มอยเจอร์ไรเซอร์ ส่วนผสมสำคัญในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ที่มีคุณสมบัติช่วยรักษาความชุ่มชื้นและเสริมสร้างสุขภาพผิวให้ดูสดใสและเรียบเนียน ไม่ว่าคุณจะมีผิวมัน ผิวแห้ง หรือผิวผสม การเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะสมกับประเภทผิวของคุณ สามารถช่วยแก้ปัญหาผิว และปกป้องผิวจากการสูญเสียความชุ่มชื้น หรือผิวแห้งกร้านได้
ดังนั้น การทำความเข้าใจถึงประโยชน์และวิธีการเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ที่ถูกต้อง จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้ผิวของคุณได้รับการบำรุงอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ เราจะมาทำความรู้จักกับมอยเจอร์ไรเซอร์กันให้มากขึ้นค่ะ
มอยเจอร์ไรเซอร์ ตัวช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น ทำให้ผิวดูนุ่มและอิ่มน้ำมากขึ้น ฟื้นบำรุงผิวแห้งกร้าน ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ เคลือบผิวเพื่อลดการสูญเสียน้ำของผิว ทำให้ผิวดูนุ่ม เต่งตึง ดูมีน้ำมีนวล และยังช่วยป้องกันการสร้างน้ำมันส่วนเกินบนผิวหนังอีกด้วย เสมือนเป็นการเพิ่มน้ำให้กับผิวหน้า เพราะน้ำเป็นองค์ประกอบสำคัญ เมื่อผิวหน้าขาดน้ำหรือขาดความชุ่มชื้นก็จะทำให้ผิวหน้าลอก แห้งแตก มีริ้วรอยตรงใต้ตาและมุมปาก เมื่อใช้เครื่องสำอางหรือแป้งรองพื้นก็จะทาไม่ติดผิว จะเกิดการระคายเคืองและแพ้ได้ง่าย เพราะฉะนั้นการดูแลผิวหน้าให้ผิวมีความชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลาจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ
ส่วนผสมหลักของ มอยเจอร์ไรเซอร์ มีอะไรบ้าง ?
มอยเจอร์ไรเซอร์มีหน้าที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ประกอบไปด้วยสารที่ให้ความชุ่มชื้นต่างๆ ช่วยดูดซับน้ำจากอากาศเข้าสู่ผิว และกักเก็บน้ำในผิวไม่ให้ระเหยออกไป รวมถึงมีกรดและวิตามินธรรมชาติที่ช่วยให้ผิวดูเปล่งปลั่ง มีสุขภาพดี หลักๆแล้วส่วนผสมของมอยเจอร์ไรเซอร์ ประกอบไปด้วย
1. น้ำ
ส่วนประกอบหลักของผลิตภัณฑ์มอยเจอร์ไรเซอร์ก็คือน้ำ ซึ่งเป็นส่วนที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว หลายคนอาจคิดว่าเราอาบน้ำทุกวัน ร่างกายได้สัมผัสกับน้ำ ผิวก็อาจจะไม่แห้ง แต่ความจริงแล้วน้ำที่สัมผัสผิวจะระเหยออกจากผิวได้ง่ายมาก และการล้างหน้าหรืออาบน้ำบ่อยๆโดยไม่ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ก็อาจจะทำให้ผิวแห้งมากขึ้ นเพราะฉะนั้นผลิตภัณฑ์ moisturizer จึงต้องมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก เพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิวให้ได้มากที่สุด
2. สารฮิวเมกเตนท์ (Humectants)
สารดูดความชื้นที่มีคุณสมบัติดึงน้ำจากชั้นใต้ผิวหนัง ขึ้นสู่ผิวหนังชั้นนอก เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนังชั้นนอกสุด และยังมีคุณสมบัติช่วยดึงน้ำจากความชื้นในอากาศเข้าสู่เซลล์ผิวอีกด้วย สารกลุ่มนี้ได้แก่ Glycerin, Hyaluronic acid, Panthenol, Colloidal Oatmeal, Lactic acid, Gelatin, Collagen เป็นต้น รวมถึงวิตามินบี 5 ที่มีคุณสมบัติในการดูดความชื้น แต่อาจจะไม่สามารถกักเก็บน้ำในผิวได้ จึงต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีทั้งสารฮิวเมกเตนท์และสารที่มีคุณสมบัติกักเก็บน้ำในผิว
3. สารกักเก็บน้ำในผิว (Occlusive)
สารประเภทนี้มักจะมีน้ำมันเป็นส่วนประกอบ ทั้งน้ำมันในกลุ่ม Hydrocarbon เช่น petrolatum, mineral oil, paraffin, กรดไขมัน Lanolin ไขมันในกลุ่ม Phospholipids, Sphingolipids รวมถึงสารซิลิโคน เช่น dimethicone, cyclomethicone เมื่อทาลงบนผิวหนังจะออกฤทธิ์เคลือบผิวไม่ให้น้ำซึมผ่าน ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวไว้ได้ดี และนอกจากนี้ยังช่วยหล่อลื่นผิว ทำให้ผิวเนียนนุ่มทันทีที่ทาเสร็จ และช่วยซ่อมแซมผิวหนังที่แห้งแตก มีรอยย่น เผยผิวเรียบเนียน ดูมีสุขภาพดี เหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้งและผิวปกติ
4. สารที่ช่วยทำให้ผิวเนียนนุ่ม (Emollients)
เมื่อผิวหนังชั้นนอกมีปริมาณน้ำในผิวที่น้อย อาจส่งผลให้ผิวแห้งแตก จนทำให้เกิดร่องระหว่างเซลล์ผิวหนัง ผิวจึงดูไม่เรียบเนียน Emollients จึงมีหน้าที่ช่วยเติมเต็มร่องผิวและเคลือบผิวด้วยชั้นไขมันบางๆ ทำให้ผิวดูนุ่มและเรียบเนียนขึ้น โดยจะมาในรูปแบบขี้ผึ้ง ครีมและโลชั่น
5. สารออกฤทธิ์ชนิดอื่นๆ
เพื่อการบำรุงผิวที่ล้ำลึก ผลิตภัณฑ์มอยเจอร์ไรเซอร์บางยี่ห้อจึงได้ใส่สารออกฤทธิ์ชนิดอื่นๆเข้าไปด้วย เพื่อบำรุงผิวให้ผิวดูมีสุขภาพดี ครบในขั้นตอนเดียว สารชนิดอื่นๆได้แก่ สารกันแดด สารกลุ่ม AHA ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอก เผยผิวกระจ่างใส รวมถึงสารที่ช่วยให้ผิวดูเปล่งปลั่ง เช่น วิตามินซี, อี, Niacinamide เป็นต้น
ประเภทของ มอยเจอร์ไรเซอร์
สารเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวจะออกฤทธิ์ได้นาน 2-6 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับชนิดของสารที่เป็นส่วนประกอบ สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทคือ
1. มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีคุณสมบัติ Occlusive ช่วยเคลือบผิว
เป็นส่วนประกอบของสารกักเก็บน้ำในผิว มีคุณสมบัติช่วยเคลือบผิว โดยจะสร้างฟิล์มบางๆเคลือบที่ชั้นบนสุดของผิวหนัง และสามารถกันน้ำได้ ชะลอการสูญเสียน้ำทางผิวหนัง กลุ่มสารที่มีคุณสมบัตินี้ได้แก่ ไขคาร์นอบา, น้ำมันมะกอก, เซราไมค์, กรดไขมัน
2. มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีคุณสมบัติ Emollients ช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม
เป็นสารที่ช่วยให้ผิวนุ่ม ช่วยประสานผิวตกสะเก็ดหรือซ่อมแซมเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ช่วยลดการสูญเสียน้ำของผิวหนัง เป็นสารไขมันที่ดูดซึมได้ ประกอบด้วยเชียร์บัตเตอร์, คอลลาเจน, ไอโซโพรพิลสคาเรน และปามิเตท
3. มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีคุณสมบัติ Humectants ช่วยให้ผิวฉ่ำน้ำ
เป็นการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนังชั้นนอก โดยจะดูดซับน้ำจากหนังกำพร้าขึ้นมาถึงผิวหนังชั้นบน เพื่อทำหน้าที่ปกป้องผิวจากเชื้อโรค การขาดน้ำหรือสารเคมี กลุ่มสารที่มีคุณสมบัตินี้ได้แก่ กลีเซอรีน, กรดอัลฟาไฮดรอกซี่, กรดไฮยาลูรอนิก, ซอร์บิทอล เป็นต้น
และยังสามารถแบ่งออกได้ตามลักษณะเนื้อของมอยเจอร์ไรเซอร์
1. มอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อครีม (Cream)
มอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อครีม มีความเข้มข้นมาก เหมาะสำหรับผิวแห้ง หรือผิวที่ต้องการการบำรุงที่ล้ำลึก โดยเนื้อครีมจะช่วยเก็บความชุ่มชื้นได้ดี และช่วยสร้างเกราะป้องกันผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับใช้ในเวลากลางคืน
2. มอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อโลชั่น (Lotion)
มอยเจอร์ไรเซอร์ ที่มาในรูปแบบของโลชั่น มีความเบาบางกว่าเนื้อครีม และซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ง่ายกว่า เหมาะสำหรับผิวธรรมดาถึงผิวมัน สามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้ โดยไม่ทำให้รู้สึกเหนอะหนะ
3. มอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อเจล (Gel)
มอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อเจล เนื้อบางเบา ซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ทำให้ผิวอุดตัน เหมาะสำหรับผิวมันและผิวที่เป็นสิวง่าย มอยเจอร์ไรเซอร์ประเภทนี้ ให้ความชุ่มชื้นโดยไม่ทำให้ผิวรู้สึกหนัง
4. มอยส์เจอไรเซอร์เนื้อบาล์ม (Balm)
มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มาในรูปของเนื้อบาล์ม มีความหนาและเข้มข้นที่สุด เหมาะสำหรับผิวที่แห้งหรือแตกเป็นพิเศษ เช่น บริเวณข้อศอก เข่า หรือส้นเท้า โดยมอยเจอร์ไรเซอร์ประเภทนี้สามารถสร้างชั้นป้องกันบนผิว เพื่อรักษาความชุ่มชื้นไว้ได้นาน
5. มอยเจอร์ไรเซอร์แบบน้ำ (Water-based Moisturizer)
มอยเจอร์ไรเซอร์แบบน้ำ มีลักษณะเป็นเนื้อบางเบา และมักให้ความรู้สึกสดชื่น โดยมีส่วนผสมหลักคือ น้ำ ทำให้ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับผิวธรรมดาถึงผิวมัน
มอยเจอร์ไรเซอร์ มีประโยชน์ต่อผิวอย่างไรบ้าง?
มอยเจอร์ไรเซอร์ ที่เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ มีประโยชน์ต่อผิวมากมาย ดังต่อไปนี้
- ช่วยเพิ่มและกักเก็บความชุ่มชื้นภายในผิว ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ นุ่มชุ่มชื้น และมีความเรียบเนียนมากขึ้น
- มอยเจอร์ไรเซอร์ ช่วยปกป้องผิวจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง เช่น อากาศแห้ง เย็น เพราะอาจทำให้ผิวแห้งกร้าน ผิวแตก ลอกเป็นขุย มีอาการคันหรือระคายเคืองผิว
- มอยเจอร์ไรเซอร์ ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้หลุดออกอย่างง่ายดาย ทำให้ผิวมีความสม่ำเสมอ และเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น
- ช่วยลดเลือนริ้วรอยและความเหี่ยวย่น โดยส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของวิตามินเอ ที่สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ที่เป็นโครงสร้างหลักของผิวหนัง ทำให้ผิวมีความแข็งแรงและยืดหยุ่นมากขึ้น
- มอยเจอร์ไรเซอร์ ช่วยสร้างเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) เพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำจากผิว (Transepidermal Water Loss – TEWL) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของผิวแห้งและแตก
- ช่วยเสริมสร้างการฟื้นฟูผิวตามธรรมชาติ เนื่องจากมอยเจอร์ไรเซอร์บางชนิดมีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระ และสารสกัดจากธรรมชาติ ที่ช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ผิวที่ถูกทำลายจากสภาพแวดล้อม เช่น สารสกัดจากว่านหางจระเข้และเชียบัตเตอร์
- ป้องกันการระคายเคืองและผิวแพ้ง่าย
โดยปกติ ผิวแห้งมักมีแนวโน้มที่จะระคายเคือง หรือเกิดการอักเสบได้ง่าย มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีสารบำรุงผิวอ่อนโยน อย่างเช่น เซราไมด์และกรดไขมัน จะช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวที่อ่อนแอ ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น และลดความไวต่อสารกระตุ้นจากภายนอก - ช่วยปรับสมดุลน้ำมันบนผิว แม้ผิวแห้งจะขาดความชุ่มชื้น แต่มอยเจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะสม จะช่วยปรับสมดุลการผลิตน้ำมันในผิว ทำให้ผิวกลับมาอยู่ในสภาวะสมดุล ลดการลอกและทำให้ผิวดูเรียบเนียนยิ่งขึ้น
เลือก มอยเจอร์ไรเซอร์ อย่างไร ให้เหมาะกับสภาพผิว
ก่อนที่จะเลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะกับสภาพผิว มาทำความรู้จักกับประเภทของผิวหน้ากันก่อนค่ะ ลักษณะผิวหน้าของเรามีหลายประเภท ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาตามสภาพอากาศ ช่วงอายุ ระดับฮอร์โมนและปัจจัยอื่นๆ โดยหลักๆแล้วผิวหน้าจะแบ่งออกเป็น 4 ประเภทได้แก่
ผิวปกติ (Normal skin)
ผิวปกติ เป็นผิวที่เรียกได้ว่ามีความสมดุลมากที่สุด จึงสามารถเลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ได้หลายสูตร ทั้งแบบโลชั่น ที่ซึมซาบเร็ว เบาสบายผิว หรือมอยเจอร์ไรเซอร์ในรูปแบบครีม ในกรณีที่ผิวต้องการความชุ่มชื้นมาก ๆ ในช่วงหน้าหนาวหรืออากาศแห้ง
ผิวแห้ง (Dry skin)
ผิวแห้ง เป็นผิวที่ค่อนข้างขาดความชุ่มชื้น สาเหตุมาจากการสูญเสียน้ำออกจากผิว ทำให้ผิวลอก ขาดความยืดหยุ่น เกิดริ้วรอยและโรคผิวหนังชนิดอื่น ๆ ตามมาได้ ดังนั้น ควรเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ประเภทเนื้อครีม ซึ่งจะมีความเข้มข้น ที่จะช่วยกักเก็บและป้องกันการสูญเสียความชุ่มชื้นได้ยาวนานมากขึ้น
ผิวมัน (Oily skin)
ลักษณะของผิวมัน คือมีการผลิตน้ำมันส่วนเกินออกมามากกว่าปกติ รูขุมขนกว้าง และมีแนวโน้มที่จะเกิดสิวได้ง่าย ดังนั้นจึงควรเลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีความมันน้อย เนื้อสัมผัสบางเบา หรือเป็นเนื้อครีมที่แห้งเร็ว ซึมเข้าสู่ผิวง่าย
ผิวผสม (Combination skin)
ผิวจะแห้งเป็นบางส่วน และมีผิวมันในส่วนที่เป็น T-zone (หน้าผาก จมูก คาง) อาจมีสิวอุดตันและรูขุมขนกว้าง ควรเลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อเจลหรือเนื้อบางเบา ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน(Oil-Free) เพื่อลดความมันบริเวณ T-zone และไม่ทำให้ผิวอุดตัน
ทา มอยเจอร์ไรเซอร์ ตอนไหนดี ?
คุณสมบัติของมอยเจอร์ไรเซอร์คือ ช่วยลดการสูญเสียน้ำจากผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวชุ่มชื้น ดูเรียบเนียนขึ้น เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ดูดซึมเร็วและออกฤทธิ์ทันที อยู่ได้นานบนผิวหนังโดยไม่ต้องทาซ้ำหลายครั้ง ด้วยส่วนผสมที่อ่อนโยนต่อผิวไม่ทำให้เกิดการแพ้หรือระคายเคือง
การใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ให้เห็นผลควรทาหลังทำความสะอาดผิวหน้าหรืออาบน้ำเสร็จใหม่ๆไม่เกิน 3-5 นาที เพราะเป็นช่วงที่สารจะซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ดี เราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการซึมเข้าสู่ผิวของมอยเจอร์ไรเซอร์ได้ด้วยการทาโทนเนอร์ก่อน ตามด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ นวดลงบนผิวหน้าอย่างเบามือ ใช้นิ้วมือคลึงเบาๆให้เนื้อครีมกระจายทั่วผิวหน้า แต่หากมีสิวอักเสบหรือผิวหนังอักเสบควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนทุกครั้ง
ปัจจัยที่ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น
ปัจจัยภายนอก
- ใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวมากเกินไป ทำให้หนังกำพร้ามีการหมุนเวียนเร็วกว่าปกติ ซึ่งผิวหนังที่มีการหมุนเวียนอย่างรวดเร็วจะไม่สามารถสร้าง NMFs และ intercellular lipids ได้ทัน ผิวหน้าจึงสูญเสียความสามารถในการรักษาน้ำให้คงอยู่บนผิวหนังไป
- ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีคุณสมบัติขจัดน้ำมันเคลือบผิวมากเกินไป ทำให้มีน้ำมันเคลือบผิวน้อย สูญเสียน้ำใต้ผิวได้ง่าย
- รังสี UV หากได้รับรังสี UV ในปริมาณที่มากติดต่อกันโดยไม่ทาครีมกันแดด จะไปรบกวนการสร้าง NMFs ทำให้ผิวสูญเสียความสามารถในการรักษาน้ำบนผิวหนัง
- ความชื้นในอากาศ เมื่อไหร่ก็ตามที่ความชื้นในอากาศต่ำกว่า 10% จะดึงน้ำในผิวออกสู่ภายนอก ทำให้ผิวแห้งขาดความชุ่มชื้น
ปัจจัยภายใน
- อายุ เมื่ออายุเพิ่มขึ้น การผลิต NMFs และ sebum ก็จะลดลง
- เชื้อชาติ ชาวเอเชียมีปริมาณ NMFs ต่ำกว่าเชื้อชาติอื่นๆ
- โรคผิวหนัง ไม่ว่าจะเป็นโรคผื่นแพ้กรรมพันธุ์ โรคสะเก็ดเงิน โรคเด็กดักแด้ โรคเหล่านี้จะมีการแบ่งตัวของ keratinocyte ได้เร็วกว่าปกติหลายเท่า และเคลื่อนตัวมาที่ผิวชั้นนอกอย่างรวดเร็ว ทำให้เซลล์ผิวเกิดหลุดลอกออกเป็นแผ่น ผิวแห้งแตกได้ง่าย
hydra – vital light และ hydra -vital factor k ฟื้นฟูผิวที่แห้งกร้าน ให้มีสุขภาพดีขึ้นได้อย่างไร ?
เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้อย่างยาวนาน ด้วยสองตัวช่วยสำคัญจาก mesoestetic ทั้ง hydra – vital light และhydra -vital factor k อุดมไปด้วยสารบำรุงมอยเจอร์ไรเซอร์และวิตามิน ที่จะช่วยฟื้นบำรุงผิวที่ต้องเผชิญกับอนุมูลอิสระจากภายนอก สาเหตุที่ทำให้ผิวแห้งกร้าน ขาดความยืดหยุ่น และเกิดริ้วรอยก่อนวัย พร้อมคุณสมบัติพิเศษมากมาย ที่จะช่วยปรนนิบัติผิวของคุณได้อย่างล้ำลึก
hydra – vital light
มอยเจอร์ไรเซอร์แบบเจลครีมเนื้อบางเบา ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นขึ้นได้ทันที และคงความชุ่มชื้นได้ยาวนาน ไม่เพียงเท่านั้น ยังช่วยปกป้องผิวจากการรุกรานของมลภาวะ ฝุ่น ควัน โดยการสร้างชั้นปกป้องผิวด้วย Biotechnological plant – base ที่ช่วยป้องกันการยึดเกาะของอนุภาคมลภาวะบนผิวหนัง มี Barrier Function Reinforcement ที่ช่วยเสริมสร้างเกราะปกป้องผิว ฟื้นบำรุงผิวให้แข็งแรงขึ้น เป็นมอยเจอร์ไรเซอร์ตัวดังจาก mesoestetic ที่ประกอบด้วยสารพอลิแซ็กคาไรด์จากพืช ป้องกันการสูญเสียน้ำจากผิวหนังชั้นนอก เหมาะสำหรับผิวปกติ ผิวมัน และผิวผสม
hydra – vital factor k
อีกหนึ่งมอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อครีมบำรุงผิว ที่ให้ความชุ่มชื้นเป็นพิเศษ สูตรลับเฉพาะของ mesoestetic ที่ทำหน้าที่เสมือนโครงสร้างเกราะปกป้องผิวจากสิ่งแวดล้อมภายนอก เพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้คงอยู่ยาวนานมากขึ้น ทำให้ผิวเนียนนุ่มและดูสุขภาพดี เหมาะสำหรับผิวแห้งและผิวแพ้ง่ายที่ต้องการการบำรุงอย่างเร่งด่วน ด้วยส่วนผสมของ Ultra – moisturizing complex ที่พร้อมให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว รวมถึงวิตามินอี สารแอนติออกซิแดนท์ ที่ช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ เป็นมอยเจอร์ไรเซอร์ที่ใช้ได้เป็นประจำทุกวัน ทั้งเช้าและก่อนนอน
มอยเจอร์ไรเซอร์มีประโยชน์ต่อผิวเป็นอย่างมาก เพราะช่วยรักษาความชุ่มชื้น เสริมสร้างเกราะป้องกันผิว ช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำที่ทำให้ผิวแห้งกร้านและระคายเคืองได้ นอกจากนี้ มอยเจอร์ไรเซอร์ ยังช่วยฟื้นฟูสภาพผิวที่ถูกทำลายจากสภาพแวดล้อม เช่น แสงแดดหรือมลภาวะ ทำให้ผิวดูเนียนนุ่มและสุขภาพดีขึ้น ที่สำคัญควรเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ ที่เหมาะกับสภาพผิวด้วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการฟื้นบำรุงผิวได้อย่างแท้จริง
คำถามที่พบบ่อย
Q : ควรใช้มอยเจอร์ไรเซอร์บ่อยแค่ไหน?
A : ควรใช้มอยเจอร์ไรเซอร์เป็นประจำทุกวัน ทั้งในตอนเช้าและก่อนนอน เพื่อให้ผิวคงความชุ่มชื้นตลอดเวลา และการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์เป็นประจำ จะช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้นและลดปัญหาผิวแห้งได้
Q : ผิวเป็นสิว สามารถใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ได้หรือไม่ ?
A : ได้ค่ะ ผิวที่มีแนวโน้มเป็นสิว ควรเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน และไม่ทำให้รูขุมขนอุดตัน เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีสารต้านการอักเสบ จะช่วยลดอาการสิวและรักษาสมดุลความชุ่มชื้นของผิวไว้ได้
Q : มอยเจอร์ไรเซอร์จำเป็นในช่วงฤดูร้อนหรือไม่ ?
A : จำเป็นค่ะ การใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ในช่วงฤดูร้อน ช่วยรักษาสมดุลความชุ่มชื้นแม้ในสภาพอากาศที่ร้อนชื้น ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่เบาสบาย ไม่ทำให้ผิวมันหรือเหนอะหนะ
Q : มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของ SPF ใช้ได้ผลเหมือนกันหรือไม่ ?
A : มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของ SPF จะช่วยป้องกันผิวจากแสงแดด พร้อมกับให้ความชุ่มชื้น แต่อย่างไรก็ตาม อาจไม่เพียงพอสำหรับการปกป้องผิวจากแสงแดดทั้งวัน ดังนั้นควรใช้ครีมกันแดดเพิ่มด้วยในกรณีออกแดดจัด
Q : มอยเจอร์ไรเซอร์ จำเป็นสำหรับทุกสภาพผิวหรือไม่ ?
A : ใช่ค่ะ มอยเจอร์ไรเซอร์จำเป็นสำหรับทุกสภาพผิว แม้ผิวมันก็ยังต้องการความชุ่มชื้น การเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมจะช่วยปรับสมดุลผิวและป้องกันปัญหาผิวอื่น ๆ ที่จะตามมาได้