บอกลาไขมันส่วนเกิน เพิ่มความกระชับให้ผิวแข็งแรง สุขภาพดี

 รูปร่างที่ดีสมส่วน เป็นสุดยอดปรารถนาของใครหลายคน โดยเฉพาะสาวๆที่ต้องการหุ่นที่เพอร์เฟ็ค สมส่วน ใส่ชุดไหนก็มีความมั่นใจเต็มร้อย แต่ศัตรูตัวฉกาจที่สามารถทำลายหุ่นสวยๆของคุณก็คือ “ไขมัน”  ซึ่งแท้จริงแล้วถ้าบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ ไขมันก็มีประโยชน์ต่อร่างกายอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าหากรับประทานมากจนเกินไป ก็สามารถทำให้เกิดการสะสมและพอกพูนอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย ทั้งหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา หรือที่เราเรียกกันว่า “ไขมันส่วนเกิน” ไม่เพียงส่งผลกระทบเรื่องความสวยงามเท่านั้น แต่ไขมันที่เกินมายังสามารถทำให้เกิดโรคร้ายต่างๆได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นโรคอ้วน โรคไขมันในเลือดสูง รวมถึงโรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นต้น แท้จริงแล้ว “ไขมันส่วนเกิน”มาจากไหน จะมีวิธีจัดการและป้องกันอย่างไร ที่ไม่ส่งผลเสียหายต่อสุขภาพโดยรวมและมีรูปร่างที่ดี ผิวเรียบเนียนกระชับมากขึ้น

ลักษณะของเนื้อเยื่อไขมัน

โดยทั่วไปแล้ว ในร่างกายของเรา มีลักษณะเนื้อเยื่อไขมันอยู่ 2 ประเภท ดังต่อไปนี้

  • ไขมันสีน้ำตาล (BROWN ADIPOSE TISSUE; BAT) เป็นไขมันที่พบได้มากในวัยเด็ก แต่เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ก็จะมีปริมาณลดลง เป็นไขมันที่มีธาตุเหล็กเป็นจำนวนมาก ช่วยในการเผาผลาญไขมันให้กลายเป็นพลังงานความร้อน เพื่อรักษาสมดุลอุณหภูมิในร่างกาย
  • ไขมันสีขาว(WHITE ADIPOSE TISSUE; WAT) ทำหน้าที่เป็นแหล่งสะสมพลังงาน เพื่อร่างกายสามารถนำไปใช้ในกรณีฉุกเฉิน

ประเภทของไขมันที่สะสมในร่างกาย

ตามธรรมชาติ ในร่างกายของคนเรา จะมีไขมันที่สะสมเอาไว้ตามส่วนต่างๆของร่างกายอยู่ 3 ประเภท โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

  • ไขมันที่จำเป็น (Essential fat) นับเป็นไขมันที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างร่างกายเลยก็ว่าได้ ซึ่งมีผลต่อระบบการทำงานของร่างกายได้โดยตรง ส่วนใหญ่มักจะสะสมอยู่บริเวณไขกระดูก เยื่อหุ้มเซลล์ สมอง กระดูกสันหลัง รวมถึงเยื่อหุ้มอวัยวะต่างๆ ปริมาณแตกต่างกันระหว่างชายและหญิง ในผู้ชายจะมีประมาณ 3% ของน้ำหนักตัว และในผู้หญิงจะมีประมาณ 12% ของน้ำหนักตัว
  • ไขมันที่ไม่จำเป็นต่อร่างกาย (Visceral fat) ส่วนใหญ่มักสะสมอยู่ในช่องท้องของคนเรา ทำหน้าที่เป็นแหล่งสะสมพลังงาน และจะมีปริมาณมากขึ้นตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น ผู้ชายควรมีไขมันชนิดนี้ไม่เกิน 25% และผู้หญิงควรมีไม่เกิน 33% เพราะถ้ามีการสะสมของไขมันที่ไม่จำเป็นมากจนเกินไป ก็จะทำให้เกิดผลเสียต่อผิวหนังในส่วนต่างๆและสุขภาพร่างกายได้
  • ไขมันที่สะสมในชั้นใต้ผิวหนัง (Subcutaneous) ไขมันที่ถูกสะสมเอาไว้ใต้ผิวหนังจะถูกนำมาใช้ในยามจำเป็น หากมีการสะสมที่บริเวณผิวหน้าจะช่วยทำให้ผิวหน้าอ่อนเยาว์ได้ด้วย

ประโยชน์ของไขมัน

เมื่อพูดถึง “ไขมัน” หลายคนมักจะนีกถึงโทษหรือผลเสียเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว ไขมันก็มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายด้านเช่นกัน อาทิเช่น

  • เป็นตัวช่วยปกป้องไม่ให้อวัยวะภายในร่างกายเกิดการกระทบกระเทือนหรือเสียดสีกัน
  • ช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายสูญเสียพลังงานและความร้อน
  • ป้องกันร่างกายจากความหนาวเย็น
  • ช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมวิตามินไปใช้ได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • เป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลล์ต่างๆในร่างกาย

ไขมันส่วนเกินคืออะไร

“ไขมันส่วนเกิน” เป็นไขมันที่มีปริมาณมากจนเกินไป แล้วเกิดการสะสม พอกพูนมากขึ้นในส่วนต่างๆของร่างกาย ส่วนใหญ่พบได้ใน 3 กรณีหลักๆ คือ

  • Subcutaneous Fat เป็นไขมันที่เกิดจากการสะสมและรวมตัวกันมากขึ้นในบริเวณผิวหนังและกล้ามเนื้อ พบในส่วนของต้นขา ต้นแขน สะโพก หน้าท้องหรือคอ ซึ่งจะเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับรูปร่างและความสวยงามของร่างกาย โดยสามารถสังเกตได้จากขนาดของรอบเอว กล่าวคือผู้หญิงควรมีรอบเอวไม่เกิน 35 นิ้ว ส่วนผู้ชายควรมีรอบเอวไม่เกิน 40 นิ้ว ถ้ามากกว่านี้ถือว่ามีไขมันสะสมมากจนเกินไป
  • Visceral Fat เป็นไขมันในช่องท้อง ที่มักสะสมอยู่ตามอวัยวะต่างๆภายในร่างกาย เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ลำไส้ ทั้งยังขัดขวางการทำงานของระบบต่างๆในร่างกายได้ด้วย นับเป็นอันตรายต่อสุขภาพระยะยาว เนื่องจากเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรังและโรคร้ายแรงตามมา ไม่ว่าจะเป็น โรคอ้วน ภาวะไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคตับ โรคมะเร็ง โรคอัลไซเมอร์ ความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันพอกตับโรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น
  • ไขมันส่วนเกินในหลอดเลือด
    ไขมันส่วนเกินในหลอดเลือด หรือที่เราเรียกกันว่า “คอเลสเตอรอล” ซึ่งมีหลาดชนิด แต่ที่เรามักคุ้นเคยกันมีอยู่ 2 ชนิดด้วยกัน คือ
  • LDH (Low-Density Lipid Protein) เป็นคอเลสเตอรอลที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกาย
  • HDL (High-Density Lipid Protein)

ไขมันเหล่านี้จะเข้าไปสะสมในผนังหลอดเลือดเมื่อรับประทานอาหารประเภทที่มีไขมันสูงเป็นประจำ เมื่อสะสมกันนานวันเข้าก็จะกลายเป็นครบตะกรันหรือพลัค(Plaque) ยึดเกาะผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบอุดตัน อักเสบ หรือเกิดภาวะหลอดเลือดแข็ง (Atherosclerosis) ซึ่งสามารถนำไปสู่โรคอื่นๆ เช่นภาวะความดันโลหิตสูง  โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และภาวะหัวใจขาดเลือดได้

ไม่เพียงเท่านั้น จากผลการศึกษาเกี่ยวกับปริมาณไขมันส่วนเกินในร่างกายยังพบว่า การมีไขมันสะสมมากเกินไป สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิตแบบฉับพลันได้มากขึ้นอีกด้วย

ที่มาของไขมันส่วนเกิน

“ไขมันส่วนเกิน” เกิดจากการที่ร่างกายได้รับพลังงานจากไขมัน รวมถึงแป้งและน้ำตาลมากเกินกว่าความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน ซึ่งในกลไกลการทำงานของร่างกายคนเรานั้น เมื่อมีสารอาหารหรือพลังงานหลงเหลืออยู่ ร่างกายจะเปลี่ยนสารอาหารและพลังงานเหล่านั้นให้กลายเป็นไขมันสะสมเอาไว้ตามส่วนต่างๆของร่างกาย แต่เมื่อไขมันเหล่านั้นมีการสะสมนานวันเข้าก็จะกลายเป็นไขมันส่วนเกิน เนื่องจากร่างกายของคนเรามีความจำกัด ทำให้ไม่สามารถขับไขมันออกมาหรือดึงไปใช้เป็นพลังงานได้ทั้งหมดนั่นเอง โดยมีสาเหตุมาจากปัจจัยต่างๆดังต่อไปนี้

  • กรรมพันธุ์
    โรคอ้วน รวมถึงไขมันส่วนเกินสะสมมาก สามารถเกิดได้จากสาเหตุทางพันธุกรรม ที่พ่อแม่หรือบรรพบุรุษมีภาวะอย่างเดียวกัน แม้จะรับประทานอาหารในปริมาณที่น้อยก็ตาม แต่มีความเสี่ยงที่จะเกิดไขมันสะสมได้มากถึง 25%
  • เพศและอายุ
    เป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น ระบบการเผาผลาญในร่างกายหรือเมตาบอลิซึม
    ( Metabolism ) ก็จะลดน้อยลง จากผลการศึกษาพบว่าผู้ชายมักจะมีไขมันสะสมในช่องท้องมากกว่าผู้หญิง ในขณะที่ผู้หญิงมักมีไขมันส่วนเกินบริเวณต้นขา สะโพก และแขนมากกว่าผู้ชาย
  • การรับประทานอาหารที่มีไขมัน แป้ง และน้ำตาลมากจนเกินไป
    เมื่อรับประทานอาหารประเภทแป้ง น้ำตาลและไขมันมากเกินไปในแต่ละวัน ท้ายที่สุดแล้วร่างกายจะเปลี่ยนสารอาหารเหล่านั้นให้กลายเป็นไขมันที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกายเนื่องจากถูกดึงไปใช้ไม่หมด รวมถึงการรับประทานโปรตีนในปริมาณที่น้อย ทำให้สมองหลั่งฮอร์โมน Ghrelin น้อยลงและเกิดอาการหิวบ่อย
  • ไม่ออกกำลังกาย
    การที่ไม่ออกกำลังกายเพื่อเร่งการเผาผลาญพลังงานไขมัน ทำให้ร่างกายใช้พลังงานน้อยลง ส่งผลให้เกิดไขมันสะสมตามส่วนต่างๆได้ และสามารถพองขยายออกได้ไม่รู้จบ ทำให้มีสัดส่วนที่ใหญ่ขึ้นด้วย
  • พักผ่อนไม่เพียงพอ
    การนอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ สามารถทำให้ไขมันสะสมได้ง่ายขึ้น
  • ระบบฮอร์โมน
    ในร่างกายของคนเรามีปริมาณฮอร์โมนที่แตกต่างกัน ซึ่งปริมาณฮอร์โมนดังกล่าวนี้เป็นหนึ่งปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดการสร้างไขมันสะสมตามจุดต่างๆของร่างกายได้

การคำนวณค่าไขมันในร่างกาย

ปัจจุบันได้มีการคำนวณปริมาณไขมันในร่างกาย เพื่อตรวจสอบว่ามีไขมันส่วนเกินมากน้อยเพียงใด โดยมีสูตรการคำนวณโดยตรวจสอบจากค่า BMI ดังต่อไปนี้

ดัชนีมวลกาย ( Body Mass Index : BMI ) = น้ำหนักตัว ( กิโลกรัม ) / ( ส่วนสูง ( เมตร ) 2 )
หรือ Body weight ( kg ) / ( Hight (m)2 )

เมื่อคำนวณแล้ว สามารถตรวจสอบได้ดังนี้

ค่า BMI ภาวะน้ำหนักตัว
น้อยกว่า 18.5 น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์
18.5 – 22.9 น้ำหนักสมส่วน
23.0 – 24.9 น้ำหนักเกินกว่ามาตรฐาน
25.0 – 29.9 น้ำหนักมากกว่ามาตรฐานและเป็นโรคอ้วน
มากกว่า 30 เป็นโรคอ้วน ภาวะอันตราย

วิธีลดไขมันส่วนเกินให้ได้ผลดี

ในวิธีการลดไขมันส่วนเกิน สามารถแบ่งออกเป็น 2 วิธีหลักๆคือการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์หรือที่เรียกว่าหัตถการทางการแพทย์และการปรับพฤติกรรมต่างๆในการใช้ชีวิตประจำวัน โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

หัตถการทางการแพทย์

หัตถการทางการแพทย์ในการลดไขมันสะสมตามส่วนต่างๆของร่างกาย เป็นการใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยจัดการกับไขมันส่วนเกิน โดยมี 2 วิธีที่ได้รับความนิยม ดังต่อไปนี้

  • การฉีดสลายไขมันหรือฉีดเมโสแฟต
    การฉีดเมโสแฟตเพื่อสลายไขมันส่วนเกิน เป็นการใช้ตัวยาฉีดเข้าไปยังบริเวณที่ต้องการ เพื่อลดการสะสมของไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนัง ส่วนใหญ่จะเป็นบริเวณเหนียง แก้ม หรือน่อง เป็นต้น ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้ได้ผลดีในกรณีที่มีไขมันในปริมาณที่ไม่มากนัก หรืออาจใช้ในตำแหน่งเล็กๆที่เครื่องมือดูดไขมันไม่สามารถเข้าถึงได้ สามารถทำควบคู่กับการดูดไขมันได้
  • การดูดไขมัน
    เป็นหนึ่งวิธีการที่คนนิยมกันมากขึ้นในปัจจุบัน เป็นเสมือนทางลัดในการดูดไขมัน โดยมีหลักการคือแพทย์จะใช้เครื่องมือที่มีพลังงานที่แตกต่างกันเข้าไปทำให้ไขมันแตกตัวก่อน จากนั้นจึงดูดออกจากร่างกาย โดยเครื่องมือที่ใช้มีให้เลือกหลายประเภท ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันและบริเวณที่ต้องการดูดไขมันออกมา ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ เช่น เครื่องดูดไขมันพลังน้ำ เครื่องดูดไขมันเลเซอร์ หรือเครื่องดูดไขมันพลังคลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์  เป็นต้น ซึ่งสามารถใช้เครื่องมือในการสลายหรือดูดไขมันได้ครั้งละมากกว่า 1 ประเภท โดยจะต้องเข้าใจว่า การดูดไขมันไม่ใช่การลดความอ้วน แต่เป็นการช่วยกระชับรูปร่างให้มีความสมส่วนมากขึ้นเท่านั้น โดยมีเงื่อนไขสำหรับผู้ที่ต้องการดูดไขมัน ดังนี้
  • ต้องมีสุขภาพแข็งแรง
    ไม่มีโรคประจำตัวที่อาจก่อให้เกิดอันตรายในขณะที่กำลังดูดไขมัน
  • มีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
    นอกจากการมีน้ำหนักที่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานแล้ว ระดับและปริมาณไขมันควรอยู่ระหว่าง 18-25 จึงจะสามารถทำการดูดไขมันได้
  • สภาพจิตใจดี

การมีสภาพจิตใจดี มีความเข้มแข็ง รวมถึงการมีความเข้าใจเรื่องการดูดไขมันเป็นสิ่งจำเป็น โดยจะต้องเข้าใจว่าการดูดไขมันไม่ใช่การนำไขมันออกจากร่างกายทั้งหมด และไขมันสามารถสะสมใหม่ได้ หากไม่ระมัดระวังและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยเฉพาะเรื่องการกินอาหารที่มีไขมันมากเกินความพอดี

  • จะต้องมาอายุมากกว่า 20 ปีขึ้นไป เนื่องจากร่างกายเจริญเติบโตได้เต็มที่แล้ว

แน่นอนว่าในกระบวนการดูดไขมัน จะต้องมีการตรวจเช็คร่างกายอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก่อนดูดไขมันควรรับประทานอาหารเสริมประเภทวิตามินและธาตุเหล็กก่อนล่วงหน้า 2-4 สัปดาห์ งดสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงการพยายามรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่สามารถดูดไขมันได้ และเมื่อดูดไขมันเสร็จแล้ว อาจมีอาการบวมอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์ แต่หลังจากนั้นร่างกายจะเข้าสู่ภาวะปกติ

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

แน่นอนว่า เทคโนโลยีทางด้านการแพทย์สามารถช่วยให้ไขมันถูกดูดหรือสลายออกไปได้ แต่ก็มีโอกาสที่ไขมันจะกลับมาสะสมใหม่ ดังนั้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีควรมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ดังต่อไปนี้

  • ทำความเข้าใจอย่างถูกต้องเกี่ยวกับการสะสมของไขมัน
    การมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการสะสมของไขมัน จะช่วยให้สามารถรับประทานอาหารได้อย่างถูกต้องและระมัดระวังมากขึ้น โดยเฉพาะอาหารในกลุ่มแป้ง น้ำตาลและไขมัน ซึ่งถ้าหากรับประทานมากเกินความจำเป็นของร่างกาย สามารถเกิดการสะสมตามส่วนต่างๆและส่งผลเสียในระยะยาวได้
  • ตั้งเป้าหมายในการลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์
    หากคุณมีน้ำนักตัวมากเกินไปหรือมีการสะสมของไขมันตามส่วนต่างๆของร่างกาย แนะนำให้ตั้งเป้าหมายในการลดน้ำหนักอย่างถูกต้องและค่อยเป็นค่อยไป ตั้งเป้าน้ำหนักที่ต้องการลด รวมถึงรอบเอวที่ต้องการด้วย จากนั้นให้กำหนดปริมาณพลังงานและสารอาหารที่ควรได้รับในแต่ละวัน
  • เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
    การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เป็นหัวใจสำคัญในการลดไขมันที่สะสมอยู่ได้ ทั้งยังช่วยให้สุขภาพดีขึ้นด้วย โดยให้เลือกรับประทานอาหารที่เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง อาหารที่ไม่ผ่านการแปรรูป อาหารที่มีกากใยมากขึ้น รวมถึงผักผลไม้ และที่สำคัญควรงดอาหารจำพวกไขมันสูง น้ำหวานหรืออาหารแปรรูปประเภทต่างๆ
  • ออกกำลังกายให้มากขึ้น
    ยิ่งขยับร่างกายบ่อยมากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นการช่วยให้ร่างกายเผาผลาญได้มากขึ้นเท่านั้น เท่ากับเป็นการลดโอกาสที่ไขมันจะเข้าไปสะสมตามส่วนต่างๆได้ด้วย โดยแนะนำให้ออกกำลังกายในแบบที่เรียกว่าคาร์ดิโอ เช่น การเดิน การวิ่ง การว่ายน้ำและเล่นกีฬาต่อเนื่องกันนานกว่า 20-30 นาที หากทำได้เช่นนี้ ร่างกายจะดึงเอาไขมันส่วนเกินออกมาใช้เป็นพลังงาน และที่สำคัญให้เน้นการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ สามารถเพิ่มได้ด้วยการออกกำลังกายที่ใช้กล้ามเนื้ออย่างพวกบอดี้เวท (Bodyweight Training) และการยกน้ำหนัก (Weight Lifting) โดยให้ทำควบคู่กับการคุมอาหารร่วมด้วย ให้เลือกรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูงและไขมันต่ำในปริมาณที่พอเหมาะที่สามารถสร้างมวลกล้ามเนื้อได้ดี เช่น อกไก่ลอกหนัง เนื้อปลา เต้าหู้ หรือพืชตระกูลถั่ว ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ดีมากขึ้น พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตประจำวันให้มีการขยับหรือแอคทีฟขึ้น เช่น ใช้การเดินขึ้นลงบันไดแทนการใช้ลิฟท์ ทำงานบ้าน ทำสวน เป็นต้น ซึ่งการเคลื่อนไหวหรือขยับร่างกายระหว่างวันสามารถเพิ่มการเผาผลาญพลังงานได้มากถึง 100-200 แคลอรี่ต่อวันได้เลยทีเดียว
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาลดไขมันและยาลดความอ้วน
    เป็นสิ่งที่อันตรายที่จะลดน้ำหนักแบบรวบรัดตัดตอนด้วยการใช้ยาลดไขมันหรือยาลดความอ้วนที่มีขายเกลื่อนตลาดออนไลน์ โดยไม่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา อาจส่งผลข้างเคียงอันตรายถึงชีวิตได้
  • งดการสูบบุหรี่
    เนื่องจากสารพิษที่อยู่ในบุหรี่ สามารถส่งผลกระทบต่อระบบการจัดการกับไขมันและพลังงานภายในร่างกาย ทำให้เกิดไขมันสะสมพอกพูนขึ้นได้ และยังทำให้เกิดเส้นเลือดอุดตันได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
    เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลให้สัญญาณความอิ่ม ความหิวและความอยากอาหารของร่างกายทำงานผิดปกติ นอกจากนั้นการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากในแต่ละครั้งร่วมกับกับแกล้มต่างๆ ยิ่งทำให้ได้รับพลังงานมากเกินขนาด
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
    เนื่องจากน้ำ ทำให้อุณหภูมิในร่างกายลดลง ดังนั้นการดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย สามารถช่วยให้ร่างกายสามารถเผาผลาญปริมาณของแคลอรี่ได้มากขึ้น และช่วยลดการสะสมของปริมาณไขมันส่วนเกินในร่างกายได้ และนอกจากนั้น น้ำยังช่วยลดความอยากอาหาร ช่วยควบคุมไม่ให้เรารับประทานอาหารมากจนเกินความพอดี
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
    เมื่อร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้ฮอร์โมนในร่างกายทำงานผิดปกติ ส่งผลโดยตรงต่อระบบการเผาผลาญอาหาร ทำให้ร่างกายมีการต่อต้านอินซูลิน ทำให้การเผาผลาญกลูโคสลดลงด้วย ดังนั้นจึงทำให้มีการอยากอาหารเพิ่มมากขึ้นเพื่อนำพลังงานมาใช้ เสี่ยงต่อการเกิดไขมันสะสมได้ง่ายขึ้น
  • หลีกเลี่ยงความเครียด
    เมื่อเกิดความเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่มีชื่อว่า “คอร์ติซอล” (Cortisol) ออกมา ซึ่งถ้ามีการหลั่งฮอร์โมนชนิดนี้มากจนเกินไปจะส่งผลต่อปริมาณน้ำตาลและอินซูลินในเลือด ทำให้เกิดความอยากอาหารพวกแป้ง น้ำตาล ทำให้ระบบการเผาผลาญแย่ลง ทั้งยังทำให้ไขมันเกิดการสะสมมากขึ้นด้วย
  • ปรึกษาแพทย์
    ในกรณีของผู้ที่มีน้ำหนักมากหรือมีปริมาณไขมันสะสมในร่างกายสูง รวมถึงอาการผิดปกติทั้งหลาย แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจหาปริมาณไขมันในร่างกาย ตรวจหาโรคประจำตัว เพื่อวางแผนการรักษาให้เหมาะสมเป็นกรณีๆไป

Bodycare solutions ตอบโจทย์ในการกำจัดไขมันส่วนเกินได้อย่างไร

Bodycare solutions by mesoestetic  เป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกคิดค้นและพัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยดูแลรูปร่างและผิวพรรณ ช่วยแก้ปัญหาไขมันส่วนเกินที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย พร้อมผิวที่เต็มไปด้วยเซลลูไลท์และผิวแตกลายให้กลับมากระชับยืดหยุ่น มีสุขภาพดี ซึ่งในปัญหาที่เกี่ยวข้องกับไขมันส่วนเกินที่สะสมอยู่ตามหน้าท้อง เอว แขนขา(localized adiposity) เราขอแนะนำ Bodyshock intensive mist สเปรย์สูตรเข้มข้น เนื้อบางเบา โดยมีคุณสมบัติพิเศษแบบ 3 in 1 คือเพื่อสลายไขมัน ลดการสะสมไขมัน และกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน หลังจากฉีดสเปรย์แล้วนวดเบาๆเนื้อสเปรย์จะเปลี่ยนเป็นน้ำมันและซึมซาบเข้าสู่ผิวอย่างรวดเร็ว โดยให้ใช้บริเวณที่มีปัญหาไขมันสะสม ใช้ก่อนออกกำลังกายเพื่อเพิ่มผลลัพธ์ที่ดีมากยิ่งขึ้น โดยมีส่วนประกอบที่สำคัญ ดังต่อไปนี้

  • L-Carnitine ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญไขมัน ทั้งยังช่วยสลายและลดการสะสมไขมันตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
  • Caffeine ช่วยส่งเสริมกระบวนการเผาผลาญไขมัน
  • (meso)adipoactive complex ช่วยสลายไขมันอย่างได้ผล ลดการสะสมไขมัน ลดการเกิดเซลลูไลท์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญเซลล์ไขมันอย่างได้ผล ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของ glycerophosphocholine, lysine และ valine ที่มีส่วนช่วยกระตุ้นกระบวนการเมทาบอลึซึมของร่างกาย
  • Sylbum marium extract สารสกัดจากพืชธรรมชาติ ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการอักเสบได้อย่างดีเยี่ยม
  • Arnica extract สารสกัดดอกอาร์นิก้า พืชสมุนไพร ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับผนังหลอดเลือด ป้องกันอาการบวม

การมีไขมันสะสมตามส่วนต่างๆของร่างกาย มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มากมายที่ต่างยืนยันว่าสามารถส่งผลเสียหายต่อร่างกายโดยรวมได้ ดังนั้นการกำจัด “ไขมันส่วนเกิน” เป็นความจำเป็นอย่างเร่งด่วน ไม่เพียงเหตุผลทางด้านรูปร่างที่สวยงามเท่านั้น แต่จะยังช่วยให้สุขภาพแข็งแรงขึ้นและห่างไกลจากโรคร้ายได้มากยิ่งขึ้นด้วย โดยสามารถเริ่มต้นได้จาการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งการกิน การดื่ม การนอนหลับพักผ่อน และออกกำลังกายให้มากขึ้น เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสามารถเผาผลาญพลังงานได้อย่างเต็มที่ ปราศจากไขมันส่วนเกินที่อาจสร้างปัญหาให้ไม่รู้จบในระยะยาว