“ผิวแตกลาย” อีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่ไม่ได้ทำลายความมั่นใจเฉพาะหญิงตั้งครรภ์เท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย ที่เห็นได้ชัดคือในบริเวณที่มีไขมันสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก เช่นหน้าท้อง ต้นขา หรือสะโพก จนไม่กล้าเผยผิวสวยใสให้ใครได้เห็น เราจะมาเรียนรู้กันมากขึ้นเกี่ยวกับผิวแตกลายว่ามีลักษณะอย่างไร นอกจากเรื่องความสวยงามแล้วหากปล่อยทิ้งไว้มีอันตรายหรือไม่ และเราจะรับมืออย่างไรอย่างไรกับผิวที่แตกลายให้กลับมาเนียนนุ่มน่าสัมผัสอีกครั้ง เราไปหาคำตอบด้วยกัน
ผิวแตกลายคืออะไร
“ผิวแตกลาย” หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า Stretch Marks หรือ Striae จัดเป็นแผลชนิดหนึ่งที่เกิดจากการฉีกขาดของชั้นหนังแท้ จากการที่ผิวหนังมีการยืดหรือหดตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินแตกตัวออก และเมื่อผิวหนังเชื่อมสมานกัน ทำให้เกิดรอยแตกลายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มักเกิดที่บริเวณผิวหนังชั้นกลางและบริเวณที่มีไขมันสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น ต้นแขน หน้าอก หน้าท้อง ต้นขา สะโพก หลังส่วนล่าง และน่อง ในระยะเริ่มต้น ผิวหนังมักจะเป็นสีแดงหรือม่วงจากนั้นจะมีสีอ่อนลงเรื่อยๆจนกลายเป็นสีขาวขุ่น เป็นร่องแคบๆเล็กๆที่ฝังอยู่ใต้ผิวหนังเหมือนรอยแยก พบได้ในผู้หญิงโดยส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 50
ระยะของผิวแตกลาย
ผิวแตกลายแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ดังต่อไปนี้
- ผิวแตกลายระยะแรกหรือรอยแตกลายแดง (Striae Rubra)
เรียกได้ว่าเป็นรอยแตกลายใหม่ ที่เกิดจากการยืดตัวของร่างกายที่เร็วเกินไป ทำให้เกิดรอยแตกลายแดงเนื่องจากมีหลอดเลือดอยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้เห็นเป็นเส้นสีแดง ม่วงหรือน้ำตาลเข้มบนผิวหนัง ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับสภาพผิว ซึ่งผิวแตกลายในระยะนี้จะมีลักษณะนูนกว่าปกติ และมักมีอาการคันร่วมด้วย - ผิวแตกลายระยะหลัง หรือรอยแตกลายขาว (Striae Alba)
เป็นรอยแตกลายเก่าที่เกิดมานานแล้ว ทำให้หลอดเลือดค่อยๆจางหายไปจนกลายเป็นสีขาว มีร่องบุ๋มลงไปบนผิวหนัง มักเกิดขึ้นหลังจากที่ผิวแตกลายระยะแรกเริ่มจางลง รักษาได้ยากกว่าลักษณะแรก
ลักษณะของผิวแตกลาย
ผิวแตกลายโดยทั่วไปแบ่งออกได้เป็น 4 ลักษณะดังต่อไปนี้
- ลายเส้นขนานที่เกิดจากการยืด (Striae distensae) มักพบในคนที่กำลังสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
- ลายเส้นขนานที่เกิดจากผิวฝ่อ (Striae atrophicans) มักพบในคุณแม่หลังคลอด หรือคนที่มีการเปลี่ยนแปลงน้ำหนักอย่างรวดเร็ว
- ลายเส้นขนานสีแดง (Striae rubra) เป็นรอยแตกลายในระยะเริ่มต้น สามารถนูนขึ้นจากผิวได้
- ลายเส้นขนานสีขาว (Striae alba) เป็นรอยแตกลายที่เปลี่ยนจากเส้นสีแดงมาเป็นสีขาว มักจะยุบตัวลงใต้ผิว
สาเหตุของผิวแตกลาย
แน่นอนว่าผิวแตกลายมีสาเหตุหลักมาจากผิวหนังมีการยืดตัวอย่างรวดเร็วหรือกะทันหัน จนทำให้เกิดการฉีกขาดของผิว ทำให้เห็นผิวในชั้นที่ลึกขึ้น โดยมีปัจจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ที่มากระตุ้นให้เกิดการแตกลายมากยิ่งขึ้น ดังนี้
- การตั้งครรภ์
สำหรับผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ เมื่อทารกในครรภ์มีการเจริญเติบโตขึ้น ทุกเดือนผิวหนังและเนื้อเยื่อบริเวณหน้าท้องมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เส้นใยอีลาสตินและคอลลาเจนที่อยู่ในผิวหนังถูกยืดขยายออกไป ซึ่งในช่วงเวลานั้นฮอร์โมนและน้ำหนักในช่วงใกล้คลอดจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ผิวหนังไม่สามารถขยายตามได้ทัน นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ผิวแตกลายโดยเริ่มจากบริเวณหน้าท้องเรื่อยไปจนถึงหน้าอก สะโพกและต้นขา - ผิวขาดวิตามิน
การที่ผิวขาดวิตามิน ทำให้เกิดอาการผิวแตกลายขึ้นได้เนื่องจากผิวจะแห้งมากกว่าปกติ ส่วนใหญ่ พบที่บริเวณแขน หน้าอก หน้าท้อง และต้นขา ดังนั้น จึงควรเสริมวิตามินซีและวิตามินอี ที่จะช่วยในกระบวนการผลัดเซลล์ผิวและช่วยเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิวได้ - น้ำหนักขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็ว
ปัญหานี้มักพบได้บ่อยในกลุ่มเด็กที่กำลังเจริญเติบโต มีการเปลี่ยนแปลงทางสรีระอย่างรวดเร็ว หรือคนที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ผิวหนังขยายตามไม่ทัน ส่งผลให้ผิวแตกลายได้ โดยเฉพาะบริเวณต้นขา สะโพกและหน้าอก - ผิวแห้ง
การที่ผิวแห้ง แดง ลอกเป็นขุย สามารถทำให้เกิดผิวแตกลายตามมาได้ ส่วนใหญ่มักพบบริเวณมือ แขนและขา ในบางรายอาจมีอาการคันร่วมด้วย และหากเกาหรือรักษาความสะอาดได้ไม่ดีพอ อาจทำให้ติดเชื้อและอักเสบได้ - การใช้ยาในกลุ่มสเตียรอยด์
การใช้หรือรับประทานยาในกลุ่มสเตียรอยด์เป็นเวลานานหรือใช้ในปริมาณที่ไม่เหมาะสม สามารถทำให้เกิดอาการระคายเคือง ผิวบาง สีผิวไม่สม่ำเสมอ และสามารถทำให้เกิดผิวแตกลายได้ - การออกกำลังกายแบบ Weight Training ทำให้กล้ามเนื้อโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ผิวหนังมีการยืดและหดตัวอย่างแรง ทำให้เกิดผิวแตกลายบริเวณหัวไหล่ รวมถึงผู้ที่ใช้สารกระตุ้น เช่น Anabolic steroids เป็นต้น
- พันธุกรรม พบได้ในผู้ที่อยู่ในครอบครัวที่มีผิวแตกลาย และผู้ที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น โรคคุชชิ่ง (ผู้ป่วยจะอ้วนผิดปกติ) หรือโรคมาร์แฟน (ผู้ป่วยจะผอมผิดปกติ)
วิธีรักษาผิวแตกลาย
เนื่องจากผิวแตกลายมีหลายระดับ ดังนั้นในวิธีการรักษาก็จะมีความแตกต่างกันออกไป ดังต่อไปนี้
- รักษาด้วยการทายา
ตัวยาที่แนะนำให้ใช้ในการรักษาผิวแตกลาย คือยาที่มีส่วนผสมของกลุ่มอนุพันธ์กรดวิตามินเอ เช่นเรตินเอ (Retin A) ความเข้มข้น 025% หรือ 0.05% โดยให้ทาหลังจากที่อาบน้ำเสร็จหรือสครับผิว จากนั้นเช็ดตัวให้แห้ง แล้วบีบยามาทาในบริเวณที่มีผิวแตกลาย - รักษาด้วยวิธี Dermaroller
เป็นวิธีการที่ช่วยทำลายพังผืดที่เป็นหลุมบนผิวหรือรอยแตกลายบนผิวหนัง เป็นการช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง โดยส่วนใหญ่มักถูกนำไปใช้รักษาควบคู่กับตัวยาหรือเซรั่มบำรุงผิว เนื่องจากวิธี Dermaroller จะช่วยกระตุ้นให้ตัวยาสามารถซึมผ่านผิวหนังได้ดีขึ้น โดยให้ทำสม่ำเสมอต่อเนื่องกันทุก 2 สัปดาห์ ประมาณ 5-6 ครั้ง ก็จะสามารถช่วยรักษารอยแตกลายได้ โดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ - รักษาด้วยเลเซอร์
การรักษาด้วยเลเซอร์ เป็นการใช้เทคโนโลยีในการรักษา โดยมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ซึ่งเลเซอร์ที่นิยมใช้คือ V- Beam Laser ใช้สำหรับรักษาผิวแตกลายใหม่ๆที่เป็นเส้นสีแดง โดยตัวเลเซอร์จะเข้าไปทำลายเส้นเลือดที่แตกลายให้จางและยุบตัวลง ควรทำติดต่อกันอย่างน้อย 3-5 ครั้งจึงจะเห็นผลชัดเจน และสำหรับรอยแตกลายที่เป็นมานานแล้ว นิยมใช้ Fractional Laser ที่สามารถช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ให้กับผิว ทำให้รอยแตกลายจางลง ควรทำติดต่อกันอย่างน้อย 4-5 ครั้ง - รักษาด้วยวิธี Carboxytherapy
โดยปกติแล้วการรักษาแบบด้วยวิธีการนี้ ถูกนำมาใช้เพื่อสลายไขมันส่วนเกินตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย และช่วยรักษาผิวแตกลายได้อีกด้วย โดยจะฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปในบริเวณที่ผิวแตกลาย เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบริเวณผิวหนัง พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนทำให้ผิวตึงกระชับมากขึ้น โดยมีเทคนิคการฉีดที่แตกต่างกัน แต่โดยทั่วไปจะฉีดในระดับตื้นๆที่ชั้นผิวหนังแท้ ตามแนวร่องแตกลายของผิวหนัง ซึ่งต้องทำต่อเนื่องอย่างน้อย 3-5 ครั้งจึงจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน - รักษากรดผลไม้ AHA / BHA
โดยเป็นการทาผิวที่แตกลายด้วยกรดผลไม้ AHA และ BHA เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทั้งยังช่วยกระตุ้นและซ่อมแซมการสร้างเนื้อเยื่อในชั้นผิวหนังแท้ ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น แต่อาจมีผลข้างเคียงจากการใช้กรดผลไม้คือ ผิวมักแห้ง ลอกหรือเกิดการระคายเคืองได้ง่าย - รักษาด้วยเมโสเทอราปี (Mesotherapy)
การทำเมโสเทอราปี (Mesotherapy) เป็นการฉีดตัวยาเข้าไปในชั้นผิวหนังโดยใช้เข็มเล็กๆเพื่อช่วยกระตุ้นให้เกิดการสมานรอยแตกลายของผิว ทำให้รอยแตกลายแลดูจางลง ทั้งยังสามารถช่วยแก้ปัญหาผิวเปลือกส้มได้ - รักษาด้วย RF (Redio Freqency)
RF หรือ Redio Freqency เป็นการใช้พลังงานความร้อนเพื่อเข้าไปกระตุ้นการทำงานของคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวหนังแท้ เพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพผิว ทำให้รอยแตกลายลดลง ผิวดูเรียบเนียนขึ้น ทั้งยังช่วยสลายไขมันได้ดีอีกด้วย - รักษาด้วยการทาครีม
การใช้ครีมบำรุงหรือออยล์ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่หลายคนนิยมใช้ เพื่อช่วยให้ผิวมีความกระชับ ยืดหยุ่นเกาะกันได้ดีและมีความเต่งตึง โดยครีมที่ใช้มีให้เลือกตามส่วนผสมดังต่อไปนี้ - ครีมเตรทติโนอิน
เป็นครีมที่รู้จักกันในชื่อของ Retin-A และ Renova ที่สามารถช่วยฟื้นฟูคอลลาเจน ซึ่งเป็นเส้นใยโปรตีน ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น ส่วนใหญ่จะใช้ครีมประเภทนี้กับผิวแตกลายในระยะเริ่มแรกที่มีลักษณะเป็นสีชมพูหรือแดง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นควรอยู่ในการควบคุมดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะอาจเกิดการระคายเคืองได้ และไม่แนะนำให้สตรีมีครรภ์ใช้เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายตามมา - ครีมกรดไฮยาลูโรนิก (HA)
เหมาะกับการใช้รักษาในผู้ที่มีผิวแตกลายในระยะแรกๆที่รอยแตกลายยังไม่ลึกมาก - ครีม Bodyshock essential cream by mesoestetic
เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมเพื่อผิวสวยสุขภาพดี โดยเป็นมอยส์เจอไรเซอร์ที่สามารถช่วยป้องกันและลดรอยแตกลาย เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ทำให้ผิวสดชื่นและเนียนนุ่มขึ้นได้ในทันที นอกจากนั้น ยังช่วยบำรุงผิวได้อย่างล้ำลึก บำรุงผิวที่แห้ง ผิวขาดน้ำ ให้กลับมาเรียบเนียน อ่อนนุ่มและสดใสเปล่งปลั่ง ทั้งยังช่วยลดเลือนและป้องกันรอยแตกลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีส่วนผสมที่สำคัญคือ - L-Carnitine ที่ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญไขมันที่สะสมตามส่วนต่างๆของร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม ลดการเกิดเซลลูไลท์
- สารสกัดจากพืช Astragus root extract & Codonopsispilosula ที่ช่วยในการฟื้นฟูคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้โครงสร้างของผิวกระชับ แข็งแรงขึ้น ช่วยป้องกันผิวแตกลาย ทั้งยังช่วยให้รอยแตกลายของผิวจางลงได้อีกด้วย
- น้ำมันสกัดดอกทานตะวัน อาร์แกนออยล์(Meadowfoam) ซึ่งอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยปกป้องผิวจากสารอนุมูลอิสระ พร้อมทั้งช่วยบำรุงผิวให้แข็งแรง เนียนนุ่มอย่างเป็นธรรมชาติ
- เชียบัตเตอร์ (Shea Butter) ไขมันธรรมชาติ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ช่วยรักษาความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นให้ผิว
- Centella Asiatica ช่วยฟื้นบำรุงและให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ส่งเสริมการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ให้ผิวมีความยืดหยุ่น เรียบเนียนกระชับและแข็งแรงมากขึ้น
- รักษาด้วยวิธีไมโครเดอร์มาเบรชั่น
เป็นการรักษาโดยการขัดผิวด้วยผลึกเล็กๆเพื่อช่วยให้รอยแตกลายจางลง และทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ควรรักษาภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น - รักษาผิวแตกลายด้วยวิธีธรรมชาติ
ผิวแตกลาย สามารถบรรเทารักษาได้ด้วยวิธีการทางธรรมชาติ ดังต่อไปนี้ - ใช้เลม่อน
เนื่องจากในเลม่อนมีความเป็นกรดสูง จึงสามารถรักษาอาการแตกลายของผิวได้ โดยให้หั่นเลม่อนเป็นครึ่ง แล้วนำมาถูในบริเวณที่ผิวแตกลาย ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ให้ทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง - ไข่ขาว
เนื่องจากในไข่ขาวมีโปรตีนและกรดอะมิโนที่มีคุณสมบัติช่วยในการฟื้นฟูเซลล์ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้นำไข่ขาวมาทาบริเวณที่มีรอยแตกลาย แล้วรอจนแห้ง ล้างออกด้วยน้ำอุ่น สามารถทำได้ทุกวัน - ว่านหางจระเข้
ให้ใช้ว่านหางจระเข้สด มาถูบริเวณที่มีรอยแตกลาย ทิ้งเอาไว้ 5 นาทีแล้วล้างออก เนื่องจากในว่านหางจระเข้สามารถลดรอยแตกลายลงได้ - มันฝรั่ง
เนื่องจากในมันฝรั่งมีวิตามินและแร่ธาตุที่สามารถช่วยเร่งการฟื้นฟูสภาพผิว โดยให้หั่นมันฝรั่งออกเป็นแว่นหนาๆ แล้วนำมาถูบริเวณที่มีรอยแตกลาย จากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำอุ่น
วิธีป้องกันผิวแตกลาย
ก่อนที่ปัญหาผิวแตกลายจะลุกลามขยายเป็นวงกว้างออกไป มีวิธีป้องกันมากมายเพื่อลดความเสี่ยง ดังต่อไปนี้
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การออกกำลังกาย ไม่ได้มีข้อดีเพียงช่วยให้รูปร่างกระชับ สมส่วนมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้นด้วย ทั้งยังช่วยปรับระดับฮอร์โมนในร่างกายให้มีความสมดุล ลดการเกิดผิวแตกลายได้ - อย่าให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงเร็วเกินไป
เนื่องจากการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของน้ำหนักตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ผิวมีการยืดหดตัวกระทันหัน ส่งผลให้เกิดภาวะผิวแตกลายได้ - ดื่มน้ำสะอาดและรับประทานอาหารที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
การดื่มน้ำสะอาดในปริมาณที่เพียงพอแต่ละวัน ไม่เพียงช่วยให้กระบวนการในร่างกายทำงานได้เป็นปกติเท่านั้น แต่ยังช่วยทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น ลดการแตกลายของผิวได้ดีอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวด้วย ไม่ว่าจะเป็น ข้าวกล้อง น้ำมันมะกอก อะโวคาโด แตงโม และกลุ่มปลาทะเลต่างๆ เป็นต้น ก็จะเป็นปัจจัยเสริมที่ช่วยให้ปัญหาผิวแตกลายดูจางลงได้ พร้อมทั้งรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ โดยเฉพาะวิตามินซี วิตามินเอ สังกะสี และซิลิคอน จะช่วยเสริมสร้างผิวให้แข็งแรงได้ด้วยเช่นกัน - ทาครีมบำรุงหรือครีมลดรอยแตกลายเป็นประจำทุกวัน
การทาครีม Bodyshock essential cream by mesoestetic เป็นประจำทุกวันอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน สามารถช่วยลดและป้องกันการเกิดรอยแตกลายที่ผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยให้ทาทั่วร่างกายหรือบริเวณที่ต้องการ ให้นวดเป็นวงกลมเบาๆจนเนื้อครีมซึมเข้าสู่ผิว อย่าปล่อยให้ผิวแห้ง เพราะเป็นการเสี่ยงที่ผิวแตกลายจะลุกลามมากขึ้น - สครับผิวเป็นประจำ
การสครับผิวเป็นประจำ เป็นการช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออก พร้อมทั้งช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวหนังใหม่ให้ขึ้นมาทดแทน โดยให้สครับในบริเวณผิวที่มีปัญหาแตกลาย 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ - เลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์
เนื่องจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ต่อเนื่องยาวนาน สามารถทำให้ผิวบาง และทำให้ผิวหนังแตกลายได้ง่าย
“ผิวแตกลาย” เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัย ถึงแม้จะไม่ได้ส่งผลเสียหายมากมายต่อร่างกายมากนักแต่ก็เป็นหนึ่งในหลายๆปัญหาที่มักกวนใจในเรื่องความสวยงามของเรือนร่าง และอาจทำให้ความมั่นใจของใครหลายคนติดลบไปด้วย ทางออกของปัญหาผิวในลักษณะนี้คือการรู้จักวิธีป้องกันให้ผิวมีสุขภาพดี พร้อมฟื้นบำรุงผิวด้วยวิธีการที่ถูกต้องภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญควบคู่กับการดูแลผิวด้วยตัวเองในแต่ละวัน เพียงเท่านี้คุณก็สามารถบอกลาผิวแตกลายและเผยผิวเนียนใสได้อย่างมั่นใจได้แล้ว