฝ้า จะต้องมีส่วนผสมของสารสกัดต่อไปนี้- กรดโคจิก(Kojic Acid)
กรดโคจิก เป็นส่วนผสมที่ยืนหนึ่งในครีมทาฝ้าที่มีประสิทธิภาพสูง เป็นกรดอินทรีย์ที่ผลิตมาจากเชื้อราหลายชนิด โดยกระบวนการหมักแบบใช้อากาศ มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวตั้งแต่ระดับเซลล์ผลิตเม็ดสีเมลาโนไซต์ เรียกได้ว่ารักษาฝ้ากันตั้งแต่ต้นตอกันเลยทีเดียว ทั้งยังช่วยปรับสภาพผิวให้ขาวกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติอีกด้วย - อัลฟ่า อาร์บูติน (Alpha Arbutin)
เป็นส่วนผสมสำคัญในครีมทาฝ้า เป็นสารสกัดจากพืชชนิดหนึ่งที่เรียกว่า bearberry ที่ช่วยในการยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวได้โดยตรง ซึ่งจากการศึกษาพบว่าอาร์บูตินชนิดอัลฟา (alpha arbutin)นี้ มักถูกนำไปใช้ในครีมทาฝ้า เนื่องจากสามารถออกฤทธิ์ในการยับยั้งการทำงานของปฏิกิริยาออกซิเดชั่น(Oxidation) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ช่วยในการยับยั้งเม็ดสีเมลานินได้โดยตรง - Vitamin B3 (วิตามิน บี3)
อีกหนึ่งส่วนผสมที่ช่วยลดปริมาณเม็ดสีในผิวได้ดีคือวิตามินบี 3 หรือ Niacinamide นอกจากนั้น ยังมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มเมตาบอลิซึ่มและลดของเสียภายในผิวได้ดีอีกด้วย ทั้งยังช่วยเพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวแน่น กระชับ พร้อมช่วยเสริมประสิทธิภาพในการรักษาฝ้า จุดด่างดำได้ดีมากยิ่งขึ้นด้วย - Ectoin (Extremolytes)
เรื่องการเสริมเกราะปกป้องผิวและสร้างความแข็งแรงให้กับผิว ต้องยกให้ส่วนผสมนี้เลย ซึ่งนับเป็นกรดอะมิโน(post-biotic) ที่สกัดจากชีวโมเลกุล Extremophilic organisms ที่ครีมทาฝ้าที่มีประสิทธิภาพนิยมนำมาเป็นส่วนผสมสำคัญ นอกจากนั้นยังสามารถช่วยป้องกันผิวจากการทำร้ายของรังสี UV-B ทั้งยังช่วยลดการสะสมของอนุมูลอิสระบนชั้นผิว ช่วยยับยั้งกระบวนการอักเสบของผิวที่เกิดจากรังสี UV-A และยังทำให้ผิวมีความชุ่มชื้นที่ยาวนานอีกด้วย - Squalane (สควาเลน)
เป็นน้ำมันชนิดหนึ่งที่ร่างกายของเราสามารถผลิตออกมาได้เอง แต่จะลดลงเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้เกิดปัญหาผิวตามมามากมาย แต่ในปัจจุบันได้มีการสกัดน้ำมันชนิดนี้ขึ้นมา เพื่อช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ ทั้งยังช่วยเสริมเกราะปกป้องผิว ช่วยเคลือบผิวให้มีความชุ่มชื้น ไม่ให้สูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงตามธรรมชาติไป - Bisabolol
เป็นสารสกัดจากดอกคาโมมายล์ มีสรรพคุณช่วยยับยั้งและลดการระคายเคืองของผิวหนัง ช่วยให้ผิวผ่อนคลาย ต้านเชื้อแบคทีเรีย ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น เพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิว ทำให้ผิวกระชับแน่น และกระจ่างใส - สารสกัดจากว่านหางจระเข้ (Aloe barbadensis Leaf Juice)
มีคุณสมบัติช่วยในการบำรุงผิวให้นุ่มชุ่มชื้นอยู่เสมอ ช่วยให้ผิวเรียบเนียน พร้อมกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ป้องกันการอักเสบของผิว อุดมไปด้วยสารที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระมากมาย
- กรดโคจิก(Kojic Acid)
- มีสารอันตรายปนเปื้อน
หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อของ “ครีมเถื่อน” เป็นครีมที่มีส่วนผสมของพวกสารอันตรายที่ทำให้หน้าขาวใสใน 3 วัน 7 วัน จำพวกสารไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) สารปรอท (Mercury) สารสเตียรอยด์ (Steroids) สารตะกั่ว (Lead) รวมถึงพาราเบน (Paraben) ที่ทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง ทำลายเกราะปกป้องผิว ทำให้เกิดอาการแพ้ที่แสดงออกมาในลักษณะของสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ รูขุมขนกว้าง ผิวแห้งกร้านและอื่นๆตามมาอีกเพียบ - ขาดความต่อเนื่องในการใช้ครีมทาฝ้า
ไม่ว่าจะรักษาฝ้าด้วยวิธีไหนมาก็ตาม สิ่งสำคัญที่จะต้องทำตามมาคือ การดูแลผิวอย่างต่อเนื่องด้วยครีมทาฝ้าและครีมบำรุงที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและเสริมเกราะปกป้องผิวให้แข็งแรง นอกจากนั้นควรทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกครั้งทั้งตอนออกจากบ้านที่ต้องเผชิญกับรังสีอัลตร้าไวโอเล็ต แสงแดดจ้า และตอนที่อยู่ในร่ม เนื่องจากเราต้องได้สัมผัสกับแสงสีฟ้าจากจอคอมพิวเตอร์ จอมือถือ ความร้อนจากเตาทำอาหารหรือหลอดไฟจากแสงนีออนอยู่ทุกวัน ดังนั้นการทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ ทุกวัน จึงเป็นสิ่งสำคัญที่คนเป็นฝ้าต้องใช้ควบคู่กับครีมทาฝ้าเลยทีเดียว โดยให้เลือกครีมกันแดดที่เหมาะกับสภาพผิว มีค่าการปกป้อง SPF สูง ช่วยปกป้องได้ทั้งรังสียูวีเอ และยูวีบีได้อย่างมีประสิทธิภาพ - เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต
ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีหลายพฤติกรรมที่เป็นอุปสรรคในการรักษาฝ้า เช่น มีความเครียดสะสม,พักผ่อนไม่เพียงพอ, รับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ทำให้ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ, ดื่มน้ำน้อย สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้เซลล์เม็ดสีทำงานผิดปกติจนทำให้เกิดเป็นฝ้าขึ้นมาได้ - ไม่อดทน
การรักษาฝ้าเป็นเรื่องที่ต้องอดทนเพราะต้องใช้ระยะเวลา ในกรณีของครีมทาฝ้าอาจจะไม่ได้ทาเพียงสัปดาห์แล้วหายและอาจจะไม่ได้เห็นผลลัพธ์ในทันทีทันใด ต้องใช้เวลา ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของแต่ละเคส - มีปัญหาผิวอย่างอื่นร่วมด้วย
อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้การใช้ครีมทาฝ้าไม่ได้ผลลัพธ์เท่าที่ควร คือการที่ผิวหน้าของเรามีปัญหาผิวอื่นๆร่วมด้วย ไม่ได้มีแค่ฝ้าเพียงอย่างเดียว เช่น มีสิว กระ หน้าหมองคล้ำ รูขุมขนกว้าง หรือจุดด่างดำด้วยเป็นต้น ซึ่งปัญหาเหล่านี้ อาจส่งผลให้ผลลัพธ์ของครีมทาฝ้าไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวัง
คุณสมบัติของ ครีมทาฝ้า ที่ใช้แล้วได้ผลดี
“ฝ้า” ไม่ว่าจะมีสาเหตุมาจากอะไร ก็ล้วนแต่สร้างความหนักใจให้กับทุกคนที่เป็น ในปัจจุบันมีครีมทาฝ้ามากมาย ที่เคลมว่าสามารถช่วยทำให้ฝ้าจางลงได้ แล้วครีมทาฝ้าที่ดีต้องมีคุณสมบัติอย่างไร?
- สามารถรักษาฝ้าได้ตั้งแต่ต้นตอการเกิดฝ้า
ครีมทาฝ้าที่ดี จะต้องสามารถช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าตั้งแต่โรงงานผลิตเม็ดสีหรือ “เมลาโนไซด์” ที่มีการสร้างถุงเม็ดสีในร่างกายของคนเราอย่างต่อเนื่อง และถ้าหากมีสิ่งเร้าทั้งจากภายในและภายนอกมากระตุ้นก็ยิ่งทำให้มีการผลิตเม็ดสีออกมามากขึ้นจนทำให้เกิดเป็นฝ้าที่มองเห็นได้ ดังนั้นครีมรักษาฝ้าที่ดี จะต้องไม่เพียงแค่ช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นบน แต่ต้องตอบโจทย์การรักษาตั้งแต่รากลึกของการเกิดฝ้า โดยการช่วยป้องกันและลดการสร้างเม็ดสีผิว ทั้งยังช่วยเปลี่ยนเม็ดสีผิวที่เกิดขึ้นมาแล้วให้ดูจางลงด้วย - ช่วยทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรง
ครีมทาฝ้าที่ดี จะต้องช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นที่ชั้นผิวหนัง เพื่อให้ผิวดูกระชับ เต่งตึง ยืดหยุ่น ไม่หย่อนคล้อย ทั้งยังช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยและริ้วรอยที่จะเกิดใหม่ได้ด้วย เรียกได้ว่าเป็นการซ่อมแซมผิวให้แข็งแรงขึ้นจากภายใน - ป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว
เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น บวกกับสิ่งกระตุ้นจากปัจจัยต่างๆ ทำให้เซลล์ผิวของคนเราเสื่อมสภาพลงตามธรรมชาติ และยังมีปัญหาผิวมากมายตามมา - ช่วยบำรุงผิวให้มีความชุ่มชื้น อิ่มน้ำ ดูสุขภาพดี
ถ้าหากผิวหน้าขาดความชุ่มชื้นหรือน้ำหล่อเลี้ยงผิว ก็จะทำให้ผิวแห้งกร้านและทำให้เกิดฝ้าขึ้นมาได้ ดังนั้น ครีมทาฝ้าที่ดีจะต้องมีส่วนผสมของสารสกัดว่านหางจระเข้ ที่จะช่วยบำรุงผิวให้นุ่มชุ่มชื้น ลดการสูญเสียน้ำ ทำให้ผิวอิ่มน้ำ ลดการระคายเคืองของผิวได้ ทั้งยังช่วยปลอบประโลมผิวและช่วยกระชับรูขุมขนให้เล็กลงได้ด้วย - มีส่วนผสมที่เข้มข้นแต่อ่อนโยนต่อสภาพผิว
ครีมทาฝ้าที่ดี ไม่เพียงแต่มีส่วนผสมที่ช่วยรักษาฝ้าได้อย่างตรงจุดเท่านั้น แต่ยังมีต้องมีส่วนผสมที่เข้มข้น เพื่อที่จะสามารถรักษาฝ้า จุดด่างดำได้ถึงรากถึงโคน ที่สำคัญส่วนผสมเหล่านั้นจะต้องมีความอ่อนโยน โดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือเกิดอาการแพ้ ไม่สร้างความเสียหายให้ผิวทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว - ไม่มีส่วนผสมของสารอันตราย
สารอันตรายต่างๆที่ถูกนำมาผสมในเครื่องสำอางค์หรือครีมที่ไม่ได้มาตรฐาน มี่มักอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง สามารถทำลายได้ตั้งแต่โครงสร้างผิวและทำให้ผิวเกิดปัญหามากมายตามมา รวมถึงปัญหาเรื่องฝ้าและจุดด่างดำด้วย ดังนั้น ถ้าไม่อยากฝันร้ายระยะยาว ควรเลี่ยงการใช้ครีมทาฝ้าที่มีส่วนผสมของสารอันตรายเหล่านี้ - เป็นครีมที่ได้รับการรับรอง
แน่นอนว่าการเลือกครีมทาฝ้ามาใช้ ควรพิจารณาในเรื่องชื่อเสียงของแบรนด์ ความน่าเชื่อถือ มีงานศึกษาวิจัยรองรับ โดยให้เลือกผลิตภัณฑ์จากบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในการดูแลผิวหน้าโดยเฉพาะ เพื่อความปลอดภัยพร้อมให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ยิ่งมีบริการให้คำแนะนำด้วย ก็จะยิ่งช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้ได้มากยิ่งขึ้น
วิธีใช้ครีมทาฝ้าให้ได้ผลจริง ลดฝ้าเร็ว ไม่กลับมาเป็นซ้ำ
เพื่อให้การรักษาฝ้าเห็นผลที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำอีก มีเคล็ดลับการใช้ครีมทาฝ้า ดังต่อไปนี้
- ใช้ครีมทาฝ้าอย่างสม่ำเสมอ
การทาครีมทาฝ้าให้เห็นผล ต้องใช้ต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ วันละ 1–2 ครั้ง (เช้า-ก่อนนอน) และควรใช้ในปริมาณพอเหมาะ หลีกเลี่ยงการทามากเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองได้ - ทาครีมทาฝ้าในขั้นตอนที่ถูกต้อง
ขั้นตอนการทาครีมที่ช่วยให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด เป็นไปตามลำดับขั้นตอน ดังต่อไปนี้- ล้างหน้าให้สะอาดด้วยผลิตภัณฑ์อ่อนโยน
- ใช้โทนเนอร์เพื่อเตรียมผิว
- ทาเซรั่มบำรุง (ถ้ามี)
- ทาครีมทาฝ้าเฉพาะบริเวณที่เป็นฝ้า
- ทาครีมบำรุงผิวหรือมอยส์เจอไรเซอร์
- ทาครีมกันแดดในตอนเช้า (SPF 50+ ขึ้นไป)
- หลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างเคร่งครัด
แสงแดด เป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้มีการผลิตเม็ดสีเมลานินที่มากเกินไป ทำให้เกิดรอยฝ้า ดังนั้นควรใช้ครีมทาฝ้า ควบคู่กับการหลีกเลี่ยงแสงแดด และทาครีมกันแดดทุกวัน จะช่วยลดการเกิดฝ้าได้ - เสริมการบำรุงผิวให้แข็งแรง
ผิวที่แข็งแรง จะตอบสนองต่อครีมทาฝ้าได้ดีขึ้น ควรใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยลดการอักเสบ เพิ่มความชุ่มชื้น และฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว เช่น เซรั่มวิตามินบี3 หรือครีมที่มีเซราไมด์
ใช้ครีมทาฝ้านานแค่ไหนถึงเห็นผล? ปัจจัยที่มีผลต่อการรักษาฝ้า
ระยะเวลาในการเห็นผลจากการรักษาผิวสามารถแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลและส่วนผสมที่เลือกใช้ โดยในช่วงสัปดาห์แรกของการเริ่มรักษาฝ้า จะสังเกตเห็นว่าผิวเริ่มตอบสนองต่อส่วนผสมที่ออกฤทธิ์ และหลังจากที่ผิวของคุณปรับตัวจากอาการแดงและระคายเคืองในระยะแรก คุณจะเริ่มเห็นฝ้าค่อย ๆ จางลงในช่วง 6-8 สัปดาห์แรก แต่อาจใช้เวลานานกว่านั้นเล็กน้อยในการเห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แต่ส่วนใหญ่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนภายใน 12 สัปดาห์
โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อระยะเวลาในการเห็นผลนั้น ได้แก่
- ประเภทของฝ้า
ฝ้าสามารถแบ่งออกเป็น ฝ้าแดด (Melasma) , ฝ้าเลือด (Lentigines) , ฝ้าลึก (Dermal type) ,ฝ้าตื้น(Epidermal type) และฝ้าผสม (Mixed type) โดยฝ้าประเภทต่าง ๆ จะตอบสนองต่อการรักษาที่แตกต่างกันออกไป เช่น ฝ้าแดดอาจต้องใช้เวลาในการรักษานานกว่าฝ้าเลือด เป็นต้น - ความเข้มข้นของครีมทาฝ้า
ครีมทาฝ้าที่มีส่วนผสมที่เข้มข้นและได้ผลรวดเร็ว จะช่วยลดฝ้าได้ไวขึ้น อย่างไรก็ตาม การเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวของคุณ จะเห็นผลได้เร็วมากยิ่งขึ้น - การรักษาร่วมกับการดูแลผิว
การรักษาฝ้าร่วมกับวิธีการดูแลผิวอื่น ๆ เช่น การปกป้องผิวจากแสงแดด การทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ การใช้เซรั่มบำรุงผิวที่ช่วยลดการอักเสบ จะช่วยให้ผลลัพธ์ดียิ่งขึ้น - สภาพผิวของแต่ละคน
ผิวบางประเภทหรือมีปัญหาผิวแพ้ง่าย อาจต้องใช้เวลานานกว่าในการเห็นผลจากการใช้ครีมทาฝ้า
ทำไมต้องประเมินผิวหน้าก่อนใช้ครีมทาฝ้า ?
การประเมินผิวหน้าก่อนการรักษาฝ้าเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็น เพื่อที่จะได้วางแผนการรักษาได้อย่างถูกต้องและตรงจุด โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
- การประเมินผิวหน้า เป็นการช่วยระบุปัญหาผิวได้อย่างชัดเจน ว่าเป็นฝ้าประเภทใด มีระดับความรุนแรงมากน้อยเพียงใด มีปัญหาผิวอย่างอื่นร่วมด้วยหรือไม่
- การประเมินผิวหน้า ช่วยให้สามารถเลือกผลิตภัณฑ์ครีมทาฝ้าที่เหมาะสมกับปัญหาผิว เพื่อการรักษาที่ได้ผลดี
- การประเมินผิวหน้า จะช่วยประเมินความสามารถของผิว ว่าผิวมีแนวโน้มที่จะระคายเคืองง่ายหรือไม่ ผิวบอบบางหรืออ่อนโยนหรือไม่ รวมถึงความสามารถในการทนทานต่อส่วนผสมที่อยู่ในครีมทาฝ้าด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยป้องกันผิวหน้าไม่ให้มีความเครียดหรือพร้อมรับมือกับผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น
cosmelan ทางเลือกใหม่ของครีมทาฝ้า ฝ้าจางไว ลดการเกิดรอยดำใหม่อย่างไรได้ผล
ครีมทาฝ้า Cosmelan โดย mesoestetic จากประเทศสเปน คือหนึ่งในครีมทาฝ้าเมดิคอลเกรด(medical grade) ที่ได้รับความนิยมในระดับโลก ด้วยประสบการณ์ด้านเวชสำอางมากกว่า 38 ปี และผ่านการจัดจำหน่ายไปแล้วกว่า 1 ล้านชุดในกว่า 90 ประเทศ Cosmelan ได้รับการยอมรับว่าสามารถลดเลือนฝ้าฝังลึก จุดด่างดำ และความหมองคล้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงถึง 81% จากการวิจัยทางคลินิก
- ทำไม Cosmelan จึงเป็นครีมทาฝ้าที่เห็นผลจริง?
จุดเด่นของ ครีมทาฝ้า Cosmelan คือ การทำงานแบบครบวงจร ตั้งแต่ยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานินจากภายในที่ต้นตอในชั้นเมลาโนไซต์ ไปจนถึงการลดการขนส่งเม็ดสี และขจัดเม็ดสีส่วนเกินออกจากผิวชั้นบน พร้อมช่วยลดโอกาสในการเกิดฝ้าใหม่ในอนาคตได้ด้วย โดยมีส่วนผสมคุณภาพสูงที่ช่วยลดฝ้าได้อย่างตรงจุด จากสารสกัดธรรมชาติเกรดพรีเมียมที่ทรงประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น- Kojic Acid
กลไกการทำงานของ Kojic Acid ในครีมทาฝ้า คือ ช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส ซึ่งเป็นเอนไซม์หลักที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตเม็ดสีเมลานินในชั้นผิว ทำให้เม็ดสีที่ทำให้เกิดฝ้าจึงลดลงอย่างชัดเจน นอกจากนั้น ยังช่วยชะลอการเกิดฝ้าใหม่ ทำให้โอกาสการกลับมาเป็นซ้ำน้อยลง ทั้งช่วยให้ผิวผลัดเซลล์ได้ดีขึ้น จึงทำให้ฝ้าดูจางลงเร็ว และสีผิวสม่ำเสมอยิ่งขึ้น - Alpha Arbutin
มีคุณสมบัติในการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการผลิตเม็ดสีเมลานิน ช่วยให้สีผิวสม่ำเสมอ ผิวดูเรียบเนียนและกระจ่างใสยิ่งขึ้น นอกจากนั้น Alpha Arbutin ยังถือว่าเป็นสารลดเม็ดสีที่อ่อนโยนมาก เมื่อเทียบกับไฮโดรควิโนน จึงสามารถใช้ได้แม้กับผิวแพ้ง่าย หรือผิวที่ไวต่อสารเคมี - Niacinamide
มีคุณสมบัติช่วยลดฝ้า โดยการยับยั้งกระบวนการส่งผ่านเม็ดสีจากเซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocytes) ไปยังเซลล์ผิวหนังชั้นบน (Keratinocytes) จึงช่วยลดการสะสมของเม็ดสีบริเวณผิวหน้า ทำให้รอยฝ้าค่อย ๆ จางลงอย่างเป็นธรรมชาติ ช่วยลดการระคายเคืองและการอักเสบ ทำให้ฝ้าไม่ลุกลามหรือเข้มขึ้น ช่วยเสริมเกราะปกป้องผิว ทำให้ผิวกระจ่างใสและเรียบเนียนมากขึ้น - Squalane
ช่วยเติมเต็มไขมันผิว (lipid barrier) ทำให้เกราะป้องกันผิวแข็งแรงขึ้น ลดการระคายเคือง ทั้งยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว โดยไม่อุดตันรูขุมขน - Aloe Vera
มีสาร Aloin ที่ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ช่วยให้ฝ้าค่อย ๆ จางลง พร้อมกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่หมองคล้ำออกอย่างอ่อนโยน ทำให้ผิวดูเรียบเนียน กระจ่างใสขึ้น และช่วยให้ฝ้าค่อย ๆ ดูจางลงอย่างเป็นธรรมชาติ - Retinyl Palmitate
คืออนุพันธ์ของวิตามินเอ (Vitamin A) มีคุณสมบัติช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกที่มีเม็ดสีเมลานินสะสมอยู่ ทำให้ผิวดูเรียบเนียน กระจ่างใสขึ้น และฝ้าค่อย ๆ จางลงเมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง - Salicylic Acid
มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอก ซึ่งเป็นบริเวณที่เม็ดสีเมลานินสะสมอยู่ ช่วยให้ผิวกระจ่างใสขึ้น เมื่อใช้เป็นประจำ ผิวจะดูเรียบเนียนมากขึ้น ลดความหมองคล้ำ จุดด่างดำ และสีผิวไม่เท่ากันได้ด้วย
- Kojic Acid
- Cosmelan 1 และ Cosmelan 2 ใช้อย่างไร?
เพื่อประสิทธิภาพในการรักษาฝ้าอย่างเห็นผลได้ชัดเจน แนะนำให้ใช้Cosmelan 1 และ Cosmelan 2 ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ดังนี้- Cosmelan 1 เป็นมาส์กที่ใช้เพียงครั้งเดียว ช่วยลอกฝ้าและผลัดเซลล์ผิวชั้นบนอย่างอ่อนโยน โดยให้มาส์กทิ้งไว้ 8–12 ชั่วโมง ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ
- Cosmelan 2 เป็นครีมทาฝ้าสำหรับใช้ต่อเนื่องหลังจากใช้ Cosmelan 1 เพื่อคงผลลัพธ์ที่ยาวนานขึ้น พร้อมป้องกันการกลับมาของฝ้า และฟื้นบำรุงผิวให้แข็งแรงในระยะยาว
ดูแลผิวหน้าอย่างไรในช่วงรักษาฝ้า
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในช่วงการใช้ครีมทาฝ้าเพื่อการรักษา มีข้อควรปฏิบัติดังต่อไปนี้
ทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาด
ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่มีความอ่อนโยน ปราศจากสารอันตราย เหมาะกับสภาพผิว ที่มีคุณสมบัติช่วยชะล้างสิ่งสกปรกบนผิวหน้าได้อย่างสะอาดหมดจด หลังจากที่หน้าสะอาดแล้ว ซับหน้าให้แห้ง แล้วให้ใช้ Degreasing solution จาก mesoestetic ที่อยู่ในเซ็ทครีมทางฝ้ามาเช็ดทำความสะอาดผิวหน้าอีกครั้ง ก่อนที่จะทำการบำรุงด้วยครีมต่อไป ซึ่งตัว Degreasing solution จะช่วยขจัดน้ำมันส่วนเกินและสิ่งที่ตกค้างอยู่บนผิวหน้า เป็นการเปิดช่องทางให้ผิวสามารถดูดซึมสารสำคัญจากครีมได้ดีมากยิ่งขึ้น
ทำตามคำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ
ในการใช้ครีมทาฝ้าให้ปลอดภัย จำเป็นที่จะต้องได้รับความแนะนำที่เหมาะสมจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากอาจเกิดอาการหรือผลข้างเคียงขึ้น จะได้รับคำปรึกษาที่ถูกต้องและมีความปลอดภัยในการใช้
ทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ
แสงแดด ความร้อน นี่คือตัวการสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าและจุดด่างดำ ถ้าหากไม่ป้องกัน มีโอกาสที่ฝ้าจะเข้มขึ้น ลึกขึ้น ยากต่อการรักษา ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดเป็นเวลานานๆ แต่ถ้าหากจำเป็นควรหาอุปกรณ์ที่ช่วยป้องกันแสงแดด ไม่ว่าจะเป็นหมวก ร่ม เสื้อผ้า และที่สำคัญให้ทาครีมกันแดดทุกครั้งทั้งที่ต้องเผชิญกันแสงแดดและที่อยู่ในร่ม เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามใหญ่โตออกไป ให้เลือกครีมกันแดดที่มีค่าการปกป้องสูง และให้ทาซ้ำระหว่างวัน ที่สำคัญเลือกครีมกันแดดที่เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละคนด้วย เราขอแนะนำครีมกันแดดประสิทธิภาพสูงด้วย SPF 50+ mesoprotech melan 130 pigment control ที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวี ทั้งยูวีเอและยูวีบี ที่ช่วยลดเลือนและป้องกันการเกิดจุดด่างดำและลดความหมองคล้ำของผิว ด้วยเนื้อครีมกันแดดสีเบจ ที่ช่วยปกปิดจุดด่างดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รับการประเมินผิวหน้าอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อติดตามความคืบหน้าในการรักษาฝ้า รวมถึงการขอรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญในขณะที่ใช้ผลิตภัณฑ์ครีมทาฝ้า เพื่อการรักษาที่ปลอดภัยและได้ผลจริง
การรักษาฝ้าให้ได้ผลไวและปลอดภัย ไม่ได้ขึ้นอยู่แค่เพียงการเลือกครีมทาฝ้าที่ดีเท่านั้น แต่ยังต้องใช้ให้ถูกวิธี และควบคู่กับการดูแลผิวที่เหมาะสม เช่น การทาครีมกันแดดเป็นประจำ หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด รวมถึงบำรุงผิวให้แข็งแรงจากภายใน การใช้ครีมทาฝ้าอย่างสม่ำเสมอและเลือกสูตรที่อ่อนโยน ปราศจากสารต้องห้าม เป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้ฝ้าค่อย ๆ จางลงอย่างปลอดภัย และเห็นผลชัดเจนในระยะยาว อย่าลืมว่าผิวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิว และหากมีข้อสงสัย ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณเสมอ
คำถามพบบ่อย
Q : ครีมทาฝ้าใช้ได้กับทุกสภาพผิวไหม ?
A : ครีมทาฝ้าส่วนใหญ่สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว แต่หากคุณมีผิวแพ้ง่าย ควรเลือกสูตรที่อ่อนโยนและไม่มีน้ำหอม
Q : ผู้ชายสามารถใช้ครีมทาฝ้าได้ไหม ?
A : ได้แน่นอน เพราะครีมทาฝ้าเหมาะกับทุกเพศ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง หากมีปัญหาฝ้า ก็สามารถใช้ได้เช่นกัน
Q : ครีมทาฝ้ากับครีมลดจุดด่างดำเหมือนกันหรือไม่ ?
A : ไม่เหมือนกันโดยตรง ครีมทาฝ้ามีส่วนผสมเฉพาะสำหรับยับยั้งเม็ดสีลึกในผิว ขณะที่ครีมลดจุดด่างดำเน้นรักษาผิวชั้นบน
Q : ครีมทาฝ้าควรทาตอนไหน ?
A : ควรทาครีมทาฝ้าหลังล้างหน้าและลงเซรั่ม โดยใช้ทั้งตอนเช้าและก่อนนอนเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
Q : หยุดใช้ครีมทาฝ้าแล้วฝ้าจะกลับมาไหม ?
A : มีโอกาสกลับมาได้ หากไม่ปกป้องผิวจากแสงแดดหรือปัจจัยกระตุ้นอื่น ๆ ดังนั้น ควรใช้ครีมกันแดดร่วมด้วยทุกวัน และดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง แม้ฝ้าจะจางลงแล้วก็ตาม