จุดเริ่มต้นของการมีสุขภาพผิวที่ดี คือการล้างหน้าด้วยวิธีการที่ถูกต้อง เนื่องจากผิวหน้า เป็นจุดที่บอบบางมากกว่าผิวบริเวณอื่น การทำความสะอาดอย่างไม่เหมาะสมอาจจะเป็นการเพิ่มโอกาสเสี่ยงที่ทำให้ผิวถูกทำร้ายหรือนำไปสู่ปัญหาผิวต่างๆตามมามากมาย ทั้งสิว ริ้วรอย ผิวแพ้ง่าย หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับผิวหนัง เป็นต้น ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับโครงสร้างของผิวหน้า ความสำคัญของการทำความสะอาดผิวหน้า รวมถึงเคล็ดลับในการล้างหน้าให้สะอาดอย่างถูกต้อง เพื่อผิวที่แข็งแรงสุขภาพดี โครงสร้างผิวหน้า โดยทั่วไป ผิวหนังที่ปกคลุมทั่วร่างกายรวมถึงบนใบหน้าของคนเรา ประกอบด้วย ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis), ชั้นหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมัน (Subcutis) และยังมีต่อมต่างๆอีกมากมาย เราจะมาทำความรู้จักกับโครงสร้างผิวของคนเราให้ลึกมากขึ้น เพื่อสามารถรับมือกับปัญหาผิวด้วยความเข้าใจ ดังต่อไปนี้ ผิวชั้นหนังกำพร้า ผิวชั้นหนังกำพร้า เป็นชั้นที่อยู่ด้านนอกสุด เป็นด่านแรกที่ช่วยปกป้องผิวของคนเราจากเชื้อโรค เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัสและช่วยควบคุมการสูญเสียน้ำ ซึ่งที่ผิวหนังชั้นนี้จะมีอีก 5ชั้นย่อยลงไป ที่มีส่วนช่วยในกระบวนการผลัดเซลล์ผิว (Keratinisation) ได้แก่ ชั้น Basal layer หรือ Stratum basale เป็นชั้นที่อยู่ด้านในสุด ที่เซลล์ keratinocyte ถูกผลิตขึ้นมา ชั้น Prickle layer หรือ Stratum spinosum […]
Monthly Archives: March 2023
เมื่ออายุย่างเข้าสู่เลข 3 เซลล์ผิวภายในก็เริ่มเสื่อมโทรมลง เนื่องจากกระบวนการผลิตคอลลาเจน อีลาสติน โปรตีนและไขมันในร่างกายเริ่มลดลง บวกกับปัจจัยกระตุ้นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการใช้ชีวิตในแต่ละวัน สภาพสิ่งแวดล้อม รวมถึงพฤติกรรมการกิน การดื่ม ก็ล้วนแต่ส่งผลต่อสภาพผิวได้ทั้งสิ้น วันนี้เราจะมาเรียนรู้ถึงปัญหาผิวที่สามารถเกิดขึ้นได้ในวัย30 อัพ รวมถึงสาเหตุหรือที่มา พร้อมทั้งวิธีการดูแลรักษาผิวพรรณให้ดูดี สดใส แม้ในวัยที่เพิ่มมากขึ้นก็ตาม ปัญหาผิวที่มักเกิดขึ้นในวัย 30 อัพ เมื่ออายุเข้าสู่เลข 3 สามารถพบปัญหาผิวพรรณในรูปแบบต่างๆได้ดังต่อไปนี้ ปัญหาริ้วรอย “ริ้วรอย” เป็นปัญหาผิวอันดับต้นๆของคนในวัย 30 อัพ ที่เกิดขึ้นได้ตามจุดสำคัญต่างๆที่มองเห็นได้ชัดเจน เช่น หน้าผาก รอบดวงตาหรือร่องแก้ม เป็นต้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องจากคอลลาเจนและอีสาสตินที่ร่างกายผลิตขึ้นตามธรรมชาติมีจำนวนลดน้อยลง ทำให้ผิวหนังไม่ยืดหยุ่น เหี่ยวย่น เกิดเป็นริ้วรอยและร่องลึกเกิดขึ้นได้ วิธีลดริ้วรอย : ด้วยเหตุที่ปริมาณของคอลลาเจนและอีลาสตินลดลง ทำให้เกิดเป็นริ้วรอยขึ้นมา ดังนั้นจะต้องมีการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนหรือเสริมสารอาหารประเภทคอลลาเจนให้กับผิว อย่างเช่น Collagen 360̊ by mesoestetic ที่ถูกคิดค้นมาเพื่อช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของผิวตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีประสิทธิภาพในการช่วยคงความหนาแน่นให้ผิวมีความยืดหยุ่นและตึงกระชับ โดยประกอบด้วยคอลลาเจนจากทะเลที่มีความเข้มข้นสูง ผิวสามารถดูดซึมเพื่อการบำรุงที่ล้ำลึกขึ้นอีกระดับ ซึ่งในส่วนของคอลลาเจน มีแนะนำ […]
“แต่งหน้าไม่ติด” สัญญาณร้ายของผิวสวยที่หลายคนกำลังประสบพบเจอ ที่เห็นกันอยู่บ่อยๆก็คือหน้ามันเยิ้ม หน้าลอกเป็นขุย หรือทิ้งคราบเอาไว้ตามจุดต่างๆทั่วใบหน้า ซึ่งปัญหาเหล่านี้ ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของเครื่องสำอาง แป้งทาหน้า หรือรองพื้นเท่านั้น แต่ยังเป็นอาการที่บ่งชี้ถึงสุขภาพผิวของเราได้ด้วย เชื่อว่านี่เป็นหนึ่งในหลายๆปัญหาที่ทำให้หลายคนขาดความมั่นใจ เราจะมาเจาะลึกถึงสาเหตุและที่มาของการแต่งหน้าไม่ติด พร้อมเผยเคล็ดลับการบำรุงผิวหน้าให้สดใส เติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว เพื่อให้เครื่องสำอางหรือเมคอัพติดทนนานได้มากกว่าเดิม แต่งหน้าไม่ติดคืออะไร อาการแต่งหน้าไม่ติด เป็นสภาพของผิวที่ไม่พร้อมรับเครื่องสำอาง ซึ่งอาการนี้จะไม่ค่อยพบในช่วงแรกๆของการแต่งหน้า แต่เมื่อเวลาผ่านไปสัก 2-3 ชั่วโมง จะสังเกตเห็นว่ารองพื้นเริ่มเป็นคราบ แตก ไม่เรียบเนียนไปกับผิว หน้าลอย ดูหนา เครื่องสำอางหลุดลอกระหว่างวัน รวมถึงหน้ามันเยิ้มหรือหน้าลอก เป็นต้น สาเหตุที่แต่งหน้าไม่ติด สาเหตุสำคัญที่ทำให้แต่งหน้าไม่ติด เกิดขึ้นได้จากหลายที่มา ทั้งปัจจัยในส่วนของสภาพผิวหน้าแต่ละคนและปัจจัยภายนอกที่กระตุ้นให้เกิดสภาพดังกล่าว ดังต่อไปนี้ ผิวหน้าแห้ง เป็นขุยได้ง่าย สำหรับผู้ที่มีผิวหน้าแห้ง มักมีปัญหาของผิวหน้าไม่เรียบเนียน เนื่องจากความแห้งกร้านของผิว จนทำให้ผิวหลุดลอกออกมาเป็นแผ่น ผิวเป็นขุย เมื่อทาเครื่องสำอางหรือเมคอัพแต่งหน้า จึงทำให้หน้าลอก แต่งหน้าไม่ค่อยติดทนนาน เพราะผิวขาดความชุ่มชื้น โดยลักษณะผิวแห้ง นอกจากจะเกิดจากกรรมพันธุ์แล้ว อาจจะเกิดจากการละเลยในขั้นตอนการบำรุงผิว รวมถึงพฤติกรรมอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เช่น การล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นบ่อยๆ การทำงานในห้องแอร์ที่มีอากาศแห้ง ก็อาจจะทำให้ผิวขาดน้ำมากกว่าปกติ ทำให้แต่งหน้าได้ยากขึ้น […]
“รอยตีนกา” (Crow’s feet) หรือริ้วรอยที่บริเวณหางตา เป็นปัญหาที่ไม่เพียงพบในผู้สูงวัยเท่านั้นแต่สามารถพบได้ในทุกเพศ ทุกวัย ที่พอยิ้มทีไร ก็มักจะมีเส้นที่เป็นรอยย่นขึ้นมา มิหนำซ้ำยังทำให้หน้าดูมีอายุ หน้าโทรม สูญเสียความมั่นใจ ทั้งยังทำให้หลายคนไม่กล้าที่จะแสดงออกทางอารมณ์หรือสีหน้าเพราะกลัวว่าจะมองเห็นรอยตีนกาได้ชัดมากขึ้น และหากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี จากรอยตีนกาตื้นๆก็อาจจะกลายเป็นร่องลึกยากต่อการรักษา ซึ่งในปัจจุบัน ได้มีนวัตกรรมใหม่ที่ถูกคิดค้นขึ้นมา เพื่อช่วยชะลอริ้วรอยแห่งวัยรอบดวงตา รวมถึงวิธีป้องกันและรักษาให้ดวงตากลับมาสดใสไร้ริ้วรอยกวนใจ แต่ก่อนอื่นเราจะมาทำความรู้จักกับรอยตีนกากันให้กระจ่างชัด เพื่อที่จะสามารถรับมือก่อนที่ริ้วรอยตัวฉกาจจะมาเยือน รอยตีนกาคืออะไร รอยตีนกา(Crow’s feet) คือริ้วรอยที่มีลักษณะเป็นเส้นขีดเล็กๆที่ปรากฏอยู่บริเวณหางตา เป็นหนึ่งในปัญหาผิวที่มักเกิดจากการเสื่อมสภาพของผิวหนังตามวัยเมื่อมีอายุที่เพิ่มมากขึ้น จะมองเห็นตีนกาได้ชัดเจนมากขึ้น เมื่อยิ้มหรือหัวเราะ โดยสามารถแบ่งลักษณะของรอยตีนกาออกเป็น 2 ประเภทคือ รอยตีนกาชนิดตื้น โดยมากเกิดขึ้นในบริเวณชั้นหนังกำพร้าที่บางกว่าจุดอื่น โดยเฉพาะในบริเวณที่โดนแดดมากๆ รอยตีนกาชนิดลึก มีสาเหตุมาจากความหย่อนคล้อยของโครงสร้างผิวในชั้นหนังแท้ โดยเริ่มต้นจากการมีรอยตีนกาตื้นๆแล้วไม่ได้ดูแลจนกลายเป็นริ้วรอยที่ลึกขึ้น ที่มาของรอยตีนกา “รอยตีนกา” ได้ชื่อว่าเป็นสัญญาณแห่งวัย ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุและหลายปัจจัยกระตุ้น ดังต่อไปนี้ อายุที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ผิวรอบดวงตาขาดความยืดหยุ่น ความแข็งแรงของผิวค่อยๆลดลง เนื่องจากคอลลาเจนและอีลาสตินที่เป็นเส้นใยผิวได้เสื่อมสภาพลง ผิวจึงอ่อนแอ ขาดความชุ่มชื้น และเกิดเป็นรอยพับ และริ้วรอยเล็กๆที่หางตาตามมา ผิวรอบดวงตาแห้ง เนื่องจากคอลลาเจนใต้ผิวมีปริมาณลดลง ผิวจึงขาดความชุ่มชื้น ทำให้เกิดรอยตีนกาได้โดยง่าย เกิดจากโครงสร้างของกระดูกและชั้นไขมันรอบดวงตายุบตัวลงเมื่ออายุเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผิวบริเวณรอบดวงตามีความหย่อนคล้อย […]
รอยดำรอยคล้ำใต้ตาที่ทำเอาหลาย ๆ คนหมดความมั่นใจเพราะว่าดูโทรมคล้ายกับตาแพนด้า เป็ยต้องหาคอนซีลเลอร์มากลบสร้างความมั่นใจกันให้วุ่น ยิ่งถ้าใครมีริ้วรอยร่องลึกเพิ่มมาด้วยแล้วล่ะก็ยิ่งแก้ไขยากมากที่จะให้กลับมาเนียนใสได้ดังเดิม วันนี้เราลองมาทำความรู้จักลงลึกรายละเอียดเกี่ยวกับความหมองคล้ำและริ้วรอยรอบดวงตากันให้มากขึ้นดีกว่าว่ามีสาเหตุเกิดมาจากอะไร แล้วมีวิธีการป้องกันอย่างไรบ้าง จะได้เป็นแนวทางในการดูแลผิวบริเวณดวงตาให้เนียนใส อ่อนเยาว์ เป็นธรรมชาติ กลไกการเกิดรอยคล้ำใต้ตา รอยคล้ำใต้ตา (dark circles) หรือภาวะ periorbital hyperpigmentation เป็นความผิดปกติของผิวหนังบริเวณรอบดวงตาที่จะมีสีคล้ำขึ้นกว่าปกติ สามารถเกิดไดด้ทั้งบริเวณเปลือกตาและใต้ตา หรือจะเกิดเฉพาะบริเวณใต้ตาเท่านั้นก็ได้ ซึ่งมักจะเกิดร่วมกับปัญหาถุงใต้ตา กลไกของการเกิดรอยดำรอยคล้ำรอบดวงตาเกิดจากเส้นเลือดฝอยในชั้นผิวหนังแท้ขาดความยืดหยุ่นจนเกิดรอยรั่วทำให้เม็ดเลือดแดงซึมออกมา ทีนี้เมื่อเม็ดเลือดแดงหลุดออกจากหลอดเลือดก็จะแตกตัวเพราะความดันออสโมซิสที่เปลี่ยนแปลงไป ฮีโมโกลบินภายในเม็ดเลือดแดงก็จะถูกปล่อยออกมาด้วย ซึ่งเจ้าฮีโมโกลบินนั้นจะสลายตัวไปเป็นรงควัตถุสีเข้ม หรือบิลิเวอร์ดิน (biliverdin) แล้วไปสะสมอยู่ตามชั้นผิวเกิดเป็นรอยดำรอยคล้ำ ไม่เพียงเท่านั้นพาสม่าที่ซึมออกมาพร้อมกับเม็ดเลือดแดงก็จะเข้าสู่เนื้อเยื่อของผิวหนังทำให้เกิดการบวมน้ำจนเกิดเป็นถุงใต้ตาตามมา อย่างไรก็ตามบิลิเวอร์ดินนั้นสามารถถูกกำจัดได้ด้วยเอนไซม์ UGT ที่หลังออกมาจากเซลล์ผิว ถ้าเอนไซม์ UGT ทำงานเต็มประสิทธิภาพก็จะทำให้รอยดำใต้ตาเกิดได้น้อยลง นอกจากนั้นแล้วรอยดำรอยคล้ำใต้ตายังเกิดจากความผิดปกติของการสร้างเม็ดสีเมลานินด้วย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์ และปัจจัยภายนอกที่มากกระตุ้นการทำงานของเมลานิน เช่น แสงแดด รังสียูวี อนุมูลอิสระ เป็นต้น ไม่เพียงเท่านั้นโรคบางชนิดก็ทำให้เกิดรอยคล้ำใต้ตา เช่น โรคภูมิแพ้ ภาวะทุพโภชนาการ เป็นต้น กล่าวโดยสรุปรอยคล้ำใต้ตานั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุทั้งความผิดปกติจากหลอดเลือด การทำงานผิดปกติของเม็ดสีเมลานิน […]
การสครับผิวเป็นวิธีการดูแลผิวรูปแบบหนึ่ง โดยหลักการของการสครับผิวนั้นก็คือการขจัดเอาเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพให้หลุดออกไปอย่างอ่อนโยนพร้อมทั้งยังช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทนเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพลงไป ด้วยเหตุนี้การทำสครับผิวจึงเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในการเพิ่มความกระจ่างใสให้กับผิว ยิ่งหลังจากที่ไปโดนแสงแดดแรง ๆ อย่างการไปทะเลหรือไปทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นเวลานานผิวของเราจะคล้ำเสียก็จะทำสครับผลัดเซลล์ผิวที่คล้ำเสียและสร้างผิวใหม่ขึ้นมาแทน เพราะหากยิ่งปล่อยไว้ก็จะหมองคล้ำเสียสะสมจนเกิดปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอตลอดจนปัญหาผิวอื่น ๆ อย่างกระ ฝ้า และจุดด่างดำตามมา วันนี้เราลองมาทำความเข้าใจกันดีกว่าว่าการทำสครับนั้นแท้จริงแล้วประโยชน์อย่างไร และจำเป็นแค่ไหนที่ต้องทำสครับผิว แอบกระซิบว่ามีสูตรสครับดี ๆ มาแนะนำด้วย ถ้าอยากรู้แล้วก็อย่ารอช้ารีบตามไปดูพร้อมกันได้เลย ทำไมต้องมีการผลัดเซลล์ผิว โดยธรรมชาติของมนุษย์จะมีการผลัดเซลล์ผิวอยู่แล้วเรียกว่ากลไก skin cell turnover ที่เซลล์ผิวเก่าจะหลุดลอกออกเป็นขี้ไคลและจะมีการสร้างเซลล์ผิวใหม่มาทดแทนของเก่าที่เสื่อมสภาพ โดยกลไกนี้จะเกิดในทุก ๆ 28 วันหรือประมาณหนึ่งเดือน เพราะเป็นวัฏจักรของเซลล์ผิวมนุษย์ที่จะมีอายุขัยประมาณนี้ โดยกลไกก็คือเซลล์ผิวใหม่จะถูกสร้างจากชั้นใต้ผิวหรือชั้นหนังแท้ (Dermis) แล้วจะค่อย ๆ เคลื่อนตัวขึ้นมาปกคลุมในชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) เซลล์ผิวเก่าที่เคยอยู่ก็จะผลัดหลุดลอกออกไป เซลล์ผิวที่ถูกผลัดออกไปกว่า 80% จึงอยู่ที่ชั้นหนังกำพร้า ซึ่งเซลล์ผิวบริเวณชั้นหนังกำพร้านี้จะยึดติดกันด้วยโครงสร้างที่ชื่อว่าคอร์นีโอเดสโมโซม (corneodesmosome) ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมเซลล์ผิวให้เกาะติดกัน เมื่อเซลล์หมดอายุขัยแล้วก็จะมีเอนไซม์ออกมาสลายสะพานเชื่อมนี้ทำให้เซลล์ผิวหลุดออกไปเองโดยธรรมชาติ เผยเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ ดังนั้น การผลัดเซลล์ผิวเป็นกลไกที่มีอยู่เดิมแล้วตามธรรมชาติ การที่เราใช้สครับผลัดเซลล์ผิวก็เป็นเพียงการกระตุ้นกลไกตามธรรมชาติเพื่อให้เซลล์ผิวผลัดตัวได้ดีและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไม่ได้มีอันตรายอะไร เพราะการสครับก็เหมือนกับการขัดผิว ผลพลอยได้นอกจากจะช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวแล้วยังช่วยทำความสะอาดผิวขจัดสิ่งสกปรกอุดตันตามรูขุมขนให้หลุดออกไปได้ด้วย ทำไมการสครับผิวจึงสำคัญ? อย่างที่เรารู้กันแล้วว่าผิวของเรามีรอบวงจรการผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติอยู่ ซึ่งถ้าวงจรการผลัดเซลล์ผิวนั้นเป็นไปโดยปกติก็จะทำให้เรามีผิวที่สวยสุขภาพดีเรียบเนียนสม่ำเสมออยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าวงจรการผลัดเซลล์ผิวนั้นมีปัญหาหรือเกิดชะงักขึ้นมา นั่นเท่ากับว่าผิวของเราก็จะเริ่มหมองคล้ำและไม่เรียบเนียนขาดความชุ่มชื้น […]
ผลัดเซลล์ผิวหน้า คือขั้นตอนสำคัญในการดูแลผิว ที่ช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพให้หลุดออกไป เพื่อเผยผิวใหม่ที่กระจ่างใสและสุขภาพดี แต่การผลัดเซลล์ผิวที่ไม่ถูกวิธี อาจทำให้ผิวบาง แห้งเสีย หรือระคายเคืองได้ ดังนั้น การเรียนรู้วิธีผลัดเซลล์ผิวหน้าอย่างถูกต้อง จึงเป็นสิ่งจำเป็น บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักขั้นตอนการผลัดเซลล์ผิวอย่างปลอดภัย พร้อมเคล็ดลับการดูแลผิวหลังการผลัดเซลล์ เพื่อให้คุณมีผิวเนียนใสอย่างมั่นใจ ผลัดเซลล์ผิวหน้า คืออะไร? ทำไมต้องทำ? การผลัดเซลล์ผิวหน้า (Facial Exfoliation) คือ กระบวนการขจัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพ และสะสมอยู่บนชั้นผิวออกไป เพื่อเผยเซลล์ผิวใหม่ที่เรียบเนียน กระจ่างใส และสุขภาพดีตามธรรมชาติ โดยกระบวนการผลัดเซลล์ผิว จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติทุก 28-40 วัน แต่เมื่ออายุมากขึ้นหรือเผชิญกับปัจจัยต่าง ๆ เช่น แสงแดด มลภาวะ และความเครียด จะทำให้การผลัดเซลล์ผิวช้าลง ส่งผลให้ผิวดูหมองคล้ำ หยาบกร้าน และเกิดปัญหาผิวอื่น ๆ ได้ง่าย ทำไมต้องผลัดเซลล์ผิวหน้า? การผลัดเซลล์ผิวหน้ามีกี่วิธี อะไรบ้าง? การผลัดเซลล์ผิวหน้า เป็นขั้นตอนสำคัญในการดูแลผิว ที่ช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าออก เพื่อเผยผิวใหม่ที่กระจ่างใสและสุขภาพดี ซึ่งการผลัดเซลล์ผิวหน้าสามารถแบ่งออกได้ 3 วิธีหลัก ๆ ดังต่อไปนี้ จุดเด่นของการใช้สารเคมีและเอนไซม์ในการผลัดเซลล์ผิวหน้า […]
หัวใจสำคัญของการมีผิวสุขภาพดีเปล่งปลั่งเนียนใสอย่างเป็นธรรมชาตินั้นอยู่ที่การดูแลผิวของเราเลย เรียกได้ว่าพฤติกรรมของเราเป็นตัวกำหนดสภาพผิว ยิ่งเราดูแลผิวดีเท่าไหร่สภาพผิวของเราก็จะแข็งแรงสุขภาพดี ซึ่งหนึ่งในวิธีการบำรุงดูแลผิวนั้นก็คือการมีผลิตภัณฑ์สกินแคร์เป็นตัวช่วย ทั้งนี้ สกินแคร์ที่เราใช้กันอยู่ก็มีมากมายหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นครีม เซรั่ม มอยส์เจอร์ไรเซอร์ รวมไปถึงผลิตภัณฑ์กันแดด ซึ่งแต่ละแบบก็มีสรรพคุณและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน แน่นอนว่าหลาย ๆ คนอาจจะงงว่าเราจะจัดการกับมันยังไงกันดี เพราะเชื่อแน่ว่าสกินแคร์ส่วนตัวที่บ้านของเพื่อน ๆ ต้องมีมากกว่าหนึ่งชิ้น แล้วเราจะหยิบอะไรมาทาลงก่อนลงหลังดีเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเราจะต้องเข้าใจถึงธรรมชาติของสกินแคร์แต่ละประเภทเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยมาจัดสรร Skincare Routine ตามแต่ละประเภทว่ามีลำดับการใช้ยังไง ซึ่งวันนี้เราเลยจะอาสาพาทุกคนไปสร้าง Skincare Routine ของตัวเองกัน จะได้เป็นแนวทางให้นำไปปรับใช้ในการดูลผิวได้อย่างถูกต้องและเต็มประสิทธิภาพ หลักการดูแลผิวประจำวัน ผิวหนังของเราเป็นอวัยวะที่ต้องการการดูแลในทุก ๆ วัน เพราะเป็นปราการด่านแรกที่ห่อหุ้มและปกป้องร่างกายจากสิ่งเร้าภายนอก ด้วยเหตุนี้ในแต่ละวันผิวของเราจึงสัมผัสกับมลภาวะและสิ่งสกปรกมากมาย ซึ่งเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคและความผิดปกติอื่น ๆ ที่ทั้งเกิดกับผิวโดยตรงและส่งผลกระทบกับระบบอื่น ๆ ในร่างกาย ดังนั้น เราจึงต้องมีการดูแลรักษาผิวของเราให้สุขภาพดีอยู่เสมอ โดยหลักการดูแลสุขภาพผิวนั้นก็มีอยู่ด้วยกัน 4 แนวทาง ได้แก่ การทำความสะอาด การบำรุง การป้องกัน และการรักษา การทำความสะอาด การทำความสะอาดผิวเป็นขั้นตอนแรกของการดูแลผิว เพราะเป็นการขจัดเอาสิ่งสกปรกตกค้างที่เราจะต้องไปพบเจอระหว่างวันทั้งมลภาวะในอากาศ ฝุ่นละออง คราบเหงื่อไคล คราบเครื่องสำอาง ที่หมักหมมจนกลายเป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรีย […]
“ความเครียด” ไม่ได้เป็นเพียงภาวะทางจิตใจ หรือระบบสมอง ที่ส่งผลกระทบต่อสภาพร่างกายในหลากหลายรูปแบบเท่านั้น แต่ยังสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นกับผิวของคนเราได้ด้วย หรือที่เรียกกันว่า “ภาวะเครียดลงผิว” ไม่เพียงสิว หรือหน้าหมองคล้ำเท่านั้น แต่ภาวะผิวเครียดนี้ ยังเป็นหนึ่งในต้นตอหรือสาเหตุสำคัญในการเกิดฝ้าหนาเตอะ ยากต่อการรักษาอีกด้วย วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับภาวะความเครียดที่เกิดกับผิวด้วยกัน เพื่อหาแนวทางในการป้องกันและการรักษาอย่างถูกต้องและตรงจุดต่อไป ประเภทของความเครียด ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง ได้อธิบายว่าความเครียดสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ความเครียดแบบฉับพลัน เป็นความเครียดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ในแต่ละสถานการณ์เฉพาะหน้า ความเครียดแบบเรื้อรัง ซึ่งความเครียดประเภทนี้เองที่สามารถส่งผลเสียต่อผิวพรรณ ยิ่งถ้าหากมีความเครียดสะสมอยู่มาก ปัญหาผิวพรรณก็จะมีมากขึ้นตามมาเท่านั้น ภาวะผิวเครียดคืออะไร “ภาวะผิวเครียด” เป็นหนึ่งในอาการของโรคทางจิตวิทยาผิวหนังที่มีชื่อเรียกว่า Psychodermatology ซึ่งเกิดจากสภาวะจิตใจหรือความเครียดที่ไปกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนแห่งความเครียดอย่าง ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมามากกว่าปกติ จนส่งผลต่อกระบวนการทำงานในร่างกาย ทำให้ร่างกายเสียสมดุล ทำให้ผิวเกิดความผิดปกติ เป็นต้นเหตุที่ทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง เกิดการอักเสบและติดเชื้อได้ง่าย ภาวะผิวเครียดเกิดขึ้นในช่วงใดบ้าง แท้จริงแล้ว ภาวะผิวเครียดสามารถเกิดขึ้นตามวิถีชีวิตของแต่ละคน แต่ก็มีบางช่วงเวลาที่ทำให้สภาวะนี้เกิดได้ง่ายขึ้น ทั้งบริเวณผิวหน้าและทั่วร่างกาย ดังนี้ เกิดขึ้นในช่วงที่ร่างกายมีความตึงเครียด เช่น ในช่วงที่มีประจำเดือน เป็นต้น ในช่วงที่ร่างกายมีความอ่อนแรงสะสม ทำงานหนัก สังเกตว่ามักจะเกิดผื่นขึ้นที่ผิวหนัง สามารถเกิดขึ้นหลังจากการออกกำลังกายอย่างหนักและหักโหม เกิดขึ้นได้ในช่วงที่พักผ่อนไม่เพียงพอและนอนดึกติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง เกิดขึ้นในช่วงที่มีความกดดัน […]