เผยเคล็ดลับ..ย้อนวัยให้ผิวพรรณด้วยสเต็มเซลล์

ในหลายปีที่ผ่านมา สเต็มเซลล์ (Stem Cell)  ซึ่งเป็นเซลล์ต้นกำเนิดหรือเซลล์ตามธรรมชาติของร่างกายได้ถูกพัฒนานำมาใช้มากยิ่งขึ้นในวงการแพทย์และวางการความงาม โดยมีการวิจัยว่าร่างกายตอบสนองได้ดีในหลายๆโรคที่เกี่ยวข้องกับเซลล์ของอวัยวะต่างๆ ทั้งยังมีความปลอดภัยเนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของเราเอง ไม่เพียงเท่านั้น ในวงการความงามก็ยังได้นำสเต็มเซลล์(Stem Cell) มาใช้เพื่อย้อนวัยให้กับผิวอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องทำกับแพทย์เฉพาะทางที่มีความชำนาญเท่านั้น แท้จริงแล้วสเต็มเซลล์ (Stem Cell) คืออะไร และสามารถนำมาใช้ในการรักษาโรคหรือการดูแลผิวพรรณได้จริงหรือไม่ เราจะพาคุณไปไขความกระจ่างนี้ด้วยกัน

สเต็มเซลล์ (Stem Cell)  คืออะไร?

สเต็มเซลล์ (Stem Cell) เป็นเซลล์ธรรมชาติที่อยู่ในสิ่งมีชีวิต ทั้งในมนุษย์ พืช และสัตว์  ส่วนในร่างกายมนุษย์จะมีเซลล์อยู่ประมาณ 50-100 ล้านล้านเซลล์ ซึ่งเซลล์เหล่านี้เมื่อประกอบกันก็จะเป็นอวัยวะต่างๆของร่างกายที่ทำหน้าที่แตกต่างกันไป โดยมีจุดเริ่มต้นที่เป็นต้นกำเนิดมาจากเซลล์เดียวที่มีการผสมพันธุ์ระหว่างเพศผู้กับเพศเมีย หรือถ้าพูดง่ายๆคือครึ่งหนึ่งของเซลล์มาจากไข่ของแม่และอีกครึ่งหนึ่งมาจากสเปิร์มของพ่อ  จนเป็นหลายเซลล์และพัฒนาไปเป็นอวัยวะต่างๆต่อไป  เซลล์ที่เป็นต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เราเรียกกันว่า “ สเต็มเซลล์ (Stem Cell)” ซึ่งสเต็มเซลล์สามารถพัฒนาไปเป็นเนื้อเยื่อได้ทั้งหมดกว่า 200 ชนิดทีเดียว หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งก็คือว่าเซลล์ทุกเซลล์มีการพัฒนามาจากสเต็มเซลล์นั่นเอง

คำว่า “ สเต็มเซลล์ (Stem Cell) ” ถูกเรียกครั้งแรกในปี ค.ศ.1908 โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียท่านหนึ่ง ในการประชุมที่กรุงเบอร์ลิน ที่ตั้งชื่อเช่นนี้เพราะเชื่อว่าสเต็มเซลล์มีความสามารถในการสร้างเลือด และได้มีการศึกษามาอย่างต่อเนื่องยาวนานพร้อมกับการพัฒนาความรู้ที่เพิ่มมากขึ้น

เมื่อสเต็มเซลล์ (Stem Cell)สร้างอวัยวะต่างๆของสิ่งมีชีวิตขึ้นมาแล้ว จากนั้นก็จะกระจัดกระจายอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย เพื่อทำหน้าที่สร้างและซ่อมแซม เช่นเมื่ออยู่ในตับ สเต็มเซลล์ก็จะทำหน้าที่สร้างตับ ถ้าอยู่ในสมองก็จะทำหน้าที่สร้างเนื้อเยื่อสมอง และถ้าอยู่ในกระดูก ก็จะทำหน้าที่สร้างเลือด เป็นต้น

สเต็มเซลล์มาจากไหน

โดยปกติ ในร่างกายของคนเราจะมีสเต็มเซลล์ (Stem Cell) อยู่แล้ว โดยจะทำหน้าที่ซ่อมแซมร่างกายเมื่อเกิดการบาดเจ็บและช่วยสร้างเซลล์ใหม่เพื่อทดแทนเซลล์เก่าที่ตายไป สเต็มเซลล์ (Stem Cell) ที่นำมาใช้ทางการแพทย์ ได้ถูกนำมาจากหลายรูปแบบ ทั้งจากเซลล์ในร่างกายของเราเอง (autologous) เซลล์ของคนอื่น(allogeneic) และเซลล์ของสัตว์ (xenotherapy) เช่น เซลล์ตัวอ่อนที่เกิดการปฏิสนธิแล้ว (embryonic stem cell) หรือเซลล์จากไขกระดูก (bone marrow stem cell) ในด้านความงาม ปัจจุบันได้มีการนำ สเต็มเซลล์ (Stem Cell) มาใช้กันมากขึ้น ส่วนใหญ่เป็นเซลล์ต้นกำเนิดของเซลล์ร่างกาย หรือ mesenchymal stem cells (MSCs) ที่ได้จากไขกระดูก รก หรือไขมัน ซึ่งมีรายละเอียดถึงแหล่งที่มาของสเต็มเซลล์ (Stem Cell) ดังต่อไปนี้

  • สเต็มเซลล์จากเลือด
    ในปัจจุบันได้มีการนำเอาสเต็มเซลล์จากเม็ดเลือดมาใช้ในการรักษา โดยฉีดยาให้ไขกระดูกสร้างสเต็มเซลล์ จากนั้นก็จะใช้เครื่องเก็บสเต็มเซลล์ แล้วฉีดกลับเข้าไปใหม่ เช่น ได้มีการใช้สเต็มเซลล์รักษากลุ่มผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน ผลลัพธ์ที่ได้คือร่างกายมีการตอบสนองค่อนข้างดี ทำให้แผลหาย และ 90% ของผู้ป่วยไม่ต้องตัดขาทิ้ง
  • สเต็มเซลล์จากไขกระดูก
    การนำสเต็มเซลล์จากไขกระดูกมาใช้ จะต้องเจาะเข้าไปในกระดูกแล้วดูดส่วนเลือดออกมา ก็จะได้ สเต็มเซลล์จากไขกระดูก ส่วนใหญ่จะใช้ในการรักษาโรคหัวใจ โรคตับ โรคไขสันหลัง และโรคชรา
  • สเต็มเซลล์จากรก
    สเต็มเซลล์ชนิดนี้มาจากส่วนของสายสะดือ รก และน้ำคร่ำ ถูกนำมาสกัดเพื่อใช้ประโยชน์ในการปลูกถ่ายสำหรับผู้ป่วยเพื่อการรักษา หรือที่เรียกว่า “มีเซนไคม์”
  • สเต็มเซลล์จากไขมัน
    เป็นสเต็มเซลล์ที่เกิดจากการดูดไขมันส่วนเกิน แล้วนำไขมันที่ได้เข้าเครื่องปั่นเพื่อทำการสกัดสเต็มเซลล์ออกมา ส่วนใหญ่นิยมนำไปใช้ในด้านความงามคือการฉีดไขมันหน้าเด็ก นอกจากไม่เสี่ยงต่อการแพ้เพราะเป็นไขมันจากร่างกายของตัวเองแล้ว ยังให้ผลลัพธ์ที่ดีและเป็นที่นิยมด้วย

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะนำสเต็มเซลล์มาจากส่วนใดของร่างกาย เพื่อจุดประสงค์ในการักษาโรคหรือความสวยงาม ควรจะต้องมีการศึกษาหาข้อมูล พร้อมทั้งขอคำแนะนำจากแพทย์เฉพาะทางที่มีความเชี่ยวชาญเท่านั้น 

มีเซนไคมอลสเต็มเซลล์ ( MSCs ) คืออะไร?

กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในการรักษาเซลล์บำบัด (Cell Therapy) กับมีเซนไคมอลสเต็มเซลล์ (Mesenchymal stem cells – MSC) ซึ่งเป็นเซลล์ต้นกำเนิดที่สามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ต่างๆ ทั้งยังสามารถนำไปใช้กับผู้อื่นได้โดยไม่เกิดการต่อต้านของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันของผู้รับ เรียกได้ว่าเป็น Universal donor ซึ่งช่วยสร้างเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสติน(Connective Tissue) รวมถึงการสร้างหลอดเลือดและเนื้อเยื่อไขมัน เพื่อกระตุ้นทำให้เกิดการไหลเวียนของเลือด เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว ทำให้ดูเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวลมากขึ้น

ถ้าจะกล่าวแบบสรุป มีเซนไคมอลสเต็มเซลล์ (Mesenchymal stem cells – MSC) มีคุณสมบัติที่โดดเด่น ที่ถูกนำมาใช้กันอย่างกว้างขวาง ดังต่อไปนี้

  • ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เนื่องจากเซลล์มีการแบ่งตัวเพิ่มจำนวน เพื่อทดแทนเซลล์ที่หมดสภาพ
  • ถึงแม้ว่าจะมีการแบ่งตัว แต่ก็ยังสามารถรักษาคุณสมบัติเดิมเอาไว้ได้
  • สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์ชนิดอื่นๆได้ โดยเฉพาะในเซลล์ที่เกิดการบาดเจ็บและอักเสบ

สเต็มเซลล์กับการรักษาโรค

ในปัจจุบันได้มีการนำสเต็มเซลล์มาใช้ใรการรักษามากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในต่างประเทศ โดยได้นำมาสกัดเป็นยาที่มีชื่อว่า “Prochymal” ซึ่งได้รับการรับรองจากประเทศแคนาดา เป็นยาตัวแรกที่สกัดจากสเต็มเซลล์ที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้ ส่วนในประเทศออสเตรเลีย ได้มีการอนุมัติให้ใช้สเต็มเซลล์จากไขมันของตนเอง หลังจากพบว่ามีการตอบสนองที่ดีในการรักษาโรคสมองเสื่อมและไขสันหลังเสื่อม แต่อย่างไรก็ตาม การใช้เสต็มเซลล์เพื่อการรักษานี้มีความแตกต่างจากการใช้ยาเพื่อการบำบัด เพราะในการใช้ยาจะต้องรอให้ผู้ป่วยมีอาการของโรคนั้นๆก่อน ในขณะที่การใช้เซลล์บำบัดในทางเวชศาสตร์ชะลอวัย สามารถทำได้โดยที่ไม่ต้องรอให้มีอาการ แต่ต้องมั่นใจว่าทำอย่างถูกหลัก เพื่อป้องกันผลแทรกซ้อนที่จะตามมา

การใช้สเต็มเซลล์เพื่อการรักษาโรค ส่วนใหญ่ได้ถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคที่เกิดจากการเสื่อมถอยของเซลล์ เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บและอักเสบของอวัยวะ ไม่ว่าจะเป็นโรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน โรคเบาหวาน โรคเลือด โรคตับ โรคสมอง โรคข้อเข่าเสื่อม โรครูมาตอยด์ SLE  โรคมะเร็งบางชนิด โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคจอประสาทเสื่อม โรคไขสันหลัง โรคหลอดเลือดสมองตีบ และโรคออทิสติก เป็นต้น

สเต็มเซลล์กับความงาม

ในการใช้สเต็มเซลล์(stem cell) ในเรื่องของความงามและการรักษาผิวพรรณ กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในบ้านเรา ในรูปแบบการฉีด ซึ่งเป็นสเต็มเซลล์ที่ได้จากรกหรือสายสะดือ และจากเนื้อเยื่อไขมันบริเวณหน้าท้อง ต้นขา และด้านข้างลำตัว เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากมีความปลอดภัยสูง เพราะเป็นเซลล์ที่มาจากร่างกายของเราเอง สามารถเข้ากันกับร่างกายได้ และจากการดูดไขมันเพียงครั้งเดียว สามารถเก็บไว้ใช้ได้หลายครั้ง  ทั้งยังสามารถนำเซลล์ไขมันมาฟื้นฟูร่างกายให้ดีขึ้นได้อีกด้วย โดยมีขั้นตอนคือ เมื่อดูดไขมันของเราออกมาแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนการคัดแยก ซึ่งจะสามารถเพิ่มจำนวนสเต็มเซลล์ได้ตามต้องการ แล้วฉีดกลับเข้าไปในร่างกาย ทำให้ผิวใส ดูเด็กลง สามารถลดฝ้า กระ จุดด่างดำได้เป็นอย่างดี ทั้งยังสามารถฟื้นฟูสภาพผิวได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย

หน้าที่ของสเต็มเซลล์กับความงาม

ถ้าจะสรุปโดยรวม สเต็มเซลล์สามารถช่วยฟื้นฟูในเรื่องผิวพรรณความงามของเราได้ ดังนี้

  • ช่วยลดเลือนริ้วรอยและรักษารอยแผล ทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่ง สดใส และอ่อนเยาว์
  • ช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้กลับมาแข็งแรงขึ้นได้
  • ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับผิวในชั้นผิวหนังแท้(dermis)
  • ช่วยเพิ่มเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตคอลลาเจนและอิลาสติน(Fibroblasts) ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น
  • ช่วยกระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวอ่อนวัย ไม่หย่อนคล้อย
  • ช่วยกระตุ้นการทำงานของ growth factor และ cytokines ซึ่งเป็นสารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวเปล่งปลั่งสดใส สุขภาพดี คืนความกระชับ เต่งตึงให้กับผิว

ในการฉีดสเต็มเซลล์ เหมาะกับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีสภาพผิวที่อ่อนแอ ได้ผ่านการรักษามาหลากหลายรูปแบบ แต่ไม่ดีขึ้น ไม่เห็นผล การฟื้นฟูผิวด้วยสเต็มเซลล์จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถเข้าไปฟื้นฟูผิวลงลึกถึงระดับเซลล์ (Cellular Level) ทำให้ผิวแข็งแรง และตอบสนองต่อการรักษาอื่นๆที่จะตามมาได้ดียิ่งขึ้น

ตำแหน่งที่มักฉีดสเต็มเซลล์เข้าไป

การใช้สเต็มเซลล์เพื่อความงาม นิยมใช้การฉีดเข้าไปในร่างกายตามส่วนต่างๆ ดังต่อไปนี้

  • การฉีดเข้าผิวหน้าโดยตรง
    จะช่วยลดเลือนริ้วรอยและร่องลึกต่างๆได้ดี ทั้งบริเวณหน้า คอ ร่องแก้ม ร่องใต้ตา หน้าผาก ช่วยให้หน้าเต่งตึง เรียบเนียน รูขุมขนกระชับ ทำให้ผิวกระจ่างใส ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพผิวหน้าของแต่ละคนและการประเมินของแพทย์ก่อนฉีดด้วย
  • ฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ
    เป็นการช่วยฟื้นฟูและเสริมสร้างเซลล์ผิวพรรณให้ดูกระชับ เต่งตึง ทั้งยังช่วยปรับสมดุลให้กับผิว ทำให้ผิวขาว กระจ่างใส เปล่งปลั่ง ดูมีชีวิตชีวา ช่วยลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย ผิวเรียบเนียน ทั้งยังสามารถป้องกันผื่นต่างๆ ได้ด้วย

เคล็ดลับดูแลผิวให้เนียนใส อ่อนกว่าวัย

นอกจากการพึ่งพาเทคโนโลยีที่จะทำให้ผิวเนียนใส อ่อนกว่าวัยแล้ว การให้ความสนใจดูแลสุขภาพผิวระหว่างการดำเนินชีวิตในแต่ละวันก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องทำควบคู่กันไป ดังต่อไปนี้

  • หลีกเลี่ยงแสงแดดและทาครีมกันแดดอยู่เสมอ
    อย่างที่ทราบกันว่าศัตรูตัวฉกาจของผิวหน้าคือแสงยูวีที่มากับแสงแดด ซึ่งนอกจากจะกระตุ้นให้คอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวลดลงแล้ว ยังทำให้หน้าหมองคล้ำ เกิดริ้วรอยและความเหี่ยวย่นได้ง่ายๆ ทั้งยังไปกระตุ้นการสร้างเม็ดสีผิวอย่างเมลานิน ทำให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำได้ง่ายด้วย ดังนั้นนอกจากการหลีกเลี่ยงแสงแดดแรงๆแล้ว ยังจำเป็นต้องทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆเพื่อเพิ่มเกราะป้องกันผิวเป็นประจำทุกวัน ขอแนะนำกันแดดสูตรพิเศษ mineral matt antiaging fluid by mesoestetic ครีมกันแดดเนื้อแมท ที่ช่วยลดความมันส่วนเกินบนใบหน้า ให้ความรู้สึกแห้ง ไม่เหนอะหนะ สบายผิว นอกจากนั้นยังสามารถช่วยป้องกันริ้วรอยก่อนวัยได้ด้วย มีส่วนประกอบของสารสำคัญอย่างmesoprotech® complex ที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UVAและ UVB มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระในรังสีอินฟาเรดและแสงสีฟ้าที่มากระทบผิว รวมถึง collagen pro-47 ที่ประกอบด้วย Lupinus albus Seed Extract, Helianthus annuus Seed Oil และวิตามิน E ที่ช่วยเสริมการคงอยู่ของคอลลาเจนตามธรรมชาติ ให้ผิวดูกระชับและยืดหยุ่น พร้อมทั้ง mattifying particles ที่ช่วยดูดซับความมันส่วนเกินบนใบหน้า ทำให้ผิวสว่างใส เปล่งประกายมากขึ้น
  • สร้างคอลลาเจนให้ผิวหน้า
    โดยปกติเมื่ออายุมากขึ้น กระบวนการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินตามธรรมชาติก็จะลดลง ส่งผลให้เกิดริ้วรอย ผิวเหี่ยวย่นได้โดยง่าย ดังนั้นจึงควรหมั่นดูแลสุขภาพภายในของตนเองด้วยการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย รับประทานผักและผลไม้ให้มากยิ่งขึ้น ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ระบบต่างๆในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น นอกจากนั้นให้ดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 5-2 ลิตร เพื่อเป็นการเติมน้ำให้ผิวมีความชุ่มชื้นมากขึ้นด้วย
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
    เมื่อร่างกายได้พักอย่างเต็มที่ ประมาณ 6-8 ชั่วโมง ทำให้กระบวนการสร้างคอลลาเจนในร่างกายทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งยังเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายได้รับการฟื้นฟูและมีการซ่อมแซมเซลล์ผิวให้กลับมามีสุขภาพดีอีกครั้ง
  • เลี่ยงการทานน้ำตาลและการลดน้ำหนักแบบผิดวิธี
    เมื่อเรารับประทานของหวาน น้ำตาลจะเข้าไปจับกับโปรตีนในร่างกาย เกิดเป็นสารที่มีชื่อว่า AGEs (Advanced Glycation End Products) ทำให้คอลลาเจนในร่างกายลดลง ส่งผลให้ผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น ทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่ายๆ และถ้าหากคุณอยู่ในช่วงของการลดน้ำหนัก ควรเลือกลดอาหารอย่างถูกวิธี เพื่อร่างกายจะได้มีสารอาหารไปหล่อเลี้ยง ไม่ทำให้หน้าซูบผอมหรือหย่อนคล้อยได้โดยง่าย
  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม
    ควรเลือกใช้สกินแคร์ที่เน้นการดูแลผิวให้ดูเต่งตึง กระชับ เพิ่มคอลลาเจนให้กับผิวอย่างผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม radiance DNA by mesoectetic ที่ช่วยฟื้นบำรุงผิวที่มีปัญหาริ้วรอยระดับโลก ด้วยสูตรลิขสิทธิ์ที่คิดค้นขึ้นมาเพื่อช่วยปกป้องผิว และฟื้นบำรุงผิวที่มีปัญหาริ้วรอย ร่องลึก ขาดความกระชับ ยืดหยุ่น มีรอยเหี่ยวย่นและใบหน้าขาดความสมดุล ด้วยนวัตกรรม [meso] recovery complex ที่ได้คัดสรรส่วนประกอบที่มีคุณสมบัติในการปกป้องผิวด้วยแอนตี้ออกซิแดนท์ ทั้งยังช่วยฟื้นบำรุงผิวในระดับลึก ผสมผสานกับนวัตกรรมชีวเคมีที่ช่วยนําพาสารประกอบต่างๆ ลงสู่ผิวระดับลึกเพื่อฟื้นบํารุงผิวได้ตรงจุด ซึ่งประกอบด้วย
  • radiance DNA essence เซรั่มสูตรเข้มข้น ที่ช่วยแก้ปัญหาผิวที่มีริ้วรอย หย่อนคล้อย ขาดความยืดหยุ่น ให้กลับมาเนียนนุ่ม กระชับและอ่อนเยาว์ขึ้น เหมาะกับผิวที่มีการสูญเสียคอลลาเจนและโครงสร้างค้ำจุนผิวอ่อนแอ
  • radiance DNA intensive cream ครีมบำรุงที่ช่วยส่งเสริมการทำงานที่สำคัญของผิวให้มีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งบำรุงเกราะปกป้องผิวให้แข็งแรง ทั้งยังช่วยฟื้นบำรุงผิวที่มีริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • radiance DNA night cream ครีมบำรุงผิวตอนกลางคืน ที่ช่วยฟื้นบำรุงผิวขณะนอนหลับ ช่วยเสริมกระบวนการผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติ ลดเลือนริ้วรอย ร่องลึกต่างๆให้ดูจางลง ทั้งยังช่วยลดความตึงเครียดของผิวระหว่างวัน ช่วยปรับสภาพผิวให้ดูเรียบเนียน สุขภาพดี มีความชุ่มชื้นและอ่อนเยาว์ขึ้น
  • radiance DNA eye contour ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวรอบดวงตา ที่ช่วยฟื้นฟูผิวที่มีปัญหาเรื่องริ้วรอย ผิวที่ขาดความยืดหยุ่น มีรอยคล้ำ รวมถึงมีถุงใต้ตา ให้มีความตึง กระชับ ปรับผิวให้ดูเรียบเนียน ทำให้ดวงตาดูสว่าง สดใส และสุขภาพดี

“สเต็มเซลล์ (Stem Cell)” หนึ่งในนวัตกรรมใหม่ที่ถูกคิดค้นและพัฒนาขึ้นมาอย่างชาญฉลาด และได้ถูกนำมาใช้ทั้งในทางการแพทย์ การรักษา รวมถึงเรื่องของผิวพรรณ ความงาม เพื่อแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ ขาดความเต่งตึงไม่ว่าจะมีสาเหตุเนื่องจากวัยที่เพิ่มมากขึ้นหรือจากปัจจัยกระตุ้นภายนอกก็ตาม ทั้งยังช่วยป้องกันปัญหาผิวพรรณที่จะเกิดขึ้นตามมาในอนาคตตามหลักการของเวชศาสตร์ชะลอวัย แต่เพื่อผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจและเห็นผลอย่างชัดเจน จะต้องมีการดูแลเอาใจใส่ผิวพรรณอย่างต่อเนื่อง เพื่อสุขภาพผิวที่ดีอย่างยั่งยืน

ใส่ความเห็น