มอยเจอร์ไรเซอร์ สกินแคร์เติมน้ำให้ผิว เลือกอย่างไรให้เหมาะกับผิวหน้าของเรา

ปัญหาผิวแห้ง ผิวขาดน้ำ มักทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่าย องค์ประกอบหลักสำคัญที่จะช่วยให้ผิวกลับมามีความนุ่มเนียน และคงความยืดหยุ่นของผิวไว้ได้ก็คือ ‘น้ำ’ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลักอย่าง ‘มอยเจอร์ไรเซอร์’ จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนังได้อย่างดี

มอยเจอร์ไรเซอร์ ตัวช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว

อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น ทำให้ผิวดูนุ่มและอิ่มน้ำมากขึ้น ฟื้นบำรุงผิวแห้งกร้าน ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ เคลือบผิวเพื่อลดการสูญเสียน้ำของผิว ทำให้ผิวดูนุ่ม เต่งตึง ดูมีน้ำมีนวล และยังช่วยป้องกันการสร้างน้ำมันส่วนเกินบนผิวหนังอีกด้วย เสมือนเป็นการเพิ่มน้ำให้กับผิวหน้า เพราะน้ำเป็นองค์ประกอบสำคัญ เมื่อผิวหน้าขาดน้ำหรือขาดความชุ่มชื้นก็จะทำให้ผิวหน้าลอก แห้งแตก มีริ้วรอยตรงใต้ตาและมุมปาก เมื่อใช้เครื่องสำอางหรือแป้งรองพื้นก็จะทาไม่ติดผิว จะเกิดการระคายเคืองและแพ้ได้ง่าย เพราะฉะนั้นการดูแลผิวหน้าให้ผิวมีความชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลาจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ

ส่วนผสมหลักของ มอยเจอร์ไรเซอร์ มีอะไรบ้าง ?

มอยเจอร์ไรเซอร์มีหน้าที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ประกอบไปด้วยสารที่ให้ความชุ่มชื้นต่างๆ ช่วยดูดซับน้ำจากอากาศเข้าสู่ผิว และกักเก็บน้ำในผิวไม่ให้ระเหยออกไป รวมถึงมีกรดและวิตามินธรรมชาติที่ช่วยให้ผิวดูเปล่งปลั่ง มีสุขภาพดี หลักๆแล้วส่วนผสมของมอยเจอร์ไรเซอร์ ประกอบไปด้วย

1. น้ำ

ส่วนประกอบหลักของผลิตภัณฑ์มอยเจอร์ไรเซอร์ก็คือน้ำ ซึ่งเป็นส่วนที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว หลายคนอาจคิดว่าเราอาบน้ำทุกวัน ร่างกายได้สัมผัสกับน้ำ ผิวก็อาจจะไม่แห้ง แต่ความจริงแล้วน้ำที่สัมผัสผิวจะระเหยออกจากผิวได้ง่ายมาก และการล้างหน้าหรืออาบน้ำบ่อยๆโดยไม่ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ก็อาจจะทำให้ผิวแห้งมากขึ้ นเพราะฉะนั้นผลิตภัณฑ์ moisturizer จึงต้องมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก เพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิวให้ได้มากที่สุด

2. สารฮิวเมกเตนท์ (Humectants)

สารดูดความชื้นที่มีคุณสมบัติดึงน้ำจากชั้นใต้ผิวหนัง ขึ้นสู่ผิวหนังชั้นนอก เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนังชั้นนอกสุด และยังมีคุณสมบัติช่วยดึงน้ำจากความชื้นในอากาศเข้าสู่เซลล์ผิวอีกด้วย สารกลุ่มนี้ได้แก่ Glycerin, Hyaluronic acid, Panthenol, Colloidal Oatmeal, Lactic acid, Gelatin, Collagen เป็นต้น รวมถึงวิตามินบี 5 ที่มีคุณสมบัติในการดูดความชื้น แต่อาจจะไม่สามารถกักเก็บน้ำในผิวได้ จึงต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีทั้งสารฮิวเมกเตนท์และสารที่มีคุณสมบัติกักเก็บน้ำในผิว

3. สารกักเก็บน้ำในผิว (Occlusive)

สารประเภทนี้มักจะมีน้ำมันเป็นส่วนประกอบ ทั้งน้ำมันในกลุ่ม Hydrocarbon เช่น petrolatum, mineral oil, paraffin, กรดไขมัน Lanolin ไขมันในกลุ่ม Phospholipids, Sphingolipids รวมถึงสารซิลิโคน เช่น dimethicone, cyclomethicone เมื่อทาลงบนผิวหนังจะออกฤทธิ์เคลือบผิวไม่ให้น้ำซึมผ่าน ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวไว้ได้ดี และนอกจากนี้ยังช่วยหล่อลื่นผิว ทำให้ผิวเนียนนุ่มทันทีที่ทาเสร็จ และช่วยซ่อมแซมผิวหนังที่แห้งแตก มีรอยย่น เผยผิวเรียบเนียน ดูมีสุขภาพดี เหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้งและผิวปกติ

4. สารที่ช่วยทำให้ผิวเนียนนุ่ม (Emollients)

เมื่อผิวหนังชั้นนอกมีปริมาณน้ำในผิวที่น้อย อาจส่งผลให้ผิวแห้งแตก จนทำให้เกิดร่องระหว่างเซลล์ผิวหนัง ผิวจึงดูไม่เรียบเนียน Emollients จึงมีหน้าที่ช่วยเติมเต็มร่องผิวและเคลือบผิวด้วยชั้นไขมันบางๆ ทำให้ผิวดูนุ่มและเรียบเนียนขึ้น โดยจะมาในรูปแบบขี้ผึ้ง ครีมและโลชั่น

5. สารออกฤทธิ์ชนิดอื่นๆ

เพื่อการบำรุงผิวที่ล้ำลึก ผลิตภัณฑ์มอยเจอร์ไรเซอร์บางยี่ห้อจึงได้ใส่สารออกฤทธิ์ชนิดอื่นๆเข้าไปด้วย เพื่อบำรุงผิวให้ผิวดูมีสุขภาพดี ครบในขั้นตอนเดียว สารชนิดอื่นๆได้แก่ สารกันแดด สารกลุ่ม AHA ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอก เผยผิวกระจ่างใส รวมถึงสารที่ช่วยให้ผิวดูเปล่งปลั่ง เช่น วิตามินซี, อี, Niacinamide เป็นต้น

ประเภทของ มอยเจอร์ไรเซอร์

สารเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวจะออกฤทธิ์ได้นาน 2-6 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับชนิดของสารที่เป็นส่วนประกอบ สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทคือ

1. มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีคุณสมบัติ Occlusive ช่วยเคลือบผิว

เป็นส่วนประกอบของสารกักเก็บน้ำในผิว มีคุณสมบัติช่วยเคลือบผิว โดยจะสร้างฟิล์มบางๆเคลือบที่ชั้นบนสุดของผิวหนัง และสามารถกันน้ำได้ ชะลอการสูญเสียน้ำทางผิวหนัง กลุ่มสารที่มีคุณสมบัตินี้ได้แก่ ไขคาร์นอบา, น้ำมันมะกอก, เซราไมค์, กรดไขมัน

2. มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีคุณสมบัติ Emollients ช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม

เป็นสารที่ช่วยให้ผิวนุ่ม ช่วยประสานผิวตกสะเก็ดหรือซ่อมแซมเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ช่วยลดการสูญเสียน้ำของผิวหนัง เป็นสารไขมันที่ดูดซึมได้ ประกอบด้วยเชียร์บัตเตอร์, คอลลาเจน, ไอโซโพรพิลสคาเรน และปามิเตท

3. มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีคุณสมบัติ Humectants ช่วยให้ผิวฉ่ำน้ำ

เป็นการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนังชั้นนอก โดยจะดูดซับน้ำจากหนังกำพร้าขึ้นมาถึงผิวหนังชั้นบน เพื่อทำหน้าที่ปกป้องผิวจากเชื้อโรค การขาดน้ำหรือสารเคมี กลุ่มสารที่มีคุณสมบัตินี้ได้แก่ กลีเซอรีน, กรดอัลฟาไฮดรอกซี่, กรดไฮยาลูรอนิก, ซอร์บิทอล เป็นต้น

คุณสมบัติของ มอยเจอร์ไรเซอร์

  • เพิ่มและกักเก็บความชุ่มชื้นภายในผิว ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ ผิวนุ่มชุ่มชื้น และมีความเรียบเนียนมากขึ้น
  • ปกป้องผิวจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง เช่น อากาศแห้ง เย็น เพราะอาจทำให้ผิวแห้งกร้าน ผิวแตก ลอกเป็นขุย มีอาการคันระคายเคืองผิว
  • ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้หลุดออกอย่างง่ายดาย ทำให้ผิวมีความสม่ำเสมอ ผิวเรียบเนียนมากขึ้น
  • ช่วยลดเลือนริ้วรอยและความเหี่ยวย่น หากมอยเจอร์ไรเซอร์มีส่วนผสมของวิตามินเอ ก็อาจช่วยกระตุ้นสร้างคอลลาเจนที่เป็นโครงสร้างหลักของผิวหนัง ทำให้ผิวมีความแข็งแรงและยืดหยุ่นมากขึ้น

เลือกมอยเจอร์ไรเซอร์อย่างไร ให้เหมาะกับสภาพผิว

ก่อนที่จะเลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะกับสภาพผิว มาทำความรู้จักกับประเภทของผิวหน้ากันก่อนค่ะ ลักษณะผิวหน้าของเรามีหลายประเภท ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาตามสภาพอากาศ ช่วงอายุ ระดับฮอร์โมนและปัจจัยอื่นๆ โดยหลักๆแล้วผิวหน้าจะแบ่งออกเป็น 4 ประเภทได้แก่

ผิวปกติ (Normal skin)

เป็นผิวที่มีความสมดุลมากที่สุด ไม่มันเกินไปและไม่แห้งเกินไป ผิวมีลักษณะที่แข็งแรง รูขุมขนไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินไป มีข้อบกพร่องต่างๆของผิวน้อยเมื่อเทียบกับผิวประเภทอื่นๆ

ผิวแห้ง (Dry skin)

เป็นผิวที่ค่อนข้างขาดความชุ่มชื้น สาเหตุมาจากการสูญเสียน้ำออกไป ลักษณะของผิวจะดูหมองคล้ำ บางคนอาจมีผิวลอก ขาดความยืดหยุ่น อาจส่งผลให้เกิดริ้วรอยและโรคผิวหนังชนิดอื่นๆตามมาได้

ผิวมัน (Oily skin)

ลักษณะของผิวที่มีการผลิตน้ำมันส่วนเกินออกมามากกว่าปกติ ผิวดูมันวาว รูขุมขนกว้าง และมีแนวโน้มที่จะเกิดสิวอักเสบหรือสิวอุดตัน สาเหตุมาจากการอุดตันในรูขุมขน

ผิวผสม (Combination skin)

ลักษณะผิวที่มีการผสมระหว่างผิวแห้งและผิวมัน จะมีผิวแห้งบางส่วนและผิวมันในส่วนที่เป็น T-zone (หน้าผาก จมูก คาง) อาจมีสิวอุดตันและรูขุมขนกว้าง หากใช้มอยเจอร์ไรเซอร์เป็นประจำจะทำให้ผิวหน้าเนียนนุ่มชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้งหรือผิวมัน ก็จำเป็นที่จะต้องบำรุงด้วย moisturizer เพราะนอกจากจะมอบความชุ่มชื้นให้กับผิวแล้วยังช่วยชะลอวัยลดริ้วรอยได้อีกด้วย และเนื่องจากแต่ละคนมีผิวหน้าที่แตกต่างกัน จึงต้องมีการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์มอยเจอร์ไรเซอร์อย่างถูกวิธี

ผิวหน้ามันมีแนวโน้มเป็นสิวง่าย เลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีความมันน้อย เนื้อสัมผัสบางเบา หรือเป็นเนื้อครีมที่แห้งเร็ว ซึมเข้าสู่ผิวง่าย แนะนำเป็นมอยเจอร์ไรเซอร์ฐานน้ำที่อยู่ในรูปแบบของโลชั่นเหลว

ผิวหน้าแห้ง เลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ประเภทเนื้อครีม ซึ่งจะมีความเข้มข้นมากกว่าประเภทอื่นเล็กน้อย จะช่วยกักเก็บและป้องกันการสูญเสียความชุ่มชื้นได้ยาวนานมากขึ้น แนะนำเป็นมอยเจอร์ไรเซอร์ฐานน้ำมัน เพราะประกอบไปด้วยน้ำมันสำหรับบำรุงผิว ทำให้น้ำมันไปเคลือบผิว ป้องกันไม่ให้ความชื้นจากผิวระเหยออกไป

ผิวหน้าธรรมดา สามารถเลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ได้หลายสูตร ทั้งแบบฐานน้ำที่มาในรูปแบบโลชั่น ซึมทราบเร็ว เบาสบายผิว ไม่เหนียวเหนอะหนะ หรือถ้าหากต้องการความชุ่มชื้นมากๆในช่วงหน้าหนาวหรืออากาศแห้ง ก็สามารถเลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่เป็นฐานน้ำมันได้

ผิวหน้าผสม เลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของน้ำกับน้ำมันในอัตราส่วนเท่ากัน เพราะใบหน้ามีทั้งผิวแห้งและผิวมัน จะทำให้ผิวได้รับส่วนผสมทั้ง 2 อย่างเท่ากัน ช่วยรักษาสมดุลของน้ำไว้และไม่ทำให้ผิวแห้งหรือมันจนเกินไป

ทามอยเจอร์ไรเซอร์ตอนไหนดี ?

คุณสมบัติของมอยเจอร์ไรเซอร์คือ ช่วยลดการสูญเสียน้ำจากผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวชุ่มชื้น ดูเรียบเนียนขึ้น เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ดูดซึมเร็วและออกฤทธิ์ทันที อยู่ได้นานบนผิวหนังโดยไม่ต้องทาซ้ำหลายครั้ง ด้วยส่วนผสมที่อ่อนโยนต่อผิวไม่ทำให้เกิดการแพ้หรือระคายเคือง

การใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ให้เห็นผลควรทาหลังทำความสะอาดผิวหน้าหรืออาบน้ำเสร็จใหม่ๆไม่เกิน 3-5 นาที เพราะเป็นช่วงที่สารจะซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ดี เราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการซึมเข้าสู่ผิวของมอยเจอร์ไรเซอร์ได้ด้วยการทาโทนเนอร์ก่อน ตามด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ นวดลงบนผิวหน้าอย่างเบามือ ใช้นิ้วมือคลึงเบาๆให้เนื้อครีมกระจายทั่วผิวหน้า แต่หากมีสิวอักเสบหรือผิวหนังอักเสบควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนทุกครั้ง

ปัจจัยที่ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น

ปัจจัยภายนอก

  • ใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวมากเกินไป ทำให้หนังกำพร้ามีการหมุนเวียนเร็วกว่าปกติ ซึ่งผิวหนังที่มีการหมุนเวียนอย่างรวดเร็วจะไม่สามารถสร้าง NMFs และ intercellular lipids ได้ทัน ผิวหน้าจึงสูญเสียความสามารถในการรักษาน้ำให้คงอยู่บนผิวหนังไป
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีคุณสมบัติขจัดน้ำมันเคลือบผิวมากเกินไป ทำให้มีน้ำมันเคลือบผิวน้อย สูญเสียน้ำใต้ผิวได้ง่าย
  •  รังสี UV หากได้รับรังสี UV ในปริมาณที่มากติดต่อกันโดยไม่ทาครีมกันแดด จะไปรบกวนการสร้าง NMFs ทำให้ผิวสูญเสียความสามารถในการรักษาน้ำบนผิวหนัง
  • ความชื้นในอากาศ เมื่อไหร่ก็ตามที่ความชื้นในอากาศต่ำกว่า 10% จะดึงน้ำในผิวออกสู่ภายนอก ทำให้ผิวแห้งขาดความชุ่มชื้น

ปัจจัยภายใน

  • อายุ เมื่ออายุเพิ่มขึ้น การผลิต NMFs และ sebum ก็จะลดลง
  • เชื้อชาติ ชาวเอเชียมีปริมาณ NMFs ต่ำกว่าเชื้อชาติอื่นๆ
  • โรคผิวหนัง ไม่ว่าจะเป็นโรคผื่นแพ้กรรมพันธุ์ โรคสะเก็ดเงิน โรคเด็กดักแด้ โรคเหล่านี้จะมีการแบ่งตัวของ keratinocyte ได้เร็วกว่าปกติหลายเท่า และเคลื่อนตัวมาที่ผิวชั้นนอกอย่างรวดเร็ว ทำให้เซลล์ผิวเกิดหลุดลอกออกเป็นแผ่น ผิวแห้งแตกได้ง่าย

เคล็ดลับผิวนุ่มชุ่มชื้น สุขภาพดี

นอกจากการดูแลผิวด้วยการเลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะสมกับผิวของเราแล้ว ควรดูแลตัวเองด้วยวิธีอื่นๆ รวมถึงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ เพื่อให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื้นจากภายในสู่ภายนอก

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอกับร่างกาย หรือประมาณ 8 แก้วต่อวัน
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผักผลไม้ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบปริมาณมาก สารต้านอนุมูลอิสระในผักและผลไม้ยังช่วยให้ผิวดูสุขภาพดีขึ้นด้วย
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  • ออกกำลังกายอย่างเหมาะสมเป็นประจำ
  • งดสูบบุหรี่และงดดื่มแอลกอฮอล์
  • หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นหรือน้ำที่ร้อนจัด
  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีมาตรฐานและมีการรับรองความปลอดภัย
  • อ่านฉลากผลิตภัณฑ์บำรุงผิวทุกครั้ง เพราะอาจมีสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองเป็นส่วนประกอบ
  • เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดใหม่ที่ยังไม่เคยใช้ ควรทดสอบด้วยการทาบริเวณต้นแขนและทิ้งไว้ 48 ชั่วโมง เพื่อทดสอบอาการแพ้
  • ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอื่นๆที่นอกเหนือจากการให้ความชุ่มชื้น เช่น ครีมกันแดด เป็นสารที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับผิว หรือวิตามินบำรุงผิวช่วยผลัดเซลล์ผิวต่างๆ
  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเหมาะสมกับสภาพผิว ตรงกับจุดประสงค์ที่ต้องการ
  • ใช้ผลิตภัณฑ์มอยเจอร์ไรเซอร์หลังอาบน้ำ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอื่นๆ

hydravital mask ผลิตภัณฑ์มากส์หน้าสำหรับผิวแห้งและผิวขาดน้ำ

hydravital mask

มาส์กหน้าสูตรสำหรับผิวแห้งหรือผิวขาดนํ้า อุดมไปด้วยสารบำรุงและวิตามินที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว และช่วยฟื้นบำรุงผิวที่ต้องเผชิญกับอนุมูลอิสระจากภายนอก สาเหตุที่ทำให้ผิวแห้งกร้าน ขาดความยืดหยุ่น และเกิดริ้วรอยก่อนวัย

เนื้อสัมผัส : ครีม

คุณสมบัติ :

INTENSIVE MOISTURISING & NOURISHING

คุณสมบัติช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวเป็นพิเศษ ช่วยฟื้นบำรุงผิวที่แห้งกร้าน ขาดการบำรุง ให้ผิวรู้สึกนุ่มและชุ่มชื้นในทันที ด้วยกรดไฮยาลูโรนิก และสารสกัดจากดอกแพนซี่หรือดอกไม้ป่าที่สามารถรักษาความชุ่มชื้นให้ผิวได้ยาวนานและปกป้องผิวจากภายนอก นํ้ามันอาร์แกน(Argan oil) ที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 และ 6 สารอาหารบำรุงผิวช่วยส่งเสริมความแข็งแรงและความชุ่มชื้นให้แก่ผิวตามธรรมชาติ

SOOTHING

คุณสมบัติที่ช่วยปลอบประโลมผิวให้รู้สึกผ่อนคลาย ให้ความชุ่มชื้นผิวตามธรรมชาติ ช่วยให้ผิวแลดูสุขภาพดี ด้วยวิตามินบี 5

BIOBALANCING

            คุณสมบัติที่ช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์บนผิว ด้วย post biotic ซึ่งเกิดจากการหมักบ่มจุลินทรีย์ Lactobacillus ที่ช่วยส่งเสริมเกราะปกป้องผิวให้ดูแข็งแรง ช่วยป้องกันการระคายเคืองของผิว ปรับสมดุล pH balance ของผิว ช่วยให้ผิวแลดูสุขภาพดีและแข็งแรง

ANTI-POLLUTION ACTION

            คุณสมบัติที่ช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะ ฝุ่น ควัน และอนุมูลอิสระจากภายนอก สาเหตุที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว การบำรุงผิวหน้าอย่างล้ำลึก นอกจากจะเริ่มที่การทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาด และทาครีมบำรุงเพื่อให้ผิวหน้าขาวใสแล้ว การใช้สกินแคร์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้าอย่าง มอยเจอร์ไรเซอร์ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน ผิวที่มีความเนียนนุ่มชุ่มชื้น บ่งบอกถึงผิวสุขภาพดีที่ออกมาจากภายใน หากอยากให้ผิวพรรณดูนุ่ม เต่งตึง มีความยืดหยุ่น ลองเลือกผลิตภัณฑ์มอยเจอร์ไรเซอร์มาใช้ควบคู่กับสกินแคร์อื่นๆ พร้อมกับดูแลตัวเองควบคู่ไปด้วย รับรองว่าจะทำให้ผิวหน้าดูสุขภาพดีขึ้นอย่างแน่นอน